บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 497 ช่างเป็นดาบที่น่ากลัวจริง ๆ
ตอนที่ 497: ช่างเป็นดาบที่น่ากลัวจริง ๆ
ตอนที่ 497: ช่างเป็นดาบที่น่ากลัวจริง ๆ
ฝนในฤดูใบไม้ร่วงตกอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในอากาศ เหยียบลงบนเรือ ก่อนจะแล่นเหนือผิวทะเลสาบชูอวิ๋นตรงเข้ามาที่นี่
แม้ว่าแสงไฟจะสลัว แต่ในจิตสัมผัสของซูอี้ก็ยังคงเห็นได้อย่างชัดเจนว่านี่คือชายชราในชุดคลุมสีขาว
ชายชราไม่ทราบอายุมีรอยย่นมากมายอยู่บนใบหน้า ทว่าดวงตาของเขากลับใสกระจ่างดุจทารกแรกเกิด แต่ถ้ามองดี ๆ จะรู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นลึกล้ำดั่งห้วงมหาสมุทร
มือซ้ายถือกล่องดาบไว้ ขณะเหยียบบนเรือแล่นมาอย่างไร้ซึ่งสำเนียง
เมื่อเขาเห็นคนผู้นี้ ซูอี้ก็ทราบได้ในทันทีว่านี่คือฮั่วเทียนตู!
ผู้อาวุโสใหญ่สายในแห่งวังเทพสวรรค์เมฆา ซึ่งอยู่ในขอบเขตขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นกลาง ตัวตนที่อยู่ในวิถีวิญญาณมาเป็นเวลากว่าสองร้อยแปดสิบปีแล้ว และมีฉายาอันทรงเกียรติในต้าเซี่ยว่า “ดาบชางหยวนที่แท้จริง”
“เจ้าเฒ่านั่นมาที่นี่จริง ๆ!”
ภายในเพิงน้ำชา เวิงจิ่วขมวดคิ้ว
เขาตระหนักดีถึงพลังของฮั่วเทียนตู ในต้าเซี่ยปัจจุบันนี้ ฮั่วเทียนตูนับเป็นตัวตนวิถีวิญญาณที่ทรงพลังยิ่ง
เขาเชี่ยวชาญ ‘ภาวะดาบชางหยวน’ และครอบครอง ‘คัมภีร์ดาบธาราสวรรค์’ อันเป็นหนึ่งในสามมรดกคัมภีร์ดาบของวังเทพสวรรค์เมฆา ซึ่งมันเป็นวิชาที่ทรงพลังเกินกว่าจะนำตัวตนขอบเขตเดียวกันมาเทียบได้
ในกล่องดาบในมือเขาคือดาบโบราณซึ่งมีต้นกำเนิดที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน เรียกว่า ‘ดาบน้ำค้างใต้พิภพ’ ว่ากันว่าเป็นสมบัติของสำนักดาบเก่าแก่เมื่อสามหมื่นปีก่อน พลังสังหารของมันน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!
“เจ้าหนุ่มซูอี้นั่น หากคิดใช้ตาเฒ่านี่มาเป็นหินลับคม เกรงว่าคมดาบคงถึงคราวหักแน่…”
เวิงจิ่วกังวลเล็กน้อย ก่อนจะมองไปที่ซูอี้โดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่ทำให้เขาอึ้งไปก็คือ เขามองไม่เห็นความผันผวนทางอารมณ์จากซูอี้แม้แต่น้อย มันมีเพียงความเฉยเมยต่อผู้คน
ความเฉยเมยนี้ราวกับเทพเซียนที่กำลังมองลงมายังสิ่งมีชีวิตทั้งปวง!
ไร้ยินดีหรือโศกเศร้า ปลีกตัวจากทางโลก
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เวิงจิ่วก็หรี่ตาลงเล็กน้อย นี่คือสภาวะของจิตใจที่คนหนุ่มสามารถมีได้รึ!?
“สหายเต๋าเวิง ดึกป่านนี้เจ้ามาทำอะไรที่นี่กัน?”
