บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 500 ฮั่วเทียนตู ตายแล้ว!
ตอนที่ 500: ฮั่วเทียนตู ตายแล้ว!
ตอนที่ 500: ฮั่วเทียนตู ตายแล้ว!
แม้จะหยิ่งยโส แต่ซูอี้ก็ไม่ประมาท
ถึงอย่างไรก็เป็นวิญญาณร้ายโบราณตนหนึ่งที่ผนึกอยู่ภายในตัวดาบ เมื่อสามารถมีชีวิตรอดมาจนถึงยามนี้ได้ จะต้องไม่ธรรมดาแน่
ดวงตาของซูอี้ฉายแววลุ่มลึก เขาคิดกับตัวเองว่าควรจบเรื่องนี้ได้แล้ว…
เมื่อการต่อสู้มาถึงขั้นนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะต้องยืดเยื้ออีก!
เหนือทะเลสาบชูอวิ๋น หมอกชั่วร้ายสีเลือดปกคลุมไปทั่ว
ฟึบ!
ทันใดนั้นจิตวิญญาณของฮั่วเทียนตูหลุดออกมาจากร่างที่แหลกละเอียด แล้วสิงเข้าไปภายในดาบโบราณน้ำค้างใต้พิภพสีแดงฉานนั้น
“ตายซะ!”
ฉับพลัน คล้ายกับดาบนี้มีชีวิตขึ้นมา ภายใต้พลังของวิญญาณฮั่วเทียนตูที่ถูกกระตุ้น ดาบนี้ก็ทะยานขึ้น พลางกวัดแกว่งไปทางซูอี้
ตูม!
ประหนึ่งฟ้าดินกำลังยุ่งเหยิงสั่นไหว ปราณดาบรุนแรงดุร้ายพุ่งออกมา อานุภาพดุจพายุคลั่ง ส่องสว่างแสบตาอยู่เหนือทะเลสาบชูอวิ๋นภายใต้ท้องฟ้ามืดครึ้ม
ทางด้านริมฝั่งทะเลสาบ มีผู้ฝึกตนมากมายหน้าถอดสี และตกใจหวาดกลัวยิ่ง
สิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นคือ ท่ามกลางหมอกสีเลือดที่ปกคลุมไปทั่ว มีปราณดาบชั่วร้ายอยู่ เสี้ยวอึดใจเดียว คล้ายกับมีเงาที่เหมือนกับเทพชั่วร้ายกำลังหัวเราะอย่างลำพองใจ อานุภาพดุร้ายนั้นสั่นสะเทือนไปทั่ว
นี่แค่มองจากที่ไกล ๆ เท่านั้น ก็ยังทำให้รู้สึกสิ้นหวังแล้ว
ณ เพิงขายน้ำชา เวิงจิ่วข่มอารมณ์ตัวเองเอาไว้ไม่ไหวอีกแล้ว เขาพุ่งทะยานขึ้นไปในอากาศ กำลังจะพุ่งเข้าไปใกล้ทะเลสาบเพื่อเข้าช่วยเหลือ
ทันใดนั้นเอง
ชิ้ง!
เสียงใสกังวานของดาบดังขึ้น คล้ายกับเสียงธรรมชาติที่มาจากอดีตกาล และคล้ายกับเสียงบทสวดเมื่อความยุ่งเหยิงได้เริ่มขึ้น
เวินจิ่วรู้สึกสั่นเทา ร่างที่ยืนอยู่กลางอากาศแข็งทื่อ
พริบตาเดียว คล้ายกับเขาเห็น… ร่างของซูอี้ที่อยู่ตรงกลางทะเลสาบชูอวิ๋นสูงใหญ่ขึ้นจนสุดลูกหูลูกตาทันใด
เขาสวมชุดสีเขียวดั่งหยก ผมดำขลับปลิวไสว มีภาวะดาบแปลกประหลาดเลือนรางพันรอบตัว และยังคงมีท่าทางเย็นชาเหมือนเดิม
แต่บนตัวเขา กลับมีอานุภาพไร้รูปร่างยากที่จะบรรยายพรั่งพรูออกมา
ประหนึ่งเทพเจ้าที่อยู่เหนือวิถีดาบ ถือครองวาจาสิทธิ์ ควบคุมสุริยันจันทรา และสยบไปทั่วใต้หล้า!
