บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 495 ปลาติดเบ็ด
ตอนที่ 495: ปลาติดเบ็ด
ตอนที่ 495: ปลาติดเบ็ด
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบมีสีหน้าคาดหวัง “ขอเพียงสหายเต๋าช่วยข้า ไม่ว่าท่านเรียกร้องสิ่งใด ตราบใดที่อยู่ในขอบเขตที่ข้ารับปากได้ รับรองว่าจะไม่ทำให้สหายเต๋าผิดหวังแน่”
เวิงจิ่วก็หันมองซูอี้เช่นกัน
ในสายตาเขา แม้นายท่านจะไม่เคยเปิดเผยตัวตน แต่ด้วยปฏิภาณเช่นซูอี้ ย่อมเดาฐานะของนายท่านออกได้ไม่ยากว่าสูงส่งเพียงใด
มิหนำซ้ำ เมื่อคืนตอนอยู่ฮ่วนซีชา ซูอี้หาได้ปฏิเสธการช่วยเหลือไม่ เขาแค่บอกว่าไม่จริงใจพอก็เท่านั้น
และวันนี้ พวกเขามาเพื่อแสดงความจริงใจ!
ทว่าเกินกว่าที่พวกเขาคาดหมาย ซูอี้กลับเอ่ยถามว่า “ฮวาซิ่นเฟิงเป็นอะไรกับท่าน”
“ฮวาซิ่นเฟิง?”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบหันมองเวิงจิ่ว
เวิงจิ่วรีบตอบเสียงเบา “เรียนนายท่าน เป็นหนึ่งในนามอุปโลกที่คุณหนูใช้ในการท่องพเนจร”
ได้ยินดังนั้น ปากของซูอี้กระตุกโดยไม่ให้รู้ตัว อย่างที่คิด ฮวาซิ่นเฟิงเป็นสตรีเจ้าเล่ห์ ไม่เคยเปิดเผยชื่อจริงเลยสักคราเดียว!
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบกล่าวด้วยท่าทีเปิดเผย “ไม่ขอปิดบังสหายเต๋า นางคือลูกสาวคนเล็กของข้า เป็นธิดาลำดับเจ็ด นามจริงเซี่ยชิงหยวน”
ซูอี้หยิบจี้หยกปักษามังกรออกมา “เมื่อวานตอนอยู่ที่ประตูเมือง ที่ท่านตามหาข้าเจอ ก็เพราะสัมผัสพลังจากจี้หยกนี้ได้ใช่หรือไม่”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบมองจี้หยกด้วยสายตาหลากอารมณ์ เขาพยักหน้า “ถูกต้อง จี้หยกนี้เป็นมรดกชิ้นหนึ่งของมารดาเจ้าเจ็ดทิ้งไว้ให้ก่อนตาย เจ้าเจ็ดพกติดตัวไว้ตั้งแต่เด็ก”
ซูอี้อึ้ง “ถ้าเช่นนั้น มารดาของนางคือทายาทของปักษามังกรอย่างนั้นหรือ?”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบเผยสีหน้าหมองหม่นตกอยู่ในภวังค์ ครู่หนึ่งถึงตอบ “คงใช่กระมัง ข้าเองก็พยายามค้นหาคำตอบ ทว่าจวบจนบัดนี้ก็ยังไม่อาจมั่นใจ”
ซูอี้ดูออกว่าระหว่างชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบและมารดาของเซี่ยชิงหยวนมีความสัมพันธ์พิเศษ จึงไม่ถามต่อ