ทันใดนั้น เสียงแหบแห้งของฮั่วเทียนตูถูกถ่ายทอดมาจากเรือลำน้อย
เวิงจิ่วกล่าวเบา ๆ ว่า “อย่ากังวลไป ชายชราจะไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องนี้ ข้ามาเพียงเพื่อชมดูการต่อสู้เท่านั้น”
ฮั่วเทียนตูบนเรือแค่นเสียงกล่าว “ช่างน่าขอบคุณยิ่งนัก”
เวิงจิ่วนั่งลงช้า ๆ แล้ววางกู่ฉินไม้ลงด้านหน้าแล้วกดนิ้วลงบนสาย
“ท่านผู้อาวุโส!”
ที่ทะเลสาบชูอวิ๋น ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมตื่นเต้นมากจนคุกเข่าคำนับ และกล่าวอย่างเศร้า ๆ ว่า “ยอดฝีมือขอบเขตรวบรวมดาราสิบสามคนภายใต้ตระกูลฮั่วของเราล้วนถูกชายผู้นี้ฆ่าตายอย่างไร้ความปรานี ด้วยความสิ้นหวังพวกเราจึงทำได้เพียงเชิญผู้อาวุโสมาที่นี่”
“เจ้าถอยออกไปเถิด”
ฮั่วเทียนตูพูดอย่างใจเย็น
เขาเหลือบมองไปยังพื้นที่ใกล้เคียง สูดกลิ่นอายโลหิตในอากาศ ก่อนความเย็นเยียบจะปรากฏขึ้นในดวงตาลึกล้ำดังมหาสมุทรของเขา
“สายลมฤดูใบไม้ร่วง สายฝนในฤดูใบไม้ร่วง ค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วง นี่คือความงามอันเยือกเย็นของฟ้าดิน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฤดูกาลเหล่านี้เหมาะสมที่สุดในการสังหารผู้คน”
ขณะพูดฮั่วเทียนตูก็มองไปที่ซูอี้
นักดาบขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณที่มีชื่อเสียงก้องทั่วโลกมีท่าทีที่ไม่แยแสและสงบนิ่ง “ข้าแค่ไม่คิดว่าตัวกระจ้อยวิถีต้นกำเนิดเช่นเจ้าจะกล้ามาจริง ๆ”
เสียงแหบแห้งที่ฟังเสมือนความหนาวเหน็บของสายลมฝนของฤดูใบไม้ร่วงล่องลอยอยู่เหนือทะเลสาบ อากาศในบริเวณใกล้เคียงคล้ายถูกแช่แข็งโดยพลังที่มองไม่เห็นจากตัวเขา
“ตัวเจ้า ฮั่วเทียนตู ในสายตาของข้า นอกจากหินลับดาบแล้วก็ไม่นับเป็นตัวอะไร แล้วเจ้าจะทำให้ข้าหวาดกลัวได้อย่างไร?”
ซูอี้เอามือไพล่หลัง ขณะที่ดวงตาของเขามีร่องรอยของการพินิจ
ทำเหมือนว่ากำลังชื่นชมหินลับดาบอยู่จริง ๆ
การดำรงอยู่ของขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ มหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณนั้นห่างไกลเกินจะนำไปเปรียบกับขอบเขตทั้งสามของวิถีต้นกำเนิดได้
ทว่าในสายตาของซูอี้ ผู้ฝึกตนอย่างฮั่วเทียนตูนั้นแข็งแกร่งกว่าตัวตนอย่างลี่เมี่ยวหงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในช่วงต้นของขอบเขตไร้เบญจธัญ ซูอี้ตัดสินจากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ว่าด้วยการฝึกฝนของเขาในเวลานั้น เขาเพียงพอที่จะต่อสู้กับตัวตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ
แต่ตอนนี้เขาอยู่ในขั้นต้นของขอบเขตเปิดทวารแล้ว และในไม่ช้าเขาก็จะสามารถไปถึงขั้นกลางของขอบเขตเปิดทวารได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ซูอี้จึงไม่มีความหวาดกลัวใด ๆ
ตรงกันข้าม เขาปรารถนาที่จะหาคู่ต่อสู้ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณมาเพื่อลับคมดาบของตน
แต่ไม่ว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบลี่เมี่ยวหง ณ ขอบผามังกรด้วน หรือเฒ่าปีศาจฮว่าถูในฮ่วนซีชาเมื่อวานนี้ พวกเขาทั้งหมดต่างถูก ‘แย่ง’ กำจัดไปเพื่อจบปัญหา
ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ซูอี้รู้สึกเสียใจอย่างมาก
ดังนั้นเมื่อฮั่วเทียนตูปรากฏตัวในเวลานี้ ซูอี้จึงรู้สึกดีใจเล็กน้อย
นอกจากนี้ฮั่วเทียนตูยังมีรัศมีคลุมเครือปกคลุม ซึ่งดูเหมือนจะเป็นอาวุธวิเศษหรือทักษะลึกลับบางอย่าง แม้ว่ามันจะไม่ได้ทำให้ซูอี้รู้สึกถูกคุกคาม แต่มันก็ได้กระตุ้นความสนใจของเขาขึ้นมา
“หินลับดาบรึ?”