แม้แต่คนอย่างเวิงจิ่ว ก็ยังอดที่จะรู้สึกตกใจและเกรงขามราวกับเป็นมดตัวเล็ก ๆ ไม่ได้
ทว่าเพียงเสี้ยวอึดใจเท่านั้น ภาพและสิ่งที่รับรู้ทั้งหมดก็หายเลือนไป ฉับพลันเสียงระเบิดดังขึ้นเหนือทะเลสาบชูอวิ๋น
ตูม!!
หมอกสีเลือดปกคลุมไปทั่ว คล้ายกับถูกพายุคลั่งที่มองไม่เห็นฉีกขาด และสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ตรงกลางทะเลสาบ ปราณดาบชั่วร้ายที่พุ่งขึ้นน่านฟ้าค่อย ๆ แตกออก ผืนดินพังถล่มกระเบื้องแตกหักดุจฟองสบู่ และค่อย ๆ เลือนหายลับไป
แม้แต่เงาวิญญาณร้ายที่บ้าคลั่งก่อนหน้านี้และเสียงหัวเราะดุดันนั้น ราวกับเป็นภาพลวงตา หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
ท้องฟ้ามืดขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่มีสายลม สายฝนในฤดูใบไม้ร่วง
แต่ไอหนาวเหน็บที่แผ่ซ่านไปทั่ว กลับเข้มข้นจนมิอาจสลายได้ และเกลื่อนกลาดไปทั่วอากาศทุก ๆ หนึ่งชุ่น
ท้องฟ้ามืดครึ้ม กลายเป็นสีพื้นหลังของทะเลสาบชูอวิ๋นอีกครั้ง
ท่ามกลางแสงไฟมืดสลัว ทำให้พวกเขาเห็นอย่างเลือนราง ตรงกลางเหนือทะเลสาบนั้นยังมีร่างหนึ่งยืนอยู่
ใต้ท้องฟ้ามืดมิด เขาเหมือนกับเป็นก้อนหินใหญ่ที่แข็งมานานนม ไม่ว่าจะเจอลมเจอฝนเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้มันขยับเขยื้อนได้!
คนผู้นี้ย่อมเป็นซูอี้
เขาก้มหน้ามองดาบโบราณน้ำค้างใต้พิภพที่สั่นอยู่ในมือขวา ราวกับกำลังสวามิภักดิ์
จิตวิญญาณของฮั่วเทียนตูผู้อาวุโสใหญ่สายในของวังเทพสวรรค์เมฆาที่อยู่ภายในตัวดาบ อ่อนแอลงอย่างมาก ประหนึ่งเทียนไขมอดดับหลังจากถูกเผาไหม้ เขาสูญเสียพลังชีวิตไปทั้งหมด และใกล้จะเลือนรางหายไป
“เมื่อเทียบถึงพละกำลัง เจ้าสู้ข้ามิได้ เมื่อเทียบถึงไพ่ตาย เจ้าก็ยังเทียบข้ามิได้เช่นกัน แล้วยังคิดเหลวไหลสังหารข้าซูผู้นี้ด้วยชีวิตตัวเองอีก เจ้า… มีค่าพออย่างนั้นหรือ?”
ซูอี้พึมพำแผ่วเบา แววตาแฝงไปด้วยความเหยียดหยาม
เสียงพึมพำอย่างขมขื่น คล้ายรู้สึกปล่อยวางของฮั่วเทียนตูดังออกมาจากในตัวดาบ “หากตายอยู่ภายใต้พลังเช่นนี้ ชายชราผู้นี้ก็ไม่เสียใจเลย…”
ซูอี้เอ่ยอย่างเย็นชา “นี่คือพลังของข้า”
“งั้นรึ หากเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงอยู่เพียงขอบเขตเปิดทวารเล่า?”
ฮั่วเทียนตูเย้ยหยัน ราวกับได้ยินเรื่องตลกมากเรื่องหนึ่ง
ซูอี้ถอนหายใจออกมาเบา ๆ และเผยสีหน้าเห็นอกเห็นใจขึ้นมา “หากเป็นเมื่อก่อน แมลงเช่นเจ้า ไม่มีค่าพอให้ข้าชายตาแลมองหรอก”
ฮั่วเทียนตูยังอยากจะพูดอะไร แต่ไม่ทันแล้ว
จิตวิญญาณของเขาเริ่มสลายหายไป ประหนึ่งประกายไฟน้อยนิดในความมืดสลัว จากนั้นก็กลายเป็นความว่างเปล่า
“นายท่าน ข้ายอมสวามิภักดิ์เป็นบ่าวรับใช้ท่าน!”
