บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 496 นัดดวล ณ ทะเลสาบชูอวิ๋น
ตอนที่ 496: นัดดวล ณ ทะเลสาบชูอวิ๋น
ตอนที่ 496: นัดดวล ณ ทะเลสาบชูอวิ๋น
เพลานี้กลางดึกแล้ว ใกล้จะรุ่งสางเต็มที
สายฝนบาง ๆ โปรยปรายอยู่ทั่วนภา ผู้คนสัญจรบนถนนหนทางน้อยลงเรื่อย ๆ แสงไฟข้างทางก็เริ่มริบหรี่ขาดห้วง
คืนฝนโปรยปรายในฤดูใบไม้ร่วง เริ่มมีความหนาวเย็นคืบคลาน
ล้อเกี้ยวบดทับอยู่บนถนนที่ปูด้วยกระเบื้องจนส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ลมราตรีโชยพัดผ่านเป็นครั้งคราว ใบไม้สีเหลืองจาง ๆ ปลิดปลิวอยู่ในม่านฝน
ซูอี้ลุกขึ้นนั่ง นัยน์ตาเปล่งประกายลึกล้ำ
มีใครบางคนเข้าใกล้เกี้ยวอย่างว่องไว!
ฟิ้ว!
มีคนปาม้วนหยกเล่มหนึ่งเข้ามาทางหน้าต่าง
ซูอี้ยื่นมือไปรับม้วนหยก ในนั้นมีเพียงประโยคเดียวเขียนไว้…
‘กล้ามาพบกันที่ทะเลสาบชูอวิ๋นหรือไม่?’
ซูอี้เก็บม้วนหยก บอกกับคนขับเกี้ยว “ไปทะเลสาบชูอวิ๋น”
ทะเลสาบชูอวิ๋นตั้งอยู่ที่ทิศตะวันออกของนครหลวงจิ๋วติ่ง
พื้นที่แถบนั้นมีโรงเตี๊ยมตั้งอยู่เรียงราย บ้านเรือนชุกชุม ผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่เข้ามาในนครหลวงจิ๋วติ่งส่วนใหญ่มักเลือกพำนักในแถบนี้
จนส่งผลให้พื้นที่แถบนี้มีผู้คนอาศัยอยู่หลากหลายประเภท มีครบทุกระดับชั้น
เมื่อซูอี้นั่งเกี้ยวมาถึงริมทะเลสาบชูอวิ๋นก็เป็นเวลารุ่งสางแล้ว ท้องฟ้ามืดมนประหนึ่งน้ำหมึก เม็ดฝนตกลงมาปรอย ๆ พร้อมนำความหนาวเย็นที่คมดั่งมีดมาด้วย
หลังจากซูอี้จ่ายหินวิญญาณไปราว ๆ ยี่สิบห้าก้อน คนขับเกี้ยวจึงมอบร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งให้ซูอี้ด้วยหน้าตายิ้มแย้ม
ซูอี้ถือร่มเดินอยู่ท่ามกลางสายฝน รับชมทะเลสาบชูอวิ๋นที่กว้างใหญ่ แสงริบหรี่จากชาวประมงมีให้เห็นเป็นหย่อม ๆ พอให้มองเห็นเรือสำเภาประปรายที่ล่องอยู่บนทะเลสาบ
ด้านหนึ่งของทะเลสาบ มีเพิงน้ำชาอยู่แห่งหนึ่ง
รอบ ๆ เพิงน้ำชามีโคมไฟสีแดงสดห้อยอยู่ ดูโดดเด่นจับตายิ่งในยามค่ำคืน
ทว่า บัดนี้เป็นเวลารุ่งสางแล้ว ภายในเพิงน้ำชามีเพียงผู้เฒ่าชุดเทาเฝ้าอยู่ โดดเดี่ยวยิ่ง
โต๊ะไม้ด้านข้างเขามีกู่ฉินไม้ตั้งอยู่
ซูอี้ชักเท้า ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปในเพิงน้ำชา
ผู้เฒ่าชุดเทาลุกขึ้น ประสานมือยิ้ม ๆ “สหายเต๋าซู เราพบกันอีกแล้ว”
คนผู้นี้ก็คือเวิงจิ่ว!
“ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ซูอี้ประหลาดใจ
ดึกดื่นเช่นนี้ มืดมนซ้ำยังฝนตก เวิงจิ่วกลับมาอยู่ที่นี่ จะมิให้ซูอี้แปลกใจได้อย่างไร
“ขอเรียนคุณชายตามตรง ไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นภายในนครหลวงจิ๋วติ่ง หากข้ามีใจสืบเสาะ ย่อมล่วงรู้ข่าวสารได้ก่อน”
เวิงจิ่วคลี่ยิ้มนอบน้อม แสดงท่าทีต่อซูอี้ด้วยความเคารพ “อย่างเช่นครานี้ ข้าทราบล่วงหน้าว่าผู้อาวุโสใหญ่แห่งวังเทพสวรรค์เมฆา ฮั่วเทียนตูได้ออกคำสั่ง ส่งผู้แข็งแกร่งนัดพบสหายเต๋าที่ริบทะเลสาบชูอวิ๋น”
ซูอี้กระจ่างแล้วมิวายขมวดคิ้ว “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ห้ามมิให้พวกท่านแทรกแซง”
เวิงจิ่วยิ้มพลางกล่าว “สหายเต๋าวางใจได้ ข้ามาที่นี่เพื่อแจ้งข่าวสหายเต๋าเท่านั้น ประเดี๋ยวไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ย่อมไม่มีทางยื่นมือเข้าไปแทรกแซง”
ซูอี้พยักหน้า “คิดไม่ถึงเลย ท่านกับเจ้านายของท่านใส่ใจยิ่ง”
เวิงจิ่วมีท่าทีขึงขัง “อัจฉริยะสะท้านโลกาเฉกเช่นสหายเต๋า พันหมื่นปีกว่าจะได้พบสักคน เจ้านายและข้าย่อมต้องใส่ใจ”
ซูอี้ชี้กู่ฉินไม้บนโต๊ะด้านข้าง “ท่านปราดเปรื่องการดนตรีด้วยหรือ?”
เวิงจิ่วเอ่ยอย่างถ่อมตน “ไม่ถึงขั้นปราดเปรื่อง นับว่าพอมีความสามารถอยู่บ้างเท่านั้น”
“เล่นเพลงกับดักสิบทิศได้หรือไม่”
“ได้”
“ประเดี๋ยวถ้ามีการต่อสู้เกิดขึ้น ช่วยเล่นเพลงนี้เพิ่มความสนุกให้ข้าได้หรือไม่”
เวิงจิ่วเอ่ยยิ้ม ๆ “เป็นเกียรติของข้า”
ซูอี้พยักหน้า ถือร่มเดินผ่านเพิงน้ำชาไปอยู่ริมทะเลสาบชูอวิ๋นภายใต้สายฝน
บนพื้นผิวทะเลสาบไกล ๆ เรือสำเภาลำหนึ่งพลันจุดตะเกียงขึ้นทีละดวง
ชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงผู้หนึ่งยืนอยู่หัวเรือ พร้อมเอ่ยเสียงเข้ม “ซูอี้รึ?”
“ถูกต้อง”
ซูอี้พูดไป ก้าวเท้าข้ามน้ำไป
มือหนึ่งเขาถือร่ม อีกมือไพล่หลัง เสื้อผ้าสีครามพลิ้วไสว คลื่นน้ำโถมทับอยู่ใต้เท้า ตัวเขากลับมั่นคงดั่งเดินอยู่บนที่ราบ สง่าดั่งเทพเซียน
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้ามาจริง ๆ”
ชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงดูประหลาดใจมาก สายตาที่มองซูอี้วาวโรจน์ดั่งสายฟ้าฟาดกลางนภา สีหน้าเย้ยหยัน “เจ้าไม่กลัวว่าจะมีอันเป็นไปเลยรึ?”
ซูอี้ไม่ชอบการพล่ามมาแต่ไหนแต่ไร ย่อมขี้เกียจต่อปากต่อคำ เขาก้าวไปพร้อมกวาดสายตามองรอบ ๆ “ฮั่วเทียนตูอยู่หรือไม่”
ชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงรูม่านตาหรี่ลง “เจ้ารู้ด้วยหรือว่าตระกูลฮั่วของเราหมายลงมือกับเจ้า”
ซูอี้ยืนอยู่ตรงจุดที่ห่างจากเรือสำเภาลำนั้นสิบจั้ง ขมวดคิ้วขณะพูด “ฮั่วเทียนตูไม่มารึ?”