บนเรือที่อยู่ไกลออกไป ฮั่วเทียนตูเลิกคิ้วและหัวเราะอย่างตะลึง “ตัวตนวิถีต้นกำเนิดเล็กจ้อยกลับกล้าถือเอาข้าที่อยู่ในวิถีวิญญาณเป็นหินลับดาบ ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไปจะไม่ทำให้ผู้คนหัวเราะจนฟันหักกันหมดรึ?”
เขายกยิ้ม หากดวงตากลับลุ่มลึกและไม่แยแส “แน่นอน ชายชราคนนี้รู้ว่าสหายน้อยซูเป็นคนที่พิเศษนัก สามารถกดหัวจางอวิ๋นเทา ผู้อาวุโสสายนอกของวังเทพสวรรค์เมฆาด้วยสองดาบ และสังหารศิษย์สายในสามคนของวังเทพสวรรค์เมฆาของข้า โดยเพิกเฉยต่อผลที่จะตามมา ด้วยความแข็งแกร่งและความกล้าหาญเช่นนี้ไม่อาจพบได้ในโลกการบ่มเพาะปัจจุบันนี้”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แววตาของเขาลุ่มลึกขึ้นอย่างเต็มไปด้วยแรงกดดัน “แล้วยังคืนนี้อีก ถ้าเป็นคนอื่นคงจะไม่มาตามนัดหมายอย่างแน่นอน แต่สหายตัวน้อยก็มา ทั้งยังสังหารตัวตนขอบเขตรวบรวมดาราตระกูลฮั่วของข้าไปหลายสิบคนลงด้วยดาบเดียว พูดตามตรงว่าแม้แต่ชายชราเองก็ยังนึกตกใจ”
ฉับพลัน ฮั่วเทียนตูส่ายหัวและกล่าวว่า “น่าเสียดายที่สหายตัวน้อยยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่วิถีวิญญาณ ถึงเจ้าจะแทบไร้เทียมทานเหนือขอบเขตทั้งสามของวิถีต้นกำเนิด แต่คืนนี้ เกรงว่าสหายตัวน้อยจะรอดทะเลสาบชูอวิ๋นนี้ไปได้ยาก”
“ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ การฝึกตนก็เช่นเดียวกัน การแบ่งระดับบ่มเพาะออกตามขั้นวิถีก็เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าวิสัยทัศน์ของเจ้าคับแคบและเห็นโลกมาน้อยเกินไป”
ซูอี้พูดเบา ๆ
วิถีต้นกำเนิดกับวิถีวิญญาณนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและไม่อาจนำมาเทียบได้
แต่ในเก้ามหาแดนดิน ไม่เคยมีใครขาดแคลนคนโหดเหี้ยมที่หาญกล้าบุกทะลวงเข้าสังหารศัตรูข้ามวิถี!
“ฮ่า ๆๆ”
ฮั่วเทียนตูหัวเราะ “ความแตกต่างระหว่างขอบเขตเปิดทวารกับขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแตกต่างอันใดจากการเทียบเมฆบนฟ้ากับโคลนตมงั้นหรือ? หากเจ้าพึ่งเพียงพลังของตน ชายชราก็สามารถสังหารฆ่าเจ้าได้อย่างง่ายดาย!”
“พูดไร้สาระเสียจริง หรือเจ้ากังวลว่าข้าจะร้องขอความช่วยเหลือรึ?”
