บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 501 ในพระราชวัง
ตอนที่ 501: ในพระราชวัง
ตอนที่ 501: ในพระราชวัง
ไปสังหารซูอี้ในยามนี้?
ทุกคนต่างมีท่าทางแปลกไป
“ยังไม่เหมาะ!”
มีคนคัดค้านทันที “ไม่ต้องเอ่ยถึงพลังของซูอี้ผู้นี้ว่าน่ากลัวเพียงใด เพียงการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ครั้งนี้ คงไปดึงดูดความสนใจกองกำลังต่าง ๆ ในนครหลวงจิ๋วติ่งแล้ว หากลงมือในยามนี้ ต้องมีตัวแปรมากมายเกิดขึ้นแน่”
มีคนพยักหน้าเห็นด้วยไม่น้อย
การต่อสู้อันยอดเยี่ยมเหนือทะเลสาบชูอวิ๋น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก
ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่า เหล่ากองกำลังที่อยู่ในนครหลวงเหล่านั้น ต้องเริ่มเคลื่อนไหวแล้วแน่นอน
มีคนเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แต่คนผู้นี้เพิ่งผ่านการต่อสู้มาเมื่อครู่ เขาจะต้องสูญเสียพลังไปมากแน่ อีกอย่างไพ่ไม้ตายเขาก็แสดงออกมาแล้ว ยามนี้เป็นโอกาสดีที่จะสังหารเขา หากพลาดโอกาสนี้… ต่อไปคงหาโอกาสเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว”
เมื่อคำพูดนี้ดังออกไป ทำให้คนจำนวนไม่น้อยเกิดความลังเล
แม้แต่ผู้นำตระกูลฮั่วอย่างฮั่วหมิงเยวี่ยน ก็เกิดความรู้สึกตีกันอยู่ภายใน
และในยามนี้เอง
มีเสียงเข้มแข็งทรงพลังเสียงหนึ่งดังขึ้น “ทางที่ดีควรจบเรื่องในคืนนี้แต่เพียงเท่านี้”
พลันมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากอากาศไกล ๆ ตามเสียงออกมา บนหัวสวมหมวกทรงกลมสีดำ มือถือไม้เท้าสีดำ แม้จะมีใบหน้าแก่ชรา แต่ร่างกายกลับตรงทื่อดุจต้นสน
ครั้นเห็นคนผู้นี้ปรากฏตัว สีหน้าฮั่วหมิงเยวี่ยนเปลี่ยนไปอย่างมาก พลางเอ่ย “ผู้อาวุโสสุ่ย ท่านมาได้อย่างไรกัน?”
เหล่าคนใหญ่คนโตในตระกูลฮั่ว แต่ละคนต่างประหลาดใจ
พวกเขารู้จักเจ้าของหอทะเลสาบเมฆาผู้นี้ดี
เพียงแต่ไม่เข้าใจ ด้วยฐานะอันสูงศักดิ์ของอีกฝ่าย เหตุใดถึงได้ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้อง และมาหาพวกเขา หลังจากการต่อสู้เพิ่งจบลงไปได้ไม่นาน
ผู้อาวุโสสุ่ย!
อวี๋เฟิงเหอแห่งวังเทพสวรรค์เมฆา เนี่ยอิงซาน และผู้ที่มีขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นต้นอีกสองคนต่างมีนัยน์ตาแข็งขึ้น
แม้พวกเขาจะไม่ใช่คนของนครหลวงจิ๋วติ่ง แต่หาใช่จะไม่รู้ว่าผู้อาวุโสสุ่ยมีฐานะและตำแหน่งสูงส่งเพียงใด?
