บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 50 เว้นที่ไว้รอแขกพิเศษ
ตอนที่ 50 เว้นที่ไว้รอแขกพิเศษ
คืนนี้หนานอิ่งแต่งแต้มใบหน้า ทำให้ยิ่งดูอ่อนหวานงดงาม
นางสวมชุดสีขาวสะอาดตา ชายกระโปรงปลิวไสว เสริมให้ดูสง่างาม
เรือนผมเกล้าขึ้นเป็นมวยสูง เผยให้เห็นลำคอขาวระหง พร้อมดวงตาหยาดเยิ้มและริมฝีปากแดงสด
ลูกศิษย์คนงามยืนท่ามกลางแสงไฟสลัว ยิ่งดึงดูดสายตาผู้คนโดยรอบ ชวนให้บุรุษบางคนถึงกับแสดงความหลงใหล
หนานอิ่งกัดริมฝีปากตนเบา ๆ ขณะจ้องมองซูอี้ สายตาฉายแววไม่สบอารมณ์ กล่าวคำ “ข้าคิดว่าท่านไร้การบ่มเพาะแล้วคงไม่น่าจะอยากมาร่วมงานประลอง โปรดอย่าถือสา ข้าไม่ได้ตั้งใจถากถางท่านแม้แต่น้อย”
ซูอี้ท่าทีไม่แปรเปลี่ยน เขาแสร้งทำหูทวนลม คร้านจะใส่ใจสตรีผู้นี้
เมื่อชาติก่อน เขาชังสตรีต่ำช้าเช่นนี้เป็นที่สุด
“ซูอี้ ไม่ได้เจอกันนานเลย…”
ฝูงชนพลันแตกตื่น เมื่อเห็นผู้พูดประโยคล่าสุดกำลังเดินเข้ามา
ผู้ที่เอ่ยวาจาคือชายชรา เคราหงอกเทา ท่าทีน่านับถือ ดวงตากึ่งลืมกึ่งหลับ กระแสลมเย็นไหลเวียนรอบกาย ชวนให้ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
เขามองมาทางซูอี้ สายตาแฝงความโศกเศร้าอยู่ในที
“ท่านลุงโจว” ซูอี้ประสานมือคารวะ
คนผู้นี้ได้ชื่อว่า ‘ผู้อาวุโสดาบยอดเขาขจี’ โจวฮวายชิว ผู้อาวุโสลำดับที่สี่ในสำนักดาบชิงเหอ
เมื่อครั้งซูอี้ยังเป็นศิษย์สายนอกของสำนักดาบชิงเหอ เขาชื่นชมซูอี้นัก อีกทั้งยังใส่ใจดูแลเป็นอย่างดี
ซูอี้เห็นว่าหนีเฮ่า หลี่เทียนหานผู้เป็นผู้นำตระกูลหลี่ และผู้อาวุโสในตระกูลหลี่หลายคนได้ติดตามโจวฮวายชิวมาเช่นกัน
โจวฮวายชิวถอนหายใจก่อนเอ่ย “ข้าได้ยินเรื่องของเจ้าในเมืองกว่างหลิงมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ขอเจ้าจงอย่าท้อแม้หมดกำลังใจไปเลย สิ่งสำคัญที่สุดคือการดำเนินหน้าใช้ชีวิตให้ดีต่อไปต่างหาก”
ซูอี้ยิ้มพยักหน้ารับเล็กน้อย
ชายชราลังเลใจครู่หนึ่ง แต่ยังตัดสินใจเอ่ยกระซิบเตือน “ซูอี้ อย่าหาว่าข้าพูดจาบั่นทอน ข้าแนะนำให้เจ้าหย่าขาดจากหลิงเจาให้เร็วที่สุดจะดีกว่า”
“นางได้เป็น ‘ศิษย์ยอดยุทธ์’ แล้ว เจ้าคงรู้สถานะของนางดี เจ้า… ไม่มีทางอยู่ข้างนางได้”
โจวฮวายชิวยังดูเป็นกังวลว่าจะทำร้ายจิตใจซูอี้ เขาเอื้อมมือตบบ่าเป็นการปลอบใจ
“ท่านพี่ซู ท่านลุงหวังดีต่อท่าน…”
หนานอิ่งซึ่งอยู่อีกด้านเอ่ยเสียงนุ่มนวล “เราต่างรู้สถานะในตอนนี้ของท่านดี หากท่านยังเป็นสามีของศิษย์ยอดยุทธ์อย่างเหวินหลิงเจา คงไม่พ้นเกิดหายนะมากกว่าผลดีเป็นแน่”
นางบอกพร้อมลอบส่งแววตาเหยียดหยาม
ซูอี้เมินเฉยใส่นาง กล่าวกับโจวฮวายชิว “ท่านลุงโจวคงยังไม่ทราบ ข้าตั้งใจจะยุติการแต่งงานกับเหวินหลิงเจาอยู่แล้ว”
ชายสูงวัยตอบกลับอย่างโล่งใจ “เจ้าคิดได้เช่นนี้ ทำให้ข้าเบาใจนัก”
รอยยิ้มเย้ยผุดขึ้นที่ริมฝีปากหนานอิ่ง นี่หรือคือหัวหน้าศิษย์สายนอกผู้เย่อหยิ่ง?
