บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 494 ขอความช่วยเหลือ
ตอนที่ 494: ขอความช่วยเหลือ
ตอนที่ 494: ขอความช่วยเหลือ
เยว่ซือฉานเงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ศิษย์พี่ซู ข้าขอ… เป็นบริวารรับใช้ท่านได้หรือไม่?”
นางไตร่ตรองดูแล้ว หากจะตอบแทนบุญคุณของซูอี้ นอกจากอุทิศตนเพื่อซูอี้แล้ว นางหาทางอื่นเพื่อแสดงความจริงใจไม่ออกอีกแล้ว
การซาบซึ้งทางคำพูด ช่างดูไร้ค่าเหลือเกิน
ส่วนปัจจัยภายนอกนั้น…
ตอนนี้นางเรียกได้ว่าไม่มีสักแดง ไม่มีทรัพย์สินที่พอใช้ตอบแทนบุญคุณช่วยชีวิตด้วย
ในโลกมนุษย์มีคำกล่าวว่าสตรีนั้น ‘ไร้สิ่งใดตอบแทน จึงยกตนเองให้’
แต่เยว่ซือฉานรังเกียจและดูหมิ่นวิธีตอบแทนบุญคุณเช่นนี้มาก ทำเช่นนี้เป็นการลดทอนคุณค่าตัวเองชัด ๆ และเป็นการไม่เคารพซูอี้
ด้วยเหตุนี้ ลงท้ายเยว่ซือฉานจึงคิดหาวิธีตอบแทนบุญคุณเช่นนี้ขึ้นมาได้
อุทิศตนเพื่อซูอี้ เพื่อตอบแทนบุญคุณที่เขามอบชีวิตใหม่ให้อีกครั้ง!
ซูอี้ได้ยินดังนั้น จึงถอนหายใจเบา ๆ พลางกล่าว “ข้าบอกแล้ว ที่ข้าช่วยเจ้ามิใช่เพื่อให้เจ้าตอบแทนบุญคุณข้า นอกจากนี้ เจ้าคิดว่าข้างกายข้าขาดแคลนบริวารอย่างเจ้าหรือ?”
เยว่ซือฉานหม่นหมองใจในบัดดล นัยน์ตาแวววาวคู่นั้นสลดลง
นี่เป็นวิธีตอบแทนบุญคุณเพียงทางเดียวที่นางนึกได้แล้ว
ทว่าซูอี้… กลับไม่อยากรับไว้เท่าใด
ในตอนนั้นเอง ซูอี้ยิ้มน้อย ๆ จ้องมองดวงหน้าเรียวอันขาวผ่องงดงามของเยว่ซือฉานอย่างจริงจัง “คำที่ข้าเคยบอกไว้ไม่เปลี่ยน หากเจ้าเต็มใจ ข้าจะเป็นผู้ชี้ทางให้เจ้าบนวิถีดาบ จากนี้ต่อไป เจ้าคอยติดตามฝึกฝนอยู่ข้างกายข้า เจ้าอยากไปเมื่อใด ก็ไปได้ทุกเมื่อ”
เยว่ซือฉานใจสะท้าน ดวงตางดงามสุกสกาวเบิกกว้าง มองซูอี้ด้วยความเหลือเชื่อ เรือนร่างสะคราญสั่นเทาเล็กน้อย
ไม่ว่าผู้ใดก็ดูออก หญิงสาวผู้งดงามเหนือมนุษย์ บริสุทธิ์ดั่งเทพธิดาผู้นี้หัวใจเต็มตื้นอย่างมาก!
ซูอี้เอ่ยพลางแย้มยิ้ม “แน่นอน อย่างที่ข้าเคยบอก นี่หาใช่การรับศิษย์ เพราะฉะนั้น เจ้าอย่าเพิ่งดีใจไป ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนดีกว่า”
พูดจบ เขาลุกเดินไปยังสระน้ำไกล ๆ
เสียงปลื้มปริ่มอันไพเราะดั่งเสียงสวรรค์ของเยว่ซือฉานดังมาจากด้านหลัง “ศิษย์พี่ซู ข้าดีใจเสียอีก ไม่มีทางปฏิเสธเหมือนคราวก่อนหรอก!”