ภายในดาบโบราณน้ำค้างใต้พิภพ มีเสียงวิงวอนอย่างกังวลร้อนรนดังออกมา แลเห็นได้อย่างเลือนรางว่าร่างวิญญาณร้ายที่คืบคลานอยู่ในนั้นกำลังสั่นเทา
“แค่วิญญาณร้ายตัวหนึ่ง คิดเพ้อเจ้อจะเป็นบ่าวรับใช้ข้า? หึ… ฝันไปเถอะ!”
ซูอี้หัวเราะเยาะเย้ย
พลันยกมือตวัดออกไป
ทันใดนั้น ดาบโบราณน้ำค้างใต้พิภพสั่นไหวอย่างรุนแรง วิญญาณร้ายที่อยู่ภายในนั้นถูกปิดผนึกไว้ในที่สุด
เขาไม่มีความสนใจต่อความเป็นมาของวิญญาณร้ายนี้เลย
ช่วยไม่ได้ ในเมื่อชาติก่อน เขาไม่นิยมชมชอบกายวิญญาณที่เกิดจากพลังบาปอันสกปรกเป็นอย่างมาก
“ดาบเล่มนี้ไม่เลวเลย”
ซูอี้เก็บดาบโบราณน้ำค้างใต้พิภพขึ้นมา
คุณภาพวัสดุของดาบเล่มนี้ หลอมมาจากวัตถุระดับวิถีวิญญาณ แม้จะไม่ได้เป็นของล้ำค่าหายากอะไร แต่กลับสามารถนำมาเป็นของบำรุงเสริมในตอนที่ชุบหลอมดาบนิลกาฬกลืนฟ้าได้
ส่วนวิญญาณร้ายตัวนั้น แน่นอนว่าไม่ให้มันเปล่าประโยชน์ ให้นกกระจอกเพลิงยมโลกกินเป็นอาหารก็พอแล้ว
ซูอี้หมุนตัวทะยานไปทางริมฝั่งทะเลสาบ
เมฆฝนบนท้องฟ้ามืดมิดค่อย ๆ สลายไป เผยดวงดาวที่สว่างไสวออกมา
การต่อสู้จบลงแล้ว บริเวณใกล้ ๆ ทะเลสาบชูอวิ๋น คล้ายกับฟื้นฟูกลับมาเงียบสงบดั่งแต่ก่อนอีกครั้ง
ณ เพิงขายน้ำชา ครั้นเห็นร่างสูงใหญ่ลอยเข้ามา เวิงจิ่วถึงได้สติขึ้นราวกับตื่นขึ้นมาจากความฝัน
เขาก้าวขึ้นไปต้อนรับอย่างเคยชิน พลางเอ่ย “สหายเต๋าบาดเจ็บอะไรหรือไม่?”
หากเพ่งมองดี ๆ ชายชราที่เพียงแค่ปรากฏตัวออกมาก็ทำให้ฮูหยินโหรวแห่งฮ่วนซีชาก้มหัวด้วยความเคารพยำเกรง เมื่อเผชิญหน้ากับซูอี้ในยามนี้ กลับเผยท่าทีที่เกรงใจออกมา!
ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาเผชิญหน้ากับซูอี้ ไม่ว่าเขาจะแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนและเคารพเชื่อฟังเพียงใด มันก็เป็นเพียงมารยาท เพราะเขาต้องขอความช่วยเหลือจากซูอี้ก็เท่านั้น
ในส่วนลึกของจิตใจ เขาเห็นซูอี้เป็นเพียงชนรุ่นหลัง เป็นคนที่มีพรสวรรค์พลิกฟ้าที่เห็นได้ยากในยุคนี้
ทว่ายามนี้ ท่าทางของเวิงจิ่วต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง!
ส่วนสาเหตุนั้น ซูอี้ย่อมรู้อยู่แก่ใจ
เพียงแต่ เขาไม่สนเรื่องเหล่านี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว “การต่อสู้ก่อนหน้านี้ เจ้าเห็นหมดแล้วรึ?”
เวิงจิ่วพยักหน้า เขาคิดว่าซูอี้หวังให้ตนเองติชมการต่อสู้นี้ และกำลังตระเตรียมคำพูด
พลันซูอี้เอ่ยว่า “อืม เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าไปเก็บของรางวัลจากการต่อสู้เมื่อครู่ให้ข้าที พรุ่งนี้ตอนที่เจ้ากับนายท่านของเจ้าเดินทางมาสวนน้อยนภาเมฆก็นำมันมาให้ข้า”
เวิงจิ่วมีท่าทางนิ่งค้าง กลืนคำพูดลงไปในท้อง
ทั่วต้าเซี่ยนี้ นอกจากนายท่านแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเรียกใช้ตัวเองเช่นนี้?