ดูเหมือนการเป็นลูกเขยในบ้านมานานนับปีจะทำลายความทะนงตนของเขาไปเสียสิ้น จึงต้องยอมศิโรราบกับความเป็นจริง!
หนีเฮ่าเฝ้ามองสถานการณ์ ไม่นึกใส่ใจ
ผู้บ่มเพาะกับคนธรรมดาย่อมอยู่คนละโลกกัน
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้จึงรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาคงเข้าใจผิด
เหตุที่เขาต้องการยุติการแต่งงานครั้งนี้เนื่องจากไม่ต้องการเสียสมาธิและถูกสวมหมวกเขียว*[1] ต่างหาก!
มีหรือเขาจะเกรงกลัวความเดือดร้อนด้วยสาเหตุเรื่อง ‘ศิษย์ยอดยุทธ์’?
เขาส่ายหน้าเอือมระอา คร้านจะอธิบายสิ่งใด
“พี่โจว งานใกล้เริ่มแล้ว เราเข้าไปกันเลยดีหรือไม่?” หลี่เทียนหานผู้เงียบมาตลอดพลันเอ่ยยิ้มแย้ม
โจวฮวายชิวพยักหน้า บอกกับซูอี้ “เจ้าเข้าไปไม่ได้เพราะไม่มีเทียบเชิญใช่หรือไม่? มากับเราสิ”
ว่าจบจึงเดินก้าวเดินไป
ทุกคนต่างเดินตามเขา
ทหารยามที่ประจำการอยู่หลีกทางให้ ไม่กล้าขวางกั้น
หูเฉวียนอดกระซิบไม่ได้ “ท่านบุตรเขย พวกเขาเข้าใจผิดแล้วเป็นแน่ เห็นชัดว่าท่านมีเทียบเชิญ ซ้ำยังเป็นเทียบเชิญแขกพิเศษ แม้แต่ท่านเจ้าเมืองฟู่ซานยังให้คนมาเชิญ…”
“ไม่เป็นไรหรอก ไปกันเถิด” ซูอี้ว่าขัดพร้อมส่งยิ้ม มือไพล่หลัง เดินข้ามสะพานประตูมังกรไป
หูเฉวียนรีบเดินตาม
เขาเป็นเพียงพ่อบ้านต่ำต้อย ไม่มีเทียบเชิญจึงต้องติดตามซูอี้อย่างใกล้ชิด
ค่ำคืนมืดมิดลงทุกที
กลางสะพานประตูมังกรตั้งอยู่กลางแม่น้ำต้าฉาง
โต๊ะเก้าอี้ถูกเตรียมไว้รอบเวทีประลองขนาดสูงสองหมี่กว้างสิบหมี่
เมื่อการประลองเริ่มต้นขึ้น ที่แห่งนี้จะกลายเป็นที่สนใจของผู้คนมากมาย!
เวลานี้บุคคลสำคัญมากมายในเมืองกว่างหลิงและเมืองลั่วอวิ๋นนั่งรายล้อมเวทีประลอง
ด้านที่นั่งของจวนเจ้าเมืองกว่างหลิงมีผู้มีอำนาจอย่างเจ้าเมืองฟู่ซาน ผู้บัญชาการเนี่ยเป่ยหู่ และผู้นำตระกูลหวงอย่างหวงอวิ๋นชง
ด้านตระกูลเหวิน เนื่องจากผู้นำเหวินฉางจิ้งไปเยี่ยมหลานที่ตำหนักเทียนหยวนเมื่อหลายวันก่อน จึงให้เหวินฉางชิงผู้เป็นน้องชายมาเป็นตัวแทนในวันนี้
สำหรับที่นั่งของเมืองลั่วอวิ๋น มีเจ้าเมืองลี่เจี้ยนอวี่ ผู้นำตระกูลโม่อย่างโม่เฮ่าหลง และผู้มีอิทธิพลคนอื่นในเมือง
เมื่อโจวฮวายชิวและผู้ติดตามมาถึง คนใหญ่คนโตจากทั้งสองเมืองล้วนยืนขึ้นเคารพทักทายด้วยรอยยิ้ม
เป็นภาพที่ทำให้ผู้คนโดยรอบแตกตื่น
“ดูนั่น ‘ผู้อาวุโสยอดเขาขจี’ โจวฮวายชิว ผู้อาวุโสแห่งสำนักดาบชิงเหอ!”