บทสนทนาของทั้งคู่ดูพิลึกกึกกือ
ไม่ว่าชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงพูดสิ่งใด ซูอี้ก็ตอบไม่ตรงคำถามทุกครั้ง
ส่งผลให้ชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงรู้สึกถูกหยามและคล้ายถูกมองข้ามจนสีหน้าอึมครึมลง
“หากเจ้าผ่านด่านข้าไปได้ ผู้อาวุโสของเราย่อมปรากฏตัว!”
ชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงเอ่ยเสียงเย็น
ซูอี้หลุดขำ “วางมาดไม่หยอกเลยนี่ เช่นนั้นข้าจะเชือดปลาซิวปลาสร้อยอย่างพวกเจ้าก่อน แล้วค่อยจัดการผู้อาวุโสของเจ้า”
พูดไป เขาขยับเท้า กระโจนไปที่เรือสำเภาลำนั้น
ตู้ม!
วินาทีที่ซูอี้ก้าวเท้า ใต้พื้นผิวทะเลสาบมีเงาสิบกว่าร่างพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เกลียวคลื่นสาดกระเซ็นไปทั่ว
ร่างเหล่านั้นมีทั้งชายและหญิง พลังขอบเขตรวบรวมดาราแผ่ซ่านออกจากรอบตัว แรงอาฆาตพุ่งทะยานขึ้นฟ้า
ครืน!
เห็นได้ชัดว่าเหล่าผู้ฝึกตนขอบเขตรวบรวมดารารออยู่นานแล้ว ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัว ก็ใช้ออกด้วยสมบัติล้ำค่า พร้อมทั้งเคล็ดวิชาลับของแต่ละคน พุ่งเข้าไปฆ่าซูอี้คนเดียวอย่างพร้อมเพรียง
ความเงียบเชียบของรัตติกาลถูกทำลาย ม่านฝนประปรายกระจายออก
บนทะเลสาบชูอวิ๋น ประกายแสงหลากสีแผ่พุ่ง เจิดจ้างดงาม
ศาสตราสิบกว่าชนิดโผล่ออกมากลางอากาศ มีด ทวน ดาบ ง้าว ระฆังทองแดง บาตร บรรทัดหยก… ประกายศักดิ์สิทธิ์หลากหลายสีสันขจัดรัตติกาลออกไป อานุภาพสยองขวัญที่แผ่กำจายอยู่โดยรอบหลอมรวมเข้าด้วยกัน คล้ายกับภูเขาไฟปะทุ ท่าทางน่ากลัวยิ่งนัก
นอกจากนี้ ยังมีสารพัดเคล็ดลับเผยตัวพร้อมกับจังหวะวิถีอันเร้นลับ บ้างกลายเป็นสายฟ้าพายุ บ้างรวมกันเป็นฝ่ามือ แสงหมัด บ้างกลายเป็นภาพปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติแสนน่ากลัว
พลังทั้งหมดรวมเข้าด้วยกัน อานุภาพปานนั้น ซัดเกลียวคลื่นพลังน่าสยดสยองอยู่บนผืนฟ้าเหนือทะเลสาบชูอวิ๋น เพียงพอให้ผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดทุกคนหวาดกลัวสิ้นหวัง
ครืน!
ฟ้าดินเปลี่ยนสี น้ำในทะเลสาบซัดสาด
เวิงจิ่วเห็นภาพนั้นแต่ไกล ๆ คิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อย สถานการณ์เช่นนี้ เพียงพอจะเรียกว่ากับดักรอบด้านจริง ๆ
น่ากลัวว่าต่อให้เป็นผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณอย่างซือคงเป้าก็ไม่กล้าประชันฝีมือด้วย
ซูอี้ตัวคนเดียว แล้วจะคลี่คลายทุกอย่างลงได้อย่างไร?
จะใช้ไพ่ตายบางอย่าง หรือหลีกเลี่ยงไปก่อน
สายตาของเวิงจิ่วจ้องซูอี้เขม็ง กลั้นหายใจเพ่งสมาธิ
เขายังไม่ลืมเรื่องราวเมื่อเที่ยงที่เขาไปเยี่ยมเยือนซูอี้พร้อมกับเจ้านาย ซูอี้เคยกล่าวไว้ เขาหวังให้เหล่าศัตรูเข้ามาหาเพื่อลับคมดาบ!