แต่เจ้าหนุ่มนี่กลับไม่เกรงใจกันเลยแม้แต่น้อย! ท่าทางและคำพูดก็ยังธรรมดา หรือในสายตาเขา ตัวเขาเป็นแค่… คนทั่วไป?
“ได้”
เวิงจิ่วสูดหายใจเข้าลึก พลางข่มความรู้สึกอึดอัดไว้ในใจ
“มีรถลากหรือไม่?”
ซูอี้ถามอีกครั้ง
เขาที่ผ่านการต่อสู้มาเมื่อครู่สูญเสียพลังไปไม่น้อย หากสามารถนั่งรถไปได้ เขาก็จะไม่เดิน
เวิงจิ่วแอบยิ้มเจื่อนกับตัวเอง เจ้าหนุ่มนี่ตีงูด้วยไม้ งูเลื้อยไปตามไม้*[1] ในตอนที่เรียกใช้ตัวเองนั้นยิ่งไม่เกรงใจเลย
แต่ช่วยไม่ได้ เขาไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ และกล่าวว่า “สหายเต๋าต้องเดินไปตามทางสายนี้ และไม่เกินครู่หนึ่ง จะมีรถลากมารับท่าน”
“ขอบคุณมาก”
ซูอี้หมุนตัวเดินออกไปด้านนอก
“เหอะ ไม่นึกเลยว่าเจ้าหนุ่มที่หยิ่งยโสจนเข้ากระดูกดำจะขอบคุณเป็นด้วย? แต่ว่า นี่ก็ถือเป็นประโยคที่น่าฟังประโยคหนึ่ง”
เวิงจิ่วรู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย
“จริงสิ”
จู่ ๆ ซูอี้ก็หยุดชะงัก ราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“สหายเต๋ามีสิ่งใดจะสั่งรึ?”
เวิงจิ่วถาม
ซูอี้ชี้กู่ฉินไม้ที่อยู่บนโต๊ะ พลางเอ่ย “ข้าผู้นี้จะแนะนำบางอย่างที่จริงใจต่อเจ้า เจ้าไม่เหมาะทางด้านดนตรี ต่อไปอย่าได้ดีดฉินอีก ไม่เช่นนั้น คงได้ทำลายทำนองเพลงดี ๆ เป็นแน่”
ขณะเอ่ย เขานำสองมือไพล่หลัง และก็เดินจากไป
เหลือเพียงเวิงจิ่วที่อับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
เจ้าหมอนี่ ปากร้ายอะไรปานนั้น!!
ในเวลานี้ ราวกับเหล่าผู้ฝึกตนที่เฝ้าดูการสู้รบบนริมฝั่งทะเลสาบรู้ตัวอีกทีก็ได้สติขึ้นมา หลังจากนั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้นรอบ ๆ ทะเลสาบชูอวิ๋นราวกับหม้อระเบิด ก่อนตามมาด้วยเสียงดังอื้ออึงขึ้น
“สวรรค์! ผู้อาวุโสใหญ่แห่งวังเทพสวรรค์เมฆาตายแล้ว!!”
มีคนจำนวนไม่น้อยตกใจ พลางอ้าปากตาค้าง
“การโจมตีสุดท้ายนั้นน่าสะพรึงกลัวมาก แล้วจะต้านทานได้อย่างไร? ชายหนุ่มชุดเขียวนั่นมาจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ใดกันแน่?”
มีบางส่วนที่กำลังสืบเสาะฐานะของซูอี้ แต่ไม่มีผู้ใดเลยที่จะไม่สับสนมึนงง
ยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความลึกลับ และเกิดความรู้สึกเคารพยำเกรงขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
“นครหลวงจิ๋วติ่งในวันพรุ่งนี้ เกรงว่าคงปั่นป่วนโกลาหลเพราะเรื่องนี้แน่!”
มีผู้อาวุโสบางคนเอ่ยด้วยความมั่นใจ
ฮั่วเทียนตู ตัวตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณผู้นี้โด่งดังไปทั่ว ส่วนฐานะก็น่ากลัวยิ่ง เขาเป็นถึงผู้อาวุโสใหญ่สายในวังเทพสวรรค์เมฆาหนึ่งในสี่กลุ่มขุมกำลังเต๋าสูงสุด และยังเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลฮั่วซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งต้าเซี่ย
บุคคลโด่งดังเช่นนี้ กลับมอดดับอยู่เหนือทะเลสาบชูอวิ๋นในคืนนี้!