ซูอี้หันไป ก็เห็นหญิงสาวในอาภรณ์สีขาวดุจหิมะยืนตระหง่านท่ามกลางแสงตะวัน ดวงหน้างดงามดั่งภาพวาดนั้นมีรอยยิ้มแจ่มใสระบายอยู่
อึดใจนั้น ซูอี้รู้สึกเพียงว่าเด็กสาวผู้นี้เพริศพริ้งยิ่งนัก จนฟ้าดินผืนนี้หมองราศีลงทันตา
ซูอี้ยิ้มอย่างปลื้มใจ “ข้าเองก็คาดหวังผลงานของเจ้าในวิถีดาบมาก ข้าว่าเพียงพอให้มหาทวีปคังชิงต้องสะเทือนแน่”
ต้นอ่อนอันเยี่ยมยอดในวิถีดาบ สิ่งที่น่าคาดหวังที่สุด ไม่พ้นการที่นางเปล่งประกายในโลกหล้าภายใต้การสั่งสอนของตัวเองไม่ใช่หรือ
‘มหาทวีปคังชิงต้องสะเทือน… ศิษย์พี่ซูตั้งเป้าหมายไว้สูงจริง… แต่ เท่านี้ก็ดูออกว่าเขาให้ความสำคัญข้าเพียงใด…’
เยว่ซือฉานคิดในใจ ขณะที่อารมณ์พลุ่งพล่าน
ดวงตาสุกสกาวของนางค่อย ๆ วาวโรจน์ขึ้นมา แน่วแน่วาวใสดุจคมดาบ ทั้งตัวเปล่งประกายที่แตกต่างออกไป
นางมองร่างสูงของซูอี้ที่ห่างออกไปไกล พูดกับตัวเองในใจ “วันนั้นต้องมาถึงแน่ ข้าเยว่ซือฉานไม่ทำให้ศิษย์พี่ซูผิดหวังแน่”
ข้างสระน้ำ
ซูอี้ขจัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป เริ่มซักซ้อม ‘เคล็ดวิชาแสวงไร้ลักษณ์ข้ามปัจเจก’
ในด้านฝึกฝน เขาไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเลินเล่อ
วิถีฝึกฝนจำต้องสั่งสมพลังตามกาลเวลา จึงจะเห็นผล!
ภายใต้แสงอรุณ ชุดคลุมสีครามพลิ้วไสว กระบวนท่าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ แต่ละท่าเข้าคู่กับสรรพสิ่ง ขยับและหยุดนิ่งเป็นจังหวะ ดูศักดิ์สิทธิ์คล้ายโอบกอดฟ้าดิน ลมหายใจเข้าออกเป็นมวลทั้งปวงในโลกนี้
แรงหมัดมิใช่พุทธ มิใช่มาร มิใช่บัณฑิต มิใช่เต๋า มีความว่างเปล่าเป็นตัวนำ ปัจเจกเป็นรากฐาน จักรพรรดิมหายุทธ์ สหายรักของซูอี้เมื่อชาติก่อนมองว่าเป็นกระบวนท่าแรกในการเสริมสร้างรากฐานของวิถีต้นกำเนิดแห่งเก้ามหาดินแดนตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน
ส่วนพลังจิตวิญญาณของซูอี้ ก็ได้รับการหล่อหลอมบำรุงจากแรงหมัดนี้เรื่อย ๆ
ทรัพยากรการฝึกฝนที่เพียงพอ เคล็ดวิชาฝึกฝนวิถีต้นกำเนิดชั้นเยี่ยมที่สุดที่เคยมีมาแต่โบราณ บวกกับความหมั่นเพียรในการฝึกฝนทั้งวันทั้งคืนของซูอี้ในช่วงนี้
เขาในตอนนี้ ห่างจากขั้นกลางขอบเขตเปิดทวารอีกไม่ไกลแล้ว!