ผู้อาวุโสสุ่ยเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “จุดประสงค์ที่ชายแก่อย่างข้ามีที่นี่ก็ได้กล่าวอย่างชัดเจนแล้ว เรื่องในคืนนี้ขอผู้นำตระกูลฮั่ววางมือแต่เพียงเท่านี้”
ฮั่วหมิงเยวี่ยนขมวดคิ้ว พลางเอ่ยด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว “ผู้อาสุโสสุ่ย ท่านลุงข้าตายที่นี่ในคืนนี้ ทว่ายามนี้ท่านกลับบอกให้ข้าวางมือ นี่… มันไม่ดูไร้เหตุผลเกินไปหน่อยรึ?”
เหล่าคนตระกูลฮั่วก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน
อวี๋เฟิงเหอเอ่ยถาม “ผู้อาวุโสสุ่ย คืนนี้ท่านมาที่นี่เพื่อออกหน้าแทนซูอี้รึ?”
ผู้อาวุโสสุ่ยส่ายหน้า “ชายแก่ผู้นี้แค่มาตามที่ได้รับสั่งเท่านั้น”
เมื่อประโยคนี้ดังออกไป ทุกคนต่างรู้สึกกังวล
ฐานะของผู้อาวุโสสุ่ยในนครหลวงจิ๋วติ่ง ก็สูงส่งและเหนือกว่าผู้อื่นอยู่แล้ว จะมีผู้ใดกล้าใช้คนเช่นผู้อาวุโสสุ่ยกัน?
ฮั่วหมิงเยวี่ยนสูดหายใจเข้าลึก พลางถาม “ขอริอาจถามผู้อาวุโสสุ่ย ท่านรับคำสั่งมาจากผู้ใดกัน?”
ผู้อาวุโสสุ่ยเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “จากคนในราชวัง”
ประโยคที่แผ่วเบา ทว่ากลับทำให้ม่านตาของฮั่วหมิงเยวี่ยนหดลง และร่างกายก็พลันแข็งทื่อ
ครั้นมองดูคนอื่น ๆ พวกเขาล้วนนิ่งอึ้งคล้ายกับไม่อยากจะเชื่อ
“ข้าบอกได้เท่านี้ เชิญพวกเจ้าพิจารณากันเอาเอง ขอตัวลา”
เมื่อเอ่ยจบ ผู้อาวุโสสุ่ยหมุนตัวเดินออกไป
“ในราชวัง? คนใหญ่คนโตในราชวังมีตั้งมากมาย แล้วผู้ใดคือคนที่อยากหาเรื่องกับตระกูลฮั่วของพวกเรากัน?”
มีคนสงสัย และมีสีหน้าเคร่งขรึม
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งต้าเซี่ย ตระกูลฮั่วยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ พื้นเพนั้นย่อมไม่ธรรมดา
แม้แต่คนในราชวงศ์ทั่วไป ก็มิกล้าล่วงเกินพวกเขาอย่างง่าย ๆ
“พวกเจ้าคิดว่า ในราชวังจะมีใครที่สามารถใช้คนอย่างผู้อาวุโสสุ่ยได้? แล้วจะมีใครที่ไม่สนความโกรธของตระกูลฮั่วเราและสั่งให้ผู้อาวุโสสุ่ยมาห้าม?”
ฮั่วหมิงเยวี่ยนถอนหายใจยาว สีหน้าเคร่งขรึมโกรธเกรี้ยวในคราแรกเปลี่ยนเป็นผิดหวังและห่อเหี่ยว
หา!
ทุกคนต่างตกใจ ในที่สุดก็ตระหนักสิ่งที่อยู่ในคำถามนั้นทันที พลันใบหน้าเปลี่ยนไปอย่างสุดขีด
“ไป กลับกันเถิด เรื่องในคืนนี้พอแค่นี้”
ฮั่วหมิงเยวี่ยนหมุนตัวเดินออกไปด้วยท่าทางเงียบเหงา
ครานี้ตระกูลฮั่วของพวกเราพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ!
“ศิษย์พี่ พวกเราจะทำเช่นไรดี?”