ซูอี้ยิ้มเยาะ “ไม่ต้องกังวลไป ในคืนนี้จะไม่มีใครเข้ามาแทรกแซงได้ทั้งนั้น”
“ถึงแม้คืนนี้จะมีใครมาแทรกแซง ชายชราก็จะสังหารเจ้าให้ได้!”
ดวงตาฮั่วเทียนตูฉายความเศร้า ขณะกล่าว “ถ้าข้าไม่สังหารเจ้าเสีย จะมีหน้าไปพบหลานชายของข้า ฮั่วอวิ๋นเซิง ได้อย่างไร? ข้าจะปกป้องความยิ่งใหญ่ของวังเทพสวรรค์เมฆาได้อย่างไร? แล้วข้าจะระบายความโกรธของตระกูลฮั่วของข้าได้อย่างไร?”
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าและมีแรงกดดันมหาศาลอยู่รอบตัวเขา
ในขณะนี้ ฮั่วเทียนตู นักดาบของขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณที่สามารถสั่นคลอนโลกได้ ตัดสินใจลงมือสังหาร!
เคร้ง!
ฮั่วเทียนตูเหวี่ยงมือซ้าย ฝักดาบพลันเปิดออก และดาบวิญญาณที่ส่องแสงสีเทาเย็นยะเยือกก็พุ่งออกไป ก่อนถูกเขาคว้าเอาไว้ด้วยมือขวา
“ชื่อของดาบนี้คือดาบน้ำค้างใต้พิภพ มันติดตามข้าไปพิชิตโลกมาเป็นเวลาหนึ่งร้อยเก้าสิบสามปี และสังหารศัตรูมามานับไม่ถ้วน ถ้าคืนนี้สหายตัวน้อยเช่นเจ้าสามารถตกตายด้วยดาบนี้ แม้ไปปรโลกเกรงว่าก็ยังยิ้มได้”
เสื้อคลุมของฮั่วเทียนตูโป่งพองขึ้น ก่อนพลังของขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นกลางจะแพร่กระจายออกไปในขณะนี้
ตัวเรือที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาแตกเป็นผง ทะเลสาบส่งเสียงก้องคำรามสนั่น ก่อเป็นคลื่นน้ำพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้าบดขยี้เมฆฝนบนท้องฟ้ายามค่ำคืนให้กระจายหายไป
ที่ริมฝั่งของทะเลสาบชูอวิ๋นมีเสียงเซ็งแซ่ดังขึ้น เห็นได้ว่าในกลางดึกเช่นนี้ ผู้ฝึกตนหลายคนพากันตื่นตระหนกและคอยเฝ้าดูอย่างห่าง ๆ
เมื่อพวกเขามองเห็นพลังของขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณจากระยะไกล พวกเขาก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้
ดวงตาที่ลึกล้ำของซูอี้สว่างขึ้นดุจแสงสะท้อนของหยาดน้ำค้าง
ราวกับถูกกระตุ้น พลังปราณของเขาส่งเสียงคำรามอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และไต่ปีนขึ้นสู่จุดสูงสุดในพริบตา
บนร่างที่สูงเพรียวนั้นได้ก่อคมดาบแหลมขึ้นดุจเทพเซียนแห่งดาบอันไร้เทียมทานถือกำเนิด ก่อนปราณดาบจะทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างสง่างาม ตัดทะลุท้องฟ้ายามค่ำคืนไป
“ในที่สุดก็พบหินลับดาบที่คู่ควรสักที…”
ซูอี้พึมพำ
เคร้ง!
แทบจะในเวลาเดียวกัน ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าก็กวาดออกไป ตัวดาบใสกระจ่างดุจท้องฟ้ายามค่ำคืนส่งเสียงร้องอันกระหายเลือดออกมาอย่างชัดเจน
ชั่วขณะนี้ ซูอี้คล้ายจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาดูราวกับเป็นเทพเซียนในร่างดาบ ร่างกายดุร้ายและทรงพลังพร้อมทะลวงฟ้าดิน
คมดาบนั้นไร้ขอบเขตและไม่อาจยับยั้งได้!
“เยี่ยม!”