เขาถาม “เช่นนั้นแล้ว ต้องคืนจี้หยกนี้ให้ท่านหรือไม่”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบส่ายหัว “ในเมื่อเจ้าเจ็ดมอบให้สหายเต๋าแล้ว สหายเต๋าเก็บไว้เถิด”
ซูอี้ไม่บ่ายเบี่ยง เขาเก็บจี้หยก และเอ่ยทันควัน “ข้าช่วยได้ แต่มีเงื่อนไขสองข้อ”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบกระเตื้องขึ้นมา เขาขจัดความคิดฟุ้งซ่านในหัวออกไป “สหายเต๋าช่วยไขความกระจ่างให้ด้วย”
เวิงจิ่วกังวลนิดหน่อย กลัวว่าซูอี้จากละโมบ เรียกร้องในสิ่งที่โหดเกินไป
ซูอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาบอกเงื่อนไขของตัวเอง
“ข้อแรก ข้าต้องการทรัพยากรการฝึกฝน”
“ข้อสอง ยันต์พระสุเมรุที่อนุญาตให้เดินทางไปที่เกาะเซียนพระสุเมรุ”
ฟังจบ ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบสบตากับเวิงจิ่ว ต่างมีสีหน้าผงะ ราวกับไม่เชื่อหูของตัวเอง
ซูอี้เอ่ยด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “ทำไมหรือ พวกท่านคิดว่าข้าจะฉวยโอกาสนี้ข่มเหงหรือไร”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบส่ายหัว “หาใช่เช่นนั้น ข้าเพียงแต่ไม่คิดว่าเงื่อนไขของสหายเต๋าจะง่ายดายเพียงนี้…”
เวิงจิ่วก็พยักหน้า
เงื่อนไขนี้ช่าง… ง่ายมากจริง ๆ
ง่ายเสียจนเวิงจิ่วรู้สึกไม่สบายใจ
“หากข้าต้องเป็นผู้ลงมือซ่อมแซมค่ายกลจองจำนั้นด้วยตัวเอง เงื่อนไขย่อมไม่ง่ายดายเท่านี้ เวลานี้ข้าแค่ต้องบอกวิธีซ่อมแซมแก่พวกท่านเท่านั้น สำหรับข้า ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่”
ซูอี้บอกโดยไม่คิดมาก
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบมีสีหน้าประหลาดไป ชั่วขณะนั้น ไม่รู้ว่าควรอธิบายความรู้สึกในตอนนี้อย่างไร
เพื่อแก้ปัญหาซ่อมแซมค่ายกล เขาเสียเวลามาหลายพันปี ทุ่มทุนทุ่มแรงกายแรงใจไปไม่รู้เท่าไร จวบจนบัดนี้ยังไม่เคยแก้โจทย์หินที่แทบไร้ทางออกนี้ได้
แต่พออยู่ในปากซูอี้ กลับง่าย ‘แค่พลิกฝ่ามือ’
ส่งผลให้ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบไม่รู้ว่าควรดีใจ หรือควรละอายดี
“ง่ายแค่พลิกฝ่ามือจริงหรือ?”
เวิงจิ่วเองก็รู้สึกงุนงง
จนอดถามออกไปไม่ได้
ซูอี้คลี่ยิ้ม “สำหรับพวกท่าน อาจยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ แต่สำหรับข้า เป็นเรื่องเล็กที่ไม่มีค่าให้พูดถึงเท่านั้นจริง ๆ”
เขาไม่จำเป็นต้องอวดเบ่งในเรื่องนี้!