สายตาเนี่ยอิงซานมองไปทางอวี๋เฟิงเหอ
“กลับสำนัก”
อวี๋เฟิงเหอเอ่ยด้วยท่าทางแข็งทื่อ “แม้แต่ราชวงศ์แห่งต้าเซี่ยก็ยังยื่นมือเข้ามา เรื่องใหญ่เช่นนี้ จะต้องให้คนใหญ่คนโตพวกนั้นตัดสินใจด้วยตัวเอง”
ในคืนวันเดียวกันนั้น ตัวตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นต้นทั้งสองท่าน ต่างเดินทางกลับวังเทพสวรรค์เมฆา
…..
ริมฝั่งทะเลสาบชูอวิ๋นในค่ำคืนนี้เปลี่ยนเป็นคึกคักอย่างมาก
มีผู้ฝึกตนไม่รู้เท่าไรมาที่แห่งนี้ และพยายามสืบหาอย่างสุดความสามารถ
หลังจากที่รู้ข่าวว่าฮั่วเทียนตูตายแล้ว พวกเขาต่างก็พากันตกใจ
“แค่ชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งสังหารฮั่วเทียนตูได้?”
เหวินซินจ้าวก็มาที่นี่เช่นกัน หญิงสาวสวมชุดกระโปรงธรรมดา ดวงหน้าดั่งรูปวาด ประหนึ่งนางฟ้าที่ลงมาจากสวรรค์ แผ่กลิ่นอายความมีชีวิตชีวาไปทั่วร่าง
แต่เมื่อรู้ว่าฮั่วเทียนตูถูกสังหารตายโดยชายหนุ่มสวมชุดเขียวผู้หนึ่ง เหวินซินจ้าวพลันนิ่งค้างไป ในหัวผุดร่างซูอี้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“จะเป็นศิษย์พี่ซูหรือ?”
เหวินซินจ้าวรู้สึกกังวล
“ไม่นึกเลยว่าผู้อาวุโสใหญ่จะตายแล้ว…”
ด้านข้าง ดวงหน้างดงามของเซียนหานเยียนเหม่อลอยเล็กน้อย
ฮั่วเทียนตูเป็นผู้อาวุโสใหญ่สายในวังเทพสวรรค์เมฆา และมีระดับการฝึกฝนอยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นกลางผู้หนึ่ง คนที่จะสามารถสังหารเขาได้ น่าจะมีความสามารถน่าสะพรึงกลัวมากเพียงใดกัน?
“สุดท้ายพวกเรา… ก็ยังมาช้าไปก้าวหนึ่ง…”
เซียนหานเยียนถอนหายใจออกมาอย่างเบาหวิว
ที่นางกับเหวินซินจ้าวเดินทางมานครหลวงจิ๋วติ่งในครานี้ ประการแรกมาเพราะอยากพบซูอี้ด้วยตาตัวเอง เพื่อดูว่าจะเก่งกาจอย่างที่เหวินซินจ้าวกล่าวไว้หรือไม่
ประการที่สองเพื่อเข้าไปแทรกแซงความแค้นระหว่างฮั่วเทียนตูกับซูอี้ และพยายามไม่ให้เกิดการโต้เถียงกันขึ้น
แต่ไม่นึกเลยว่า นางกับเหวินซินจ้าวยังไม่ได้ลงมืออะไรเลย ฮั่วเทียนตูก็ตายแล้ว!
“ท่านอาจารย์ ข้าเคยบอกแล้ว หากเป็นศัตรูกับซูอี้ จะต้องได้ชดใช้แน่”
เหวินซินจ้าวเอ่ยกับตัวเอง การตายของฮั่วเทียนตูสำหรับนางแล้ว นอกจากตกใจ ก็ไม่มีความรู้สึกใดอีก
“เจ้าสงสัยว่าซูอี้คือผู้ที่สังหารผู้อาวุโสใหญ่รึ?”
ดวงตาของเซียนหานเยียนเบิกกว้าง พลางส่ายหน้าทันที “เป็นไปไม่ได้ แค่ชายหนุ่มขอบเขตเปิดทวารผู้หนึ่ง จะเป็นคู่ต่อสู้ของขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้อย่างไร?”