“ในการประลองประตูมังกร ใครที่แสดงผลงานได้เข้าตาของเขาจะได้รับเลือกเป็นศิษย์ของสำนักดาบชิงเหอด้วย!”
“สตรีนางนั้นเป็นใครกันงดงามยิ่ง?”
“นางเป็นศิษย์สายในของสำนักดาบชิงเหอ ชื่อว่าหนานอิ่ง รูปร่างชดช้อยราวเทพธิดา งดงามเสียจนเป็นที่เลื่องลือไปทั้งเขตปกครองอวิ๋นเหอ!”
“เฮ้อ…หากแค่ได้มีโอกาสสัมผัสมือนางสักคราข้าคงตายตาหลับ…”
…บริเวณแม่น้ำ เรือมากมายลอยลำ แสงไฟสว่างไสว ผู้คนบนเรือต่างตื่นตาตื่นใจ ท่าทีกระตือรือร้นปนปรารถนา
มันเป็นการรวมตัวของคนใหญ่คนโต เป็นสถานที่ที่ผู้กล้าท้าประลองแย่งชิงความเป็นหนึ่ง
สำหรับผู้คนทั้งสองเมืองใหญ่ นับเป็นเกียรติที่ได้รับชมนัก!
ท่ามกลางเสียงพูดคุยอย่างออกรส โจวฮวายชิว หลี่เทียนหาน หนานอิ่ง หนีเฮ่า และคนอื่น ๆ ต่างนั่งลงประจำที่
หลี่เทียนหานสังเกตเห็นบางอย่างจึงเอ่ยถาม “ข้าคิดว่าเราทุกคนมากันครบแล้ว แต่ยังเหลือที่ว่างข้างพี่ฟู่ เป็นที่นั่งสำหรับใครกัน?”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ พวกเขาต่างมองตาม แสดงท่าทีสงสัยใคร่รู้
ฟู่ซานผู้เป็นเจ้าเมืองคือเจ้าภาพงานประลองประตูมังกร นั่งอยู่กึ่งกลางและใกล้กับเวทีประลองมากที่สุด ทำให้รับชมได้อย่างสะดวก
ทว่าเก้าอี้ข้างกายที่สุดของเขากลับยังว่างอยู่
ฟู่ซานหัวเราะร่าก่อนกล่าว “เป็นที่นั่งสำหรับแขกพิเศษ ส่วนจะเป็นใคร ข้าให้ท่านเห็นด้วยตาตนเองจะดีกว่า”
ทุกคนล้วนแปลกใจและนึกฉงนยิ่ง
แขกพิเศษอย่างนั้นหรือ?
ใครคือแขกคนนี้กัน?
มีใครที่สูงส่งกว่าโจวฮวายชิวอีกหรือ?
หวงอวิ๋นชงและเนี่ยเป่ยหู่สบตากัน คล้ายพอคาดเดาได้ จึงปั่นป่วนในใจไม่น้อย
แม้เก้าอี้ตัวนั้นจะเป็นเพียงที่นั่งข้างเจ้าเมืองฟู่ซาน ทว่าเจ้าของที่ตรงนั้นมีสถานะเหนือกว่าฟู่ซานเสียอีก!
ทว่าฟู่ซานไม่ยอมเปิดเผยเรื่องนี้ พวกเขาจึงรู้ดีแก่ใจและทำทีนิ่งเงียบ
ในเวลาเดียวกัน
หลายคนมารวมตัวกันบริเวณด้านหลังที่นั่งแขกสำคัญ
ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานตระกูลใหญ่
พวกเขายังไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมงานประลอง จึงทำได้เพียงรับชมจากบริเวณรอบนอก
“ซูอี้ นี่เจ้ากล้าดียังไงถึงแอบเข้ามาที่ตรงนี้!?”
เมื่อซูอี้และหูเฉวียนปรากฏตัวขึ้น พวกเขาจำได้ในทันที
เป็นเหวินเส้าเป่ยที่พูดขึ้น!
ท่าทีของเขาดูฉุนเฉียว คล้ายไม่อยากเชื่อว่าซูอี้จะได้เข้าร่วมงาน
ลูกหลานตระกูลใหญ่รอบข้างเขาต่างประหลาดใจ
ซูอี้ชายตามองอีกฝ่าย อดจะชื่นชมไม่ได้ ชายผู้นี้ช่างช่ำชองการหาเรื่องกันยิ่งนัก!
เมื่อกลางวัน หวงเฉียนจวินต่อยเขาไปสองหมัด รอยช้ำบนใบหน้ายังไม่ทันจางหายดี ตอนนี้กลับคิดรนหาที่อีกครั้ง
“เขาคือซูอี้หรือ? ให้ตายสิ คนพิกลพิการเช่นนี้ไม่คู่ควรแก่การเป็นสามีของศิษย์ยอดยุทธ์!”