“ไม่ว่าอย่างไร ขอเพียงสหายเต๋าช่วยแก้ไขปัญหานี้ให้ข้าได้ สำหรับข้านับเป็นบุญคุณล้นฟ้า! ข้าย่อมไม่ทำให้สหายเต๋าผิดหวัง!”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบสูดหายใจเข้าลึก เอ่ยเสียงดังฟังชัด
“คืนนี้ข้าจะไปดูรากฐานและการวางตำแหน่งของค่ายกลนี้ในเมืองด้วยตัวเอง เวลานี้ของวันรุ่งขึ้น พวกท่านมารับวิธีแก้ไข”
ซูอี้บอกไป ก็ลุกจากเก้าอี้เถาวัลย์ “นี่ก็สายมากแล้ว ข้าไม่ขอให้พวกท่านอยู่ทานข้าวด้วยแล้วกัน”
เท่านี้นับว่าเขาได้ไล่แขกแล้ว
แม้ว่าชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบมีคำพูดอยู่เต็มกระบุงที่ยังไม่ได้เอื้อนเอ่ย แต่ก็ทำได้เพียงอดทนไว้ พร้อมกล่าวยิ้ม ๆ “เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าค่อยมารบกวนสหายเต๋าใหม่”
เขากำลังจะกลับ ทันใดนั้น เวิงจิ่วนึกอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยขึ้น “สหายเต๋า จากข่าวที่ข้าได้รับมา นครหลวงในเวลานี้มีกลุ่มอิทธิพลที่มองท่านเป็นศัตรูอยู่สามกลุ่มเป็นอย่างน้อย”
ซูอี้ชะงัก “เล่าให้ฟังที”
เวิงจิ่วกล่าว “ผู้หนึ่งคือฮั่วเทียนตู ผู้อาวุโสใหญ่สายในของวังเทพสวรรค์เมฆา ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นกลาง ข้างกายมีคนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นต้นติดตามอยู่สองคน”
“ผู้หนึ่งคือตระกูลฮั่วในเมืองนี้ ฮั่วอวิ๋นเซิงที่ท่านสังหารไป คือลูกชายของฮั่วหมิงเยวี่ยน ผู้นำตระกูลฮั่ว และเป็นหลานชายของฮั่วเทียนตู”
ซูอี้ได้ยินดังนั้น ไม่แปลกใจเท่าใด
วังเทพสวรรค์เมฆาคือหนึ่งในกลุ่มขุมอำนาจเต๋าชั้นนำทั้งสี่ ทายาทภายในกลุ่มถูกฆ่า ด้วยกำลังของเหวินซินจ้าว ไม่มีสิทธิ์พอจะไปห้ามเขามิให้ล้างแค้นตัวเอง
ส่วนตระกูลฮั่วคือหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งต้าเซี่ย
ฮั่วอวิ๋นเซิงถูกฆ่า ตระกูลฮั่วย่อมไม่ดูดาย
เวิงจิ่วกล่าวต่อ “อีกอิทธิพลหนึ่งคือสำนักเต๋าชิงอี่ พวกเขาสงสัยว่าสหายเต๋ามีเอี่ยวกับการตายของลี่เมี่ยวหง ผู้อาวุโสอันดับสามในสำนักเต๋าชิงอี่ จึงส่งเซียนเล่อเฟิง เซียนทิงเฮ่อ ผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณสองคนมาที่นครหลวง เพื่อจัดการกับสหายเต๋า ตามตัวฆาตกรที่แท้จริง”
เว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง เขาเอ่ยต่อ “บัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นฮั่วเทียนตูแห่งวังเทพสวรรค์เมฆา หรือตระกูลฮั่ว หรือการดำรงอยู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณสองคนแห่งสำนักเต๋าชิงอี่ ล้วนเข้ามาอยู่ในนครหลวงแล้ว”
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ประหลาดใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าสำนักเต๋าชิงอี่จะสืบสาวมาถึงตัวเองได้
เวลานั้น ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบยิ้มอบอุ่น “สหายเต๋าโปรดวางใจ เรื่องราวเหล่านี้ ข้าจะช่วยคลี่คลายแทนท่านเอง ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลใด ๆ”
น้ำเสียงสบาย ๆ นั้น กลับเจือแววทระนง
ราวกับสำหรับเขา การหยุดกลุ่มเต๋าชั้นนำสองกลุ่ม กับการดำรงอยู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณจากหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
ทว่าซูอี้ปฏิเสธทันควัน “ไม่จำเป็น”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบกับเวิงจิ่วชะงักไปทั้งคู่ ไม่จำเป็นรึ?
นี่เขาไม่รู้เลยหรือ ว่าการโดนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณของสามอิทธิพลนี้หมายหัว จะนำพาไปสู่จุดจบที่รุนแรงแค่ไหน?