เหวินซินจ้าวเอ่ยขึ้นอย่างทนไม่ไหว “แต่ตามที่คนดูเหตุการณ์นั้นกล่าว ผู้ที่ต่อสู้กับผู้อาวุโสใหญ่ คือชายหนุ่มสวมชุดเขียวจริง ๆ ซึ่งคล้ายกับคุณชายซูมาก”
เซียนหานเยียนถอนหายใจออกมา “สาวน้อย อย่าได้พูดไร้สาระ ข้ารู้ว่าเจ้าเลื่อมใสและชื่นชมวิถีดาบของซูอี้ผู้นั้นมาก แต่เรื่องที่ผู้อาวุโสใหญ่ดับสลาย มิอาจพิจารณาเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้”
นางไม่เชื่อ!
เหวินซินจ้าวก็สงสัยเช่นเดียวกัน
จริง ๆ แล้ว หากบอกว่าซูอี้สามารถสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นต้นได้ นางจะไม่สงสัยอย่างแน่นอน
แต่ฮั่วเทียนตูไม่เหมือนกัน เขาคือผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นกลาง ความสามารถเพียบพร้อม เหนือกว่าคนธรรมดา และมีไพ่ไม้ตายอยู่มากมาย
ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่เหวินซินจ้าวก็มิกล้ามั่นใจจริง ๆ ว่า ซูอี้จะสามารถสังหารคู่ต่อสู้อย่างฮั่วเทียนตูได้หรือไม่
เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง เหวินซินจ้าวก็เอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “ท่านอาจารย์ รอพวกข้าหาซูอี้เจอเมื่อใด บางทีก็อาจจะได้คำตอบก็ได้”
เซียนหานเยียนพยักหน้าพลางกล่าว “เช่นนั้นก็ดี แม้เรื่องนี้ซูอี้จะไม่ได้เป็นคนทำ ทว่าก็คงมีความเกี่ยวข้องกับเขาอยู่บ้าง ถึงอย่างไร จุดประสงค์ที่ผู้อาวุโสใหญ่มานครหลวงจิ๋วติ่งในครานี้ก็เพราะต้องการจะจัดการกับซูอี้อยู่แล้ว”
เหวินซินจ้าวรู้สึกคาดหวังขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ รอได้พอกับชายหนุ่มคนนั้นเมื่อใด ต้องคว้าโอกาสเอาไว้ และขอคำชี้แนะเรื่องวิถีดาบกับเขาให้มาก ๆ!
……
ในความมืดมิด
บนยอดเขาภูเขาเทียนหมางที่สูงราว ๆ สามพันจั้ง
ภายในหอหยกที่สร้างอยู่ข้างผาทะเลเมฆ มีชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมพิงราวพลางมองทิวทัศน์อยู่
แม้จะมืดมิด ทว่าเมื่อมองจากในหอหยก ดาวที่อยู่ไกล ๆ สว่างไสว ท่ามกลางแสงดาวระยิบระยับในทะเลเมฆนั้น เผยแสงสีเงินใสเจิดจ้าออกมา ช่างงดงามยิ่ง
นี่คือ ‘ดาวทะเลเมฆ’ หนึ่งในแปดทิวทัศน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในนครหลวงจิ๋วติ่ง
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีเพียงราชวงศ์แห่งต้าเซี่ยกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น ถึงมีโอกาสได้ชื่นชมความงดงามของสิ่งมหัศจรรย์ดังกล่าวได้
“มีระดับการฝึกฝนขอบเขตเปิดทวาร แต่สามารถสู้ชนะมหาปราชญ์ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นกลางอย่างฮั่วเทียนตูด้วยพลังของตัวเองได้ แม้จะย้อนกลับไปเมื่อสามหมื่นปีก่อน ก็คงหาคนที่เทียบเคียงกับซูอี้ออกมาได้ไม่กี่คน?”