“แม่นางซือฉาน เชิญดื่มชา”
ไป๋เวิ่นฉิงยกชาวิญญาณมาให้
หลังจากเยว่ซือฉานกล่าวขอบคุณแล้ว จึงเอ่ยขึ้น “หลังจากนี้ท่านพี่ไป๋เรียกข้าว่าซือฉานก็พอ”
ไป๋เวิ่นฉิงตกลงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
นางเคยพบเหวินซินจ้าว เมื่อคราแรกนางต้องตะลึง คิดไปว่าในโลกนี้คงหาบุคคลระดับนางเซียนที่เทียบเท่ามารดาบน้อยผู้นี้ไม่เจออีกแล้ว
แต่เมื่อได้พบเยว่ซือฉาน ไป๋เวิ่นฉิงจึงพบว่าตัวเองคิดผิด
ไม่ว่าจะทีท่า หน้าตา บุคลิก เยว่ซือฉานล้วนไม่ด้อยไปกว่าเหวินซินจ้าว และนางก็มีเสน่ห์ของตนเอง เยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง สูงส่งเหนือมวลมนุษย์
ส่วนเหวินซินจ้าว เรียกได้ว่าโฉมสะคราญ โดดเด่นมิเปื้อนมลทิน
ทั้งคู่ต่างเป็นสาวงามชั้นยอดในใต้หล้า
คนปกติได้พบเพียงหนึ่งนับว่าสั่งสมวาสนามาแปดชาติภพ
ทว่าบัดนี้ โฉมงามทั้งสองคนกลับมีพรหมลิขิตให้ได้พานพบซูอี้ จนไป๋เวิ่นฉิงต้องสะท้อนใจอย่างอดไม่ได้ว่า ตกลงเป็นวาสนาของเขา หรือเป็นวาสนาของโฉมงามสองท่านนี้กันแน่?
“ท่านพี่ไป๋ ท่านเล่าเรื่องศิษย์พี่ซูให้ข้าฟังได้หรือไม่”
เยว่ซือฉานถามเสียงเบา
ไป๋เวิ่นฉิงลังเลนิดหน่อย ก่อนจะตอบเสียงเบา “ข้ากับผู้อาวุโสซูเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน สิ่งที่ทราบย่อมไม่เยอะ ให้หยวนเหิงเป็นผู้เล่าดีกว่า”
เยว่ซือฉานพยักหน้า
ไม่นานนัก หยวนเหิงก็เข้ามา เขาสาธยายเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างทางมาจากต้าโจวของเขากับซูอี้ด้วยน้ำเสียงเคารพนับถือ
แน่นอนว่า สิ่งที่ไม่ควรพูด เขาย่อมไม่พูด
แม้จะเป็นเช่นนั้น เยว่ซือฉานก็หลงใหลไปกับเรื่องราว
บนเขาฝูเซียน เขาปลิดชีพพวกนักพรตไฉด้วยการดีดนิ้วเพียงครั้งเดียว
บนแม่น้ำเทียนหลาน เข่นฆ่าพวกผู้ฝึกตนต้าฉู่ด้วยดาบเดียว
ภายในหุบเขาหานกู่ สังหารผู้ฝึกตนจากสามอิทธิพลใหญ่แห่งแคว้นเทียนหนานประหนึ่งเชือดไก่ให้ลิงดู
ที่งานชุมนุมหลิงชวี กำจัดบุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงด้วยตัวคนเดียว พลิกสถานการณ์กลับตาลปัตร
…..
ศึกใหญ่แต่ละครั้ง เล่นเอาเยว่ซือฉานหัวใจเต็มตื้น ตาคู่ใสวาวโรจน์
เมื่อได้ทราบว่าผู้ยิ่งใหญ่อย่างศิษย์จากวังเทพสวรรค์เมฆา ยังถูกซูอี้ฆ่าแกงโดยไม่เกรงใจ บุคคลยิ่งใหญ่ในหมู่คนเยาว์วัยแห่งสำนักดาบเทียนชูยังต้องยอมถอยให้ซูอี้ ทั้งยังกล่าวขออภัย กระทั่งมังกรเกล็ดดำขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณใต้ผามังกรด้วนยังเทิดทูนซูอี้ประหนึ่งเทพเจ้า เรียกขานอย่างนอบน้อมว่า ‘คุณชาย’
เยว่ซือฉานยืนผงะอยู่ที่เดิม
นางย่อมรู้ดีว่าวังเทพสวรรค์เมฆา สำนักดาบเทียนชูเป็นกลุ่มเต๋าที่ยิ่งใหญ่เพียงใด และรู้ดีว่าการดำรงอยู่อย่างมังกรเกล็ดดำขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณน่ายำเกรงแค่ไหน
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ยิ่งขับความแกร่งกล้าเหนือผู้อื่นของซูอี้ให้โดดเด่น!