ไม่จำเป็นต้องคิดเลยด้วยซ้ำ อย่างไรเรื่องนี้จะต้องทำให้เกิดความโกลาหลไปทั่ว และทำให้ผู้ฝึกตนทั้งหมดสั่นสะท้านเป็นแน่!
…..
บนแท่นหยกชั้นบนสุดของหอแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากทะเลสาบชูอวิ๋นไม่ไกลนัก
“ไม่ เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!!”
ใบหน้าฮั่วหมิงเยวี่ยน ผู้นำตระกูลฮั่วเต็มไปด้วยความโกรธและเสียใจ บนหน้าผากมีเส้นเลือดปูดโปนออกมา
เขาสวมชุดสีม่วง หน้าตาดูสูงศักดิ์ ท่าทางเคร่งครึมน่าเกรงขาม ทว่ายามนี้กลับเสียกริยาไปอย่างมาก
ข้าง ๆ เขา เหล่าคนใหญ่คนโตในตระกูลฮั่วต่างมีสีหน้าเคร่งขรึม
ในระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ พวกเขามองดูอยู่จากที่ไกล ๆ
แต่ทุกคนต่างไม่นึกเลยว่า สุดท้ายฮั่วเทียนตูจะพ่ายแพ้ด้วยดาบที่ต้องแลกด้วยชีวิต!
สิ่งนี้ทำให้พวกเขารับไม่ได้ไปครู่หนึ่ง
“แล้ว… แล้วข้าจะไปอธิบายต่อสำนักอย่างไรดี!”
ชายวัยกลางคนที่สวมชุดฮวาเผา*[2] ผมยาวดำขลับดุจหมึก และมีหนวดเครากำลังตีอกชกหัว สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
อวี๋เฟิงเหอ
ผู้อาวุโสสายในลำดับสี่แห่งวังเทพสวรรค์เมฆา คือคนที่อยู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นต้นผู้หนึ่ง
ด้านข้างเขา คือชายที่มีรูปร่างสูงตระหง่าน นามว่าเนี่ยอิงซาน มาจากวังเทพสวรรค์เมฆาเช่นเดียวกัน อยู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นต้น และเป็นผู้อาวุโสสายในลำดับที่ห้า
ในเวลานี้ สีหน้าของทั้งสองคนที่มาจากวังเทพสวรรค์เมฆาต่างบิดเบี้ยว
ส่วนเรื่องที่จะไปจัดการซูอี้หรือไม่นั้น มีการโต้เถียงกันระหว่างระดับสูงแห่งวังเทพสวรรค์เมฆาอยู่หลายวัน
สุดท้าย ด้วยการปรากฏตัวของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับสาม ‘ปราชญ์จิ้งไห่’ จึงตกลงให้ฮั่วเทียนตูพาคนเดินทางไปนครหลวงจิ๋วติ่งเพื่อสังหารซูอี้
แต่ไม่นึกเลยว่า ฮั่วเทียนตู ซึ่งเป็นตัวตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นกลางที่โด่งดังไปทั่ว จะตายด้วยน้ำมือชายหนุ่มที่มีขอบเขตเปิดทวารในคืนนี้?
บรรยากาศหนักอึ้ง
เหล่าคนใหญ่คนโตที่เป็นเหมือนเจ้าแห่งการปกครองในสายตาเหล่าผู้ฝึกตนบนโลกนี้ ต่างมีท่าทางเหมือนกำลังไว้ทุกข์!
ฉับพลัน มีคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งจากตระกูลฮั่วเอ่ยอย่างอาฆาต “เมื่อจะทำแล้ว ต้องทำให้ถึงที่สุด ไม่สู้พวกเราร่วมมือกันไปสังหารซูอี้ไอ้เดรัจฉานนั่นในยามนี้กันเถิด?”
[1] งูด้วยไม้ งูเลื้อยไปตามไม้ หรือ 打蛇随棍上 เป็นสำนวนจีน หมายถึงฉวยโอกาสใช้จุดบกพร่องของคู่ต่อสู้เพื่อโต้กลับ
[2] ชุดฮวาเผา หรือ 华袍 เป็นชุดคล้ายกี่เพ้า