“อย่างน้อย ข้าก็มิเคยได้ยินมาก่อน”
“ปีศาจ! นี่มันคือปีศาจชั้นยอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน!”
ชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมละสายตากลับมา และรู้สึกทอดถอนใจไม่หยุด
ด้านข้างเขา เวิงจิ่วเองก็เอ่ยด้วยความรู้สึกทอดถอนใจเช่นกัน “ไม่ปิดบังนายท่าน เมื่อได้เห็นพลังของซูอี้ในคืนนี้แล้ว ข้าน้อยไม่อยากจะเชื่อว่าบนโลกนี้ยังมีคนเก่งที่พลิกฟ้าเช่นนี้ดำรงอยู่!”
ชายสวมเสื้อคลุมยิ้ม แววตาเจือไปด้วยความประหลาดใจ “ไม่มีในมหาทวีปคังชิง ไม่เคยเห็นในโลกอื่น ๆ ทว่าบนเส้นทางมหาวิถี ย่อมมีเรื่องราวน่าเหลือเชื่อเกิดขึ้นมากมาย เฉกเช่นมารดาของเจ้าเจ็ดผู้นั้น…”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ ชายสวมเสื้อคลุมหุบปากไปทันที หางคิ้วปรากฏความเศร้าสลดที่สังเกตได้ยากออกมา
ครู่หนึ่ง เขาสูดหายใจเข้าลึก พลางโบกมือ “ไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้”
เวิงจิ่วเงียบ
เวลานี้ ร่างของผู้อาวุโสสุ่ยเจ้าของหอทะเลสาบเมฆาพลันปรากฏขึ้น
“นายท่าน ข้าน้อยได้ถ่ายทอดคำพูดไปหมดแล้ว ฮั่วหมิงเยวี่ยนผู้นำตระกูลฮั่วได้พาคนกลับไปแล้ว”
ผู้อาวุโสสุ่ยเอ่ยด้วยความเคารพ
ชายสวมเสื้อคลุมเอ่ยสั่ง “ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น แม้จะบอกว่าพลังและไพ่ไม้ตายของซูอี้ในยามนี้ มากพอที่จะสังหารคนอย่างฮั่วเทียนตูได้ ทว่าเขาก็เป็นคนไร้สำนักไร้ราก หากถูกพวกไอ้แก่ที่ไม่เปิดหูเปิดตาหมายหัวเอาไว้ คงเกิดปัญหาขึ้นแน่”
เวิงจิ่วเอ่ยทันที “นายท่านกล่าวถูกต้อง ในด้านที่สดใส โลกฝึกฝนแห่งต้าเซี่ยในปัจจุบันดูเหมือนจะสงบ แต่ในความมืดมิด กลับมีกลุ่มวิถีปราชญ์โบราณบางส่วนที่รอดพ้นจากการจองจำแห่งยุคมืด รวมทั้งกลุ่มกองผู้สิงสถิตต่างโลก กำลังเคลื่อนไหวที่จะภัยร้ายอยู่”
“เฉกเช่นภายในนครหลวงจิ๋วติ่งยามนี้ เพราะการชุมนุมมวลพฤกษา ทำให้ตัวตนดุร้ายจำนวนไม่น้อยหลั่งไหลเข้ามา ในสถานการณ์เช่นนี้ หากซูอี้กลายเป็นจุดสนใจ จะต้องเกิดความยุ่งยากมากมายต่อเขาแน่”
ชายสวมเสื้อคลุมพยักหน้า “ผู้อาวุโสจิ่ว ให้ทหารสัมภเวสีของเจ้าไปจัดการปิดข่าวที่เกี่ยวข้องกับซูอี้ทั้งหมดเสีย”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ปิดบังได้นานเท่าใดก็เท่านั้น”
เขาย่อมรู้ดี สำหรับผู้ฝึกตนเหล่านั้น หากอยากรู้รายละเอียดการต่อสู้ในทะเลสาบชูอวิ๋น ก็คงปิดบังพวกเขาเอาไว้ไม่ได้
ส่วนตระกูลฮั่ว ชายสวมเสื้อคลุมกลับไม่กังวลอะไร
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งต้าเซี่ย ใครจะโง่เผยแพร่เรื่องอื้อฉาวที่น่าละอายเช่นนี้กัน?