หวนนึกไปถึงในอดีต เมื่อครั้งแยกจากกับซูอี้ที่ต้าโจว ซูอี้ยังไม่ก้าวสู่วิถีต้นกำเนิดจริงจัง
บัดนี้ผ่านไปแค่ไม่กี่เดือน อัครมหาเสนาบดีหนุ่มที่เคยชื่อเสียงกึกก้องไปทั่วต้าโจว ได้เริ่มเปล่งประกายภายในดินแดนอาณาจักรต้าเซี่ยเสียแล้ว!
“เขา… เป็นคนอย่างไรกันแน่…”
สายตาเยว่ซือฉานเลื่อนลอย ความใคร่รู้โถมทับหัวใจ
รู้สึกเพียงมีม่านหมอกปริศนาปกคลุมซูเย่ ยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งรู้สึกถึงความลึกล้ำเกินหยั่ง ไม่อาจคาดเดา
เมื่อคิดไปว่าหลังจากนี้ตัวเองได้ฝึกฝนข้างกายซูอี้ เยว่ซือฉานก็อดตั้งความหวังไม่ได้
เวลาใกล้เที่ยง
ข้างสระน้ำ ตอนที่ซูอี้นอนอยู่บนเก้าอี้เถาวัลย์ ป้อนปลาในสระน้ำด้วยอาหารที่ชื่อว่า ‘ผีเสื้อจันทรา’ ก่อนมีแขกมาเยือน
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบผู้สุภาพอ่อนโยน กับเวิงจิ่วซึ่งแต่งกายด้วยอาภรณ์สีเทาเคาะประตู
“สหายเต๋า เราพบหน้ากันอีกแล้ว”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบทักทายด้วยรอยยิ้ม
ซูอี้นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้เถาวัลย์ “ไม่จำเป็นต้องทักทาย ว่าธุระมาเถิด”
ต่อให้เวิงจิ่วรับรู้ถึงความทะนงในเหง้ากระดูกของซูอี้มานานแล้ว เวลานี้ก็อดรู้สึกหมดคำพูดไม่ได้
เจ้านายกับตัวเองมาเยือนถึงที่ ไม่มีค่าพอให้เด็กอย่างเจ้าลุกขึ้นต้อนรับหน่อยเลยหรือ?
เท่านี้ยังไม่เท่าไร
ในเมื่อจะคุยธุระกัน มิควรจัดที่นั่ง ต้มชารับแขกหน่อยหรือ?
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบกลับไม่ถือสาแต่อย่างใด นั่งลงบนหินก้อนหนึ่งข้างสระน้ำโดยไม่คิดมาก
เขาเอ่ยด้วยหน้าตาจริงจัง “สหายเต๋าเถรตรง เช่นนั้นข้าจักไม่อ้อมค้อม มาเยือนสหายเต๋าครานี้ หวังได้รับคำชี้แนะจากสหายเต๋า เพื่อบูรณะ ‘ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน’ ที่ปกคลุมอยู่รอบเมืองจิ๋วติ่ง”
ซูอี้พยักหน้าพลางกล่าว “ข้าพอเดาได้ราง ๆ ทว่า การบูรณะค่ายกลนั้นแสนลำบาก ท่านแน่ใจขนาดนี้เชียวว่าข้าจะทำได้”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบตอบ “สหายเต๋ามองปราดเดียวก็ดูออกว่าค่ายกลพิทักษ์แดนจิ๋วติ่งเป็นอย่างไร คิดแล้วย่อมมีหนทางแก้ไข ต่อให้มีเพียงเศษเสี้ยวความหวัง ข้าก็ยินดีลองดูสักครั้ง”
ซูอี้เอ่ยด้วยท่าทางครุ่นคิด “รีบมากเลยหรือ”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบถอนหายใจเบา ๆ “อีกไม่กี่ปี ใต้หล้านี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ข้าจำต้องเตรียมพร้อมทุกสิ่งก่อนแสงสว่างแห่งโลกกว้างนั้นมาถึง หากรอจนอิทธิพลกลุ่มเต๋าโบราณออกสู่โลกนี้ รวมถึงกองทัพผู้ฝึกตนต่างโลกที่บุกเข้ามาค่อยเตรียมการ กจะสายเกินไป…”