ลูกหลานตระกูลอื่นต่างกระซิบกระซาบและชี้มาทางซูอี้
ซูอี้เมินเฉย สายตาเย็นชา ชื่นชมความงามยามราตรี
ทอดสายตามองจากที่นี่ไป แม่น้ำต้าฉางพร่างพราวไปด้วยแสงไฟดั่งดวงดาว แสงเงาไหลลอยไปตามสายน้ำ งดงามจับจิต
เมื่อเห็นซูอี้นิ่งเงียบ เหวินเส้าเป่ยส่งเสียงฟึดฟัด ก่อนหันมองไปทางอื่น
วันนี้เป็นวันจัดงานประลองประตูมังกร มีคนสำคัญมากมายเข้าร่วมงาน จึงไม่มีใครกล้าก่อเรื่องวุ่นวาย
ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงกลองดังกระหึ่มยามค่ำคืน สนั่นหวั่นไหวไปถึงบริเวณห่างไกลออกไป
ฝูงชนริมสองฟากฝั่งแม่น้ำตื่นตาตื่นใจ เสียงนี้เป็นสัญญาณบอกว่างานประลองประตูมังกรกำลังจะเริ่มต้นขึ้น!
ณ ใจกลางงานประลอง บทสนทนาสิ้นสุด ทุกสายตาจับจ้องไปยังเวทีประลองประตูมังกร
ฟู่ซานผู้เป็นเจ้าเมืองกว่างหลิงและลี่เจี้ยนอวี่ผู้เป็นเจ้าเมืองลั่วอวิ๋นต่างขึ้นไปบนเวทีประลอง พวกเขาทั้งสองต่างก็เป็นที่สนใจผู้คน
ซูอี้มองตามเช่นกัน
ลี่เจี้ยนอวี่อยู่ในชุดสีเงินเหลือบทอง
สิ้นเสียงกลอง ลี่เจี้ยนอวี่มองรอบกายก่อนกล่าวเสียงเข้ม
“การประลองประตูมังกรวันนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา ท่านเจ้าเมืองฟู่ซานและข้าได้ตกลงกันว่าหากผู้ชนะมาจากเมืองใด เมืองนั้นจะมีสิทธิ์ปกครองเกาะไผ่วิญญาณทั้งสิ้นสิบปี!”
เกิดความโกลาหลขึ้นในทันใด ทุกคนต่างตกตะลึง
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ข่าวใหญ่นี้มาก่อน จึงชวนให้ตกใจไม่น้อย
กระทั่งเสียงฮือฮาซาลง ลี่เจี้ยนอวี่เอ่ยสีหน้ายิ้มแย้ม “การเดิมพันนี้ มีผู้อาวุโสโจวฮวายชิวแห่งสำนักดาบชิงเหออยู่เป็นประจักษ์พยานให้กับพวกเราด้วย”
โจวฮวายชิวซึ่งครองที่นั่งแขกพิเศษลุกขึ้นกล่าว “เป็นเกียรติของข้านัก”
“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่โจว ท่านนั่งลงเถิด”
ลี่เจี้ยนอวี่หัวเราะร่าเสียงดัง มองหน้าฟู่ซาน พลางเอ่ยคำ “ท่านฟู่ซาน คำกล่าวของข้าท่านยอมรับหรือไม่?”
“ไม่มีปัญหา” ฟู่ซานยิ้มรับก่อนพูดเสียงเรียบ
“ดี!”
ลี่เจี้ยนอวี่ยกมือ “เช่นนั้นเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา งานประลองประตูมังกรเริ่มต้น ณ บัดนี้!”
สิ้นคำ เขาและฟู่ซานก้าวถอยหลังออกจากเวทีประลอง
ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มผู้หนึ่งจากเมืองลั่วอวิ๋นได้กระโดดพุ่งขึ้นไปบนเวทีประลอง
“สหายเมืองกว่างหลิง ใครจะให้เกียรติประลองกับข้าเป็นคู่แรก?”
ผู้ที่กระโดดขึ้นเวทีประลองเป็นชายหนุ่มในชุดเงิน พร้อมดาบยาวและฝักข้างเอว รูปลักษณ์ของเขาเปรียบได้ดั่งต้นหยกเล่นลม*[2] เปล่งประกายงามสง่า
ทันทีที่เขาปรากฏกาย พลันผู้คนต่างถูกดึงดูดสายตาไปยังเขา
[1] สวมหมวกเขียว เป็นสำนวนจีนหมายถึงนอกใจ
[2] ต้นหยกเล่นลม หมายถึงชายหนุ่มรูปงามสง่า หล่อเหลา