เวิงจิ่วรับคำสั่งด้วยความเคารพ “พ่ะย่ะค่ะ”
แววตาผู้อาวุโสสุ่ยแปลกไป พลางเอ่ยทันที “นายท่าน เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่า เรื่องที่พวกเราทำในยามนี้ คล้ายกับกำลังเช็ดก้น*[2] ให้แก่เจ้าหนุ่มซูอี้ผู้นั้นเลยเล่าขอรับ”
ชายสวมเสื้อคลุมชะงักค้าง และหัวเราะออกมาอย่างทนไม่ไหว “นี่แหละที่เรียกว่าขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น จะต้องเคารพผู้อื่น แม้ว่าจะพอใจหรือไม่พอใจก็ตาม จำเอาไว้!”
เวิงจิ่วอดเอ่ยขึ้นไม่ได้ “นายท่าน ข้าเดาว่าเจ้าหนุ่มซูอี้ผู้นั้นคงจะไม่ซาบซึ้งในบุญคุณ บางทีอาจจะตำหนิพวกเราที่ยื่นมือเข้าไปด้วยซ้ำ เพราะเมื่อวานเขาก็บอกแล้วว่าไม่ให้พวกเราเข้าไปแทรกแซง…”
ชายสวมเสื้อคลุมคิดครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเอ่ยแก้ทันที “พวกเราไม่ได้ขวางเขามิให้ฆ่าคน เพียงแต่ช่วยเก็บกวาดให้เขา มันจะเหมือนกันได้อย่างไร?”
เมื่อเอ่ยจบ เขากลับยิ้มเจื่อนขึ้น
เห็น ๆ อยู่ว่าพวกเขาช่วยเหลือ แต่เหตุใด… ถึงรู้สึก… ดูไร้ค่าล่ะ?
…..
ณ สวนน้อยนภาเมฆ
ท้องฟ้ายิ่งมืดมิดขึ้น
หลังจากซูอี้กลับมา ก็ไล่ให้หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงที่รอมาตลอดกลับไปพักผ่อน
ก่อนที่ไป๋เวิ่นฉิงจะจากไป นางบอกกับซูอี้เสียงเบาว่า เยว่ซือฉานรออยู่ในห้องมาโดยตลอด
นี่จึงทำให้ซูอี้นวดขมับอย่างช่วยไม่ได้ เพิ่งจะผ่านการต่อสู้ที่ทะเลสาบชูอวิ๋นมาเมื่อครู่ เมื่อมาถึงที่พัก ก็ต้องสูญเสียพลังและจิตใจไปกับการล้างพิษกู่มารแม่มดในร่างกายของเยว่ซือฉานอีก
นี่มันรู้สึกเหนื่อยจริง ๆ…
แต่ว่า…
เหนื่อยส่วนเหนื่อย แต่มิอาจทำให้แม่นางที่รออยู่เสียเวลาไปเปล่าประโยชน์ได้
เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็ก้าวเดินไปในห้อง
[1] ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น หรือ 木秀于林,风必摧之 เป็นสำนวนจีน หมายถึงต้นไม้ที่เติบใหญ่เกินไม้ต้นอื่น ๆ ในป่า สุดท้ายจะถูกลมพัดจนหักไป เปรียบถึงคนที่กระทำแตกต่างจากผู้อื่น สุดท้ายก็จะถูกผู้อื่นเล่นงาน
[2] เช็ดก้น เป็นสำนวน มีความหมายประมาณว่าตามเช็ดตามล้าง