แท้จริงแล้วเป็นการอวดเบ่งหรือมีความสามารถจริง ย่อมเห็นเศษเสี้ยวความจริงจากศึกนี้ได้
บนทะเลสาบชูอวิ๋น ร่างผอมบางของซูอี้นิ่งงันดั่งหินผา
บนตัวเขามีภาวะดาบเบาบางทว่ากว้างไกลทะยานขึ้นฟ้า
ชั่วพริบตานั้น ราวกับฟ้าดินชะงักงัน ท่ามกลางม่านฝนสะเปะสะปะ บรรดาศาสตราที่ปลิวว่อน เคล็ดวิชาลับที่สำแดงพลังอยู่ ล้วนมีท่าทีราวกับถูกแรงกดดันที่มองไม่เห็นบางอย่างกดทับจองจำเอาไว้
“นี่มัน…”
รูม่านตาของเวิงจิ่วพลันหดลง
แทบจะในเวลาเดียวกัน ซูอี้ก้าวออกไป สะบัดแขนเสื้อ
ตู้ม!
ทันทีที่เขาก้าวเท้าออกไป ราวกับผืนฟ้าถล่ม แผ่นดินทลาย ศาสตราสิบกว่าชนิดที่ลอยอยู่กลางอากาศราวกับโดนโจมตีหนัก แตกกระจายออกท่ามกลางเสียงกู่ร้อง
สายฟ้าพายุ ฝ่ามือแสงหมัด ภาพปรากฏการณ์ประหลาดต่าง ๆ ต่างถูกพายุนี้ฉีกกระชาก ระเบิดในบัดดล ลำแสงต่าง ๆ สาดกระจายประดุจสายฝน
ก้าวเดียวเท่านั้น พลังเข่นฆ่าที่คนขอบเขตรวบรวมดาราสิบกว่าคนปล่อยออกมาก็สลายประหนึ่งแผ่นกระดาษเบาบาง!
ขณะที่ซูอี้สะบัดแขนเสื้อ
ฟึ่บ!
สายฝนที่โปรยปรายอยู่ในนภา เกลียวคลื่นที่ถาโถมอยู่ในทะเลสาบ ต่างกลายเป็นปราณดาบ เรียงรายยั้วเยี้ย ประหนึ่งไร้ที่สิ้นสุด เกิดเป็นเสียงดาบกู่ร้องกึกก้องฮึกเหิมสะท้านฟ้า ปกคลุมนภาผืนนั้นไว้จนมิด
ปราณดาบนั้น เปรียบดั่งม่านฝน เปรียบดั่งเกลียวคลื่น เปรียบดั่งแหแห่งสวรรค์ที่ไม่มีทางปล่อยให้สิ่งใดลอดผ่าน!
และเมื่อได้เห็นภาพนี้ ในหัวเวิงจิ่วมีประโยคหนึ่งผุดขึ้นมา ‘คมดาบดั่งทางช้างเผือกจุติ ปฐพีแห่งนี้ปลอดพิษภัย!’
พลังระดับนั้น เล่นเอาเขาต้องอุทานในใจว่าไร้เทียมทาน จินตนาการไม่ออกจริง ๆ ว่าต้องศึกษาวิถีดาบมาขนาดไหนถึงบารมีแกร่งกล้าถึงเพียงนี้
พรวด! พรวด! พรวด!
ฝนดาบท่วมฟ้าถาโถมลงมา ภาพนองเลือดโหดร้ายฉายซ้ำอีกครั้ง
การดำรงอยู่ขอบเขตรวบรวมดาราสิบกว่าคนนั้นราบกับถูกดาบพันเล่มห้ำหั่น แต่ละคนต้านทานสุดแรง ท้ายสุดก็ยังโดนปราณดาบไร้ที่สิ้นสุดเหล่านั้นฟาดฟัน
ศาสตราป้องกันและพลังคุ้มกายต่างระเบิดออกประหนึ่งแผ่นกระดาษเบาบาง ส่วนร่างกายของพวกเขาคล้ายกับโดนมีดดาบพันเล่มเสียดแทง กลายเป็นเศษเนื้อมากมายนับไม่ถ้วนร่วงหล่นลงจากกลางอากาศ
จากนั้น เสียงโหยหวนกรีดร้องอันหวาดผวาสิ้นหวังดังเป็นระลอก ๆ อยู่ในราตรี
ทว่าเพียงไม่นานก็หยุดชะงัก
เพราะเหล่าขอบเขตรวบรวมดาราที่ถูกปราณดาบฟาดฟัน ล้วนสิ้นชีวิตลงกันหมดแล้ว!
คนตายย่อมหมดโอกาสร้องครวญครางอีกต่อไป
ครืน!