หน้าตาเขาฉายแววกังวล
ซูอี้พยักหน้า “ก็จริง ถึงเวลานั้น ใต้หล้าอาเพศ ทั้งมหาทวีปคังชิงย่อมตกอยู่ในความโกลาหลไปอย่างยาวนาน แบบแผนของใต้หล้าในตอนนี้ย่อมถูกทำลายลง หากไม่เตรียมการให้พร้อม ผืนฟ้าที่ราชวงศ์ต้าเซี่ยครอบครองอยู่นี้… น่ากลัวว่าจะรักษาไว้ไม่ได้”
เวิงจิ่วตากระตุก “คุณชายซู ประโยคนี้ไม่ค่อยเหมาะกระมัง”
ซูอี้เอ่ย “หากไม่เหมาะ เหตุใดพวกท่านต้องมาขอความช่วยเหลือจากข้าถึงที่นี่”
เวิงจิ่วพูดไม่ออก โดนตอกกลับจนกระสับกระส่ายไปทั้งตัว
วาจาหมอนี่ชวนไม่สบอารมณ์จริง ๆ!
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบถอนหายใจเบา ๆ “สิ่งที่สหายเต๋าว่ามา เป็นสิ่งที่ข้ากังวลอยู่ ข้าขอพูดตามตรง จากข่าวที่ข้าได้รับมา ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนต่างโลก หรือกลุ่มเต๋าโบราณ บัดนี้ยังไม่เผยพลังที่แท้จริง พวกเขากำลังรอ รอการมาถึงของแสงสว่างแห่งโลกกว้าง! ด้วยพลังของโลกฝึกฝนในต้าเซี่ยตอนนี้ ถึงเวลานั้นหากคิดช่วงชิงอำนาจกับอิทธิพลเหล่านี้ ย่อมต้องจ่ายด้วยราคาแสนแพง”
ซูอี้ส่ายหัว “ผิดแล้ว เท่าที่ข้าดู อิทธิพลการฝึกฝนในต้าเซี่ยเวลานี้ ส่วนใหญ่ไม่มีสิทธิ์ช่วงชิงอำนาจในศึกครั้งนี้ด้วยซ้ำ หากพวกเขาต้องการมีชีวิตต่อไป ทางเลือกเดียวคือยอมศิโรราบ ไม่ศิโรราบต่อผู้ฝึกตนต่างโลก ก็ศิโรราบต่อกลุ่มเต๋าโบราณ”
รูม่านตาของชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบนิ่งงันไปเล็กน้อย
ครู่ต่อมา เขาพยักหน้า “สหายเต๋าพูดถูก เพราะอย่างนั้น ข้าจำต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้า เพื่อให้มีต้นทุนช่วงชิงอำนาจในโลกกว้างนี้!”
พูดมาถึงนี่ นัยน์ตาส่วนลึกของเขามีประกายบางอย่างวูบวาบ
“ฟ้าดินพลิกผัน ปราณวิญญาณฟื้นคืน โอกาสวาสนาและการเปลี่ยนแปลงจำนวนนับไม่ถ้วนถูกกำหนดให้ปรากฏสู่โลก ย่อมสร้างอิทธิพลและผู้แกร่งที่เพียงพอให้ยึดครองใต้หล้าขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ถึงตอนนั้น แค่มหาค่ายกลนี้น่ากลัวว่าไม่พอให้ท่านอยู่เหนือทุกคนในใต้หล้า”
ซูอี้เอ่ยด้วยท่าทางเกียจคร้าน “ทว่า ท่านเตรียมการล่วงหน้าเพื่อการนี้หาใช่เรื่องเลวร้าย อย่างไรโอกาสก็มีไว้สำหรับผู้ที่เตรียมพร้อมเท่านั้น”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบหันมองซูอี้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงขึงขัง “เช่นนั้นแล้ว… สหายเต๋ายินดีเป็นกำลังช่วยข้าหรือไม่?”