ในเพิงน้ำชาริมทะเลสาบ ดวงตาของเวิงจิ่วเป็นประกาย และนิ้วมือทั้งสองข้างที่กดลงบนสายก่อนแล้วก็เริ่มดีด
ติ๊ง!
เมื่อเสียงแรกของกู่ฉินดุจประกายแสงสีทองเจิดจ้าและอาชาติดเสื้อหุ้มเกาะดังก้องอยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืน ฮั่วเทียนตูก็พลันเริ่มลงมือ
ฟ้าว!
เขาเหวี่ยงดาบฟันข้ามท้องฟ้ามาอย่างรุนแรง
ในอากาศ ปราณดาบตกลงมาเสมือนแม่น้ำสวรรค์ ทรงพลังราวกับพายุ พลังยิ่งใหญ่อันยากจะประเมินนี้ดุจจะบดขยี้ทุกสิ่งลง
ดาบธาราสวรรค์!
วิชาดาบนี้เป็นหนึ่งในสามมรดกหลักของวังเทพสวรรค์เมฆา เมื่อถูกใช้โดยฮั่วเทียนตู ผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ พลังดังกล่าวจึงทำให้ทะเลสาบชูอวิ๋นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ส่งกระแสน้ำเชี่ยวกรากซัดออกไปหลายพันลี้!
มันเป็นเพียงดาบหนึ่ง แต่ปราณดาบได้เข้าครอบงำโลก และพลังดาบก็สะเทือนไปถึงเก้าชั้นฟ้า!
ตูม!
ปราณดาบอันทรงพลังนั้นฟันออกมาด้วยโทสะ
แขนเสื้อที่สง่างามของซูอี้ไม่หลบลี้หรือหลีกเลี่ยง มันพุ่งไปข้างหน้าพร้อมดาบนิลกาฬกลืนฟ้าในมือที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
…ท่วงท่าของเขาไร้การยับยั้ง ดุจการร่ายรำดาบของเทพเซียน ไร้ซึ่งกลิ่นอายของโลกมนุษย์
แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นตัวตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นกลาง ดังนั้นซูอี้ย่อมไม่ประมาท เขาคิดทุ่มใช้พลังอย่างไม่คิดกักเก็บไว้
ดังนั้นเมื่อดาบเล่มนี้ถูกฟันออกไป เงาร่างของปราณดาบอันชัดแจ้งก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อเกิดคมดาบไร้ขอบเขตแฝงไว้ด้วยจังหวะวิถีเบญจธาตุ
ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิดถูกส่องสว่างด้วยดาบเล่มนี้
มันยิ่งใหญ่ส่องสว่างเจิดจ้าราวกับดวงตะวัน!
ตูม!
เมื่อปราณดาบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงสองอันปะทะกัน ฉากที่น่าตกใจก็ปรากฏขึ้นเหนือทะเลสาบชูอวิ๋น
ภายใต้สายตาตกใจนับไม่ถ้วนของผู้คน ดาบของซูอี้นั้นพุ่งตรงราวกับพายุ และด้วยพลังของดาบเดียว มันได้ฉีกปราณดาบอันทรงพลังดุจน้ำจากแม่น้ำสวรรค์ของฮั่วเทียนตูออกเป็นแนวตรง!
ขณะที่รอยแตกขยายออกไป ปราณดาบที่พังทลายก็ถูกแหวกกระจายออกเป็นสองฝั่งราวกับกระแสน้ำ ก่อเป็นสายฝนพราวแสงสาดส่องและโปรยปรายลงมา
ในชั่วพริบตา ดาบจากฮั่วเทียนตู มหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณก็ถูกผ่าออกเป็นสองส่วนด้วยปราณดาบของซูอี้ราวกับเศษผ้า!
ดาบนี้เรียกว่าตัดสมุทรผ่าขุนเขา กระบวนท่าของเพลงดาบสุดปรีดี ซึ่งมันยังคงพุ่งต่อไปข้างหน้า!
ในเพิงน้ำชาห่างออกไป นิ้วของเวิงจิ่วที่สัมผัสกู่ฉินสั่นเล็กน้อย ดวงตาของเขาเผยแววประหลาดใจ
ช่างเป็นดาบที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้!