เมื่อเห็นปฏิกิริยาเช่นนี้ของพวกเขา ซูอี้ครุ่นคิดไป ท้ายสุดก็เลือกอธิบาย “ข้าต้องการคู่ต่อสู้ที่มาหาถึงที่เพื่อลับคมดาบ หากพวกท่านแทรกแซง กลับกลายเป็นว่าทำลายความสุนทรีย์ของข้าเปล่า ๆ”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบ “…”
เวิงจิ่ว “…”
ทั้งคู่มองหน้ากัน พูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าควรเอื้อนเอ่ยวาจาใดดี
คนหนุ่มขอบเขตเปิดทวาร กลับมองบรรดาขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเป็นหินลับมีด!!
ทำเอาพวกเขาที่ชินกับความอลหม่านคิดว่าตัวเองฟังผิดไปเสียอีก ไม่อยากเชื่อว่าคนในขอบเขตเปิดทวารจะกล้าพูดเช่นนี้
ขืนแพร่งพรายออกไป ใต้หล้านี้น่ากลัวว่าไม่มีผู้ใดเชื่อ!
อย่างไรเสีย เรื่องนี้ก็ดูบ้าคลั่งเกินไป รังแต่จะโดนมองว่าเป็นคำพูดเหลวไหล พูดไปเรื่อยเปื่อย
จนกระทั่งออกจากลานชิงอวิ๋นมาแล้ว หวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ได้พบซูอี้ ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ไหว “เหล่าจิ่ว เจ้าว่าคนหนุ่มนั่นเป็นคนเช่นไร”
เวิงจิ่วขบคิดอยู่นาน “คนประหลาด”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบหลุดหัวเราะ “พวกขบถก็ดี พวกยโสโอหังก็ดี ขอเพียงซ่อมแซมค่ายกลพิทักษ์แดนจิ๋วติ่งได้ ถือเป็นผู้มีพระคุณของเรา”
คิดไป เขาก็เสริมขึ้นว่า “ผู้มีพระคุณล้นฟ้า!”
เวิงจิ่วเอ่ยยิ้ม ๆ “จะว่าไป คุณหนูก็มีความดีความชอบที่ไม่อาจละเลยได้ในเรื่องนี้ นายท่านอภัยให้คุณหนูที่ใช้อารมณ์และหนีออกจากบ้านได้หรือไม่?”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าดิบแค่นเสียงเย็น “วางใจเถิด ในโลกนี้มีผู้ใดตามใจเจ้าเจ็ดยิ่งกว่าข้าอีกรึ แต่เพราะหลายปีก่อนข้าตามใจนางมากไป กลับทำให้นางกลายเป็นคนไร้กฎเกณฑ์ ไม่เกรงกลัวสิ่งใด คราวนี้ จำต้องขัดเกลานิสัยของนางให้ดี”
เขาเปลี่ยนน้ำเสียงไป “แน่นอนว่าที่ได้ความช่วยเหลือจากซูอี้ในคราวนี้ นางมีความดีความชอบที่ไม่อาจละเลยจริง ๆ มีโอกาสแล้วข้าจะตกรางวัลให้นางเอง”
พูดถึงตอนท้าย เขาอดยิ้มไม่ได้ สายตาเปี่ยมด้วยความรักใคร่เอ็นดู
เวิงจิ่วกล่าว “นายท่าน พวกเรา… ไม่แทรกแซงเรื่องระหว่างซูอี้กับศัตรูของเขาจริง ๆ หรือ”
ชายวัยกลางคนมีแววตาเปลี่ยนไป “ไม่ล่ะ ข้าล่ะอยากรู้นัก ว่าซูอี้จะจัดการอย่างไรกับผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเหล่านั้น”