ผิวทะเลสาบมีคลื่นซัดสาด น้ำในทะเลสาบถูกปราณดาบปั่นป่วนจนเกิดเป็นม่านหมอกวารี
โลหิตกระจายฟุ้งอยู่กลางอากาศ แดงฉานแยงตา จนแยกสีที่แท้จริงของฝนฤดูใบไม้ร่วงนี้ไม่ออกไปชั่วขณะ
ซูอี้ยืนตระหง่านอยู่บนพื้นผิวทะเลสาบ นิ่งเฉยเหมือนก่อนไม่ผิดเพี้ยน
ทว่าบนเรือสำเภาที่ห่างออกไปไกล ๆ ชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงตะลึงจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง สีหน้าซีดเผือดราวกับไม่อยากเชื่อ และดูเหมือนตกใจจนสติกระเจิง
หนึ่งก้าวพร้อมสะบัดแขนเพียงหนึ่งครั้ง ผู้ฝึกตนขอบเขตรวบรวมดาราสิบสามคนก็ต้องจบสิ้นชีวิตลง!!
ภาพโหดร้ายนองเลือดนี้ ราวกับเป็นฝีมือของเทพเซียนบนสรวงสวรรค์ พบเห็นในโลกมนุษย์ได้ที่ไหนกัน
“การตายของซือคงเป้า… มิได้อยุติธรรมแต่อย่างใด…”
ภายในเพิงน้ำชาริมฝั่งทะเลสาบ เวิงจิ่วนึกสะท้อนใจ
กระทั่งตัวเขายังคิดไม่ถึงว่าการโจมตีเพียงครั้งเดียวของซูอี้ซึ่งอยู่ขอบเขตเปิดทวาร จะมีอานุภาพรุนแรงปานนี้ ฝีมือวิถีดาบนั้นน่ากลัวมากโดยไม่ต้องสงสัย
ลองกวาดตามองผู้ฝึกคนวิถีต้นกำเนิดรุ่นเยาว์ในใต้หล้านี้ ก็หาคนเช่นเขาได้ไม่กี่คนหรอก!
สายฝนราตรีโปรยปราย ทะเลสาบชูอวิ๋นภายใต้รุ่งสางที่ยังมืดมิดค่อย ๆ กลับสู่ความสงบ เหลือเพียงกลิ่นคาวเลือดกำจายอยู่ในสายลมอันหนาวเหน็บ
บริเวณรอบ ๆ ทะเลสาบชูอวิ๋นมีโรงเตี๊ยมบ้านเรือนกระจายอยู่มากมาย เวลานี้ตะเกียงถูกทยอยจุดขึ้น เสียงอุทานวุ่นวายดังมาจากที่ไกล ๆ เป็นระลอก ๆ
ไม่ต้องสงสัย สุ้มเสียงขนาดนี้ ดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากมาย
“บัดนี้ ถือว่าผ่านด้านเจ้าได้แล้วหรือไม่?”
บนทะเลสาบ ซูอี้มือหนึ่งถือร่ม พร้อมปริปากเสียงเบา เขากำลังชื่นชมทะเลสาบชูอวิ๋นท่ามกลางสายฝนราตรี ด้วยหน้าตาเรียบนิ่งอ่อนโยน
บนเรือสำเภาไกล ๆ ชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงกัดฟันดังกรอด สั่นเทิ้มไปทั้งตัว หน้าตาเต็มไปด้วยความหวาดผวา
เมื่อได้ยินคำพูดซูอี้ เขาบีบยันต์หยกที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อแหลกโดยไม่ลังเล
ตึง!
เปลวเพลิงเจิดจ้าฉีกทะลุรัตติกาล ทะยานขึ้นฟ้า
ชั่วขณะนั้น ผืนฟ้าเหนือทะเลสาบชูอวิ๋นสว่างจ้าประหนึ่งเวลากลางวัน
แต่เพียงอึดใจเดียวเท่านั้น คล้อยหลังเปลวเพลิงสลายไป ทุกสิ่งถูกราตรีกลืนกินอีกครั้ง ทุกอย่างมืดมิดไปหมด สายลมและสายฝนแห่งฤดูใบไม้ร่วงกลายเป็นแต้มสีที่ระบายอยู่ในฟ้าดินผืนนี้โดยไม่อาจลบออกอีกครั้ง
ในไม่ช้า ซูอี้ก็สัมผัสถึงบางอย่าง สายตาทอดมองไปในราตรีห่างไกล ในที่สุด… ก็มาแล้วเหรอ?