เวิงจิ่วพยักหน้า เอ่ยถึงเรื่องอื่น “นายท่าน อีกสิบวันชุมนุมมวลพฤกษาก็จะเริ่มขึ้นแล้ว เวลานี้ในมหานครจิ๋วติ่ง กองกำลังต่าง ๆ ลอบลงมือเตรียมการกันมากมาย นอกจากผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณและอัจฉริยะในยุคนี้ที่มารวมตัวกันมากมายแล้ว ยังมีจำพวกน่าสงสัยลอบเข้ามาด้วย ควรกำจัดให้สิ้นซากหรือไม่”
ชายวัยกลางคนโบกมืออย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ พลางเอ่ย “ในนครหลวงแห่งนี้ ต่อให้พวกเขากล้าหาญเพียงใด ก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไรหรอก”
……
พลบค่ำ
ซูอี้สั่งให้หยวนเหิงจ้างเกี้ยวมาคันหนึ่ง เขานั่งเกี้ยวแล่นไปในเมืองเพียงลำพัง
ค่ายกลพิทักษ์แดนจิ๋วติ่งปกคลุมทั้งนครหลวงเอาไว้ ซึ่งมีรากฐานอยู่เก้าแห่ง เป็นตำแหน่งของเตาศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้า
แท้จริงแล้วซูอี้มีแผนบูรณะในใจอยู่แล้ว เพียงแต่เพื่อป้องกันมิให้เกิดข้อผิดพลาด จึงเดินทางไปดูถึงรากฐานค่ายกลด้วยตัวเอง ซึ่งช่วยให้รัดกุมยิ่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
แน่นอนว่าการเดินทางของเขาในครั้งนี้มีจุดประสงค์อีกข้อ…
ใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ ดูว่ามีศัตรูติดเบ็ดหรือไม่!
รัตติกาลมืดมนลงเรื่อย ๆ
ซูอี้นั่งอยู่บนเกี้ยว แล่นไปทั่วเมือง มีบางครั้งที่เขาหยุดเกี้ยว ไปยืนดูแต่ละจุดที่มีเตาศักดิ์สิทธิ์
‘เตาศักดิ์สิทธิ์’ ที่ว่านี้ แท้จริงแล้วคือของอาคมสำหรับรากฐานค่ายกล สูงเก้าจั้ง มีขาตั้งสามขา หูหิ้วสองข้าง หลอมขึ้นด้วยวัตถุศักดิ์สิทธิ์สะท้านโลกา เตาศักดิ์สิทธิ์ทุกเตาล้วนมีอักขระเต๋าค่ายกลจองจำที่แตกต่างออกไปปกคลุมอยู่
แม้ว่าอักขระเต๋าเหล่านั้นดูสึกกร่อนอย่างหนัก แต่ซูอี้ยังแยกออกว่าอักขระเต๋าที่ปกคลุมบนเตาศักดิ์สิทธิ์แต่ละเตา ล้วนเป็นผลงานของคนที่อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิ
หรือพูดให้ถูกคือ เมื่อนานมาแล้ว ค่ายกลพิทักษ์แดนจิ๋วติ่งแห่งนี้แท้จริงแล้วคือค่ายกลจองจำระดับจักรพรรดิ!
น่าเสียดาย เมื่อผ่านการกัดเซาะทำลายจากพลังการจองจำแห่งยุคมืดมาสามหมื่นปี ค่ายกลจองจำอานุภาพลึกล้ำเกินหยั่งแห่งนี้ก็สึกหรออย่างหนัก ต่อให้กระตุ้นด้วยพลังทั้งหมดที่มี อานุภาพก็ไม่เท่าก่อน
เตาศักดิ์สิทธิ์ทุกเตา มีองครักษ์ผู้ฝึกตนซึ่งสังกัดราชวงศ์คอยเฝ้า
ความจริงแล้ว ต่อให้ไม่มีผู้ใดคอยเฝ้า ก็ไม่มีใครขโมยของวิเศษเช่นนี้ไปได้ เพราะเข้าใกล้เมื่อใด ก็จะถูกพลังค่ายกลจองจำไล่ฆ่า
ที่มีองครักษ์คอยเฝ้า ก็เพื่อเตือนให้ผู้เข้าใกล้อย่าเอาชีวิตตนเองมาล้อเล่น…
กระทั่งวนนครหลวงอยู่รอบใหญ่ ระหว่างทางกลับ ซูอี้ซึ่งนอนพักสายตาอยู่ในเกี้ยว ลูกตาสั่นระริกนิดหน่อย
ดูเหมือน… มีปลามาติดเบ็ดจริง ๆ?