บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 502 ไม่พูดดีกว่าพูด
ตอนที่ 502: ไม่พูดดีกว่าพูด
ตอนที่ 502: ไม่พูดดีกว่าพูด
เทียนภายในห้องมอดดับไปหมดแล้ว ทำให้ทั่วห้องมืดสนิท
“ชิงหว่านจุดไฟ”
ซูอี้เอ่ยสั่ง
ชิงหว่านที่สวมชุดกระโปรงแดงเพลิงพุ่งออกมาจากน้ำเต้าปลุกวิญญาณ และกำลังจะจุดไฟ
ทันใดนั้นก็มีน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความประหม่าดังขึ้น “ไม่ต้อง”
ด้านหน้าเตียง เยว่ซือฉานกำชายเสื้อแน่น พลางก้มหน้า และมีท่าทางอยากหลบซ่อนขึ้นมา
ซูอี้ก็อดที่จะมีความสุขขึ้นมาไม่ได้ และกล่าวว่า “แค่รักษาก็เท่านั้น ต้องประหม่าขนาดนี้เชียวรึ?”
ชิงหว่านก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ “นั่นสิ พี่สาวมิต้องอาย นายท่านข้าเป็นคนมีเกียรติน่านับถือ คืนก่อนในตอนที่รักษาท่าน ก็มีจิตใจที่ใสสะอาด ราวกับพระที่เข้าฌาณ หาใช่คนไร้ศีลธรรมเหล่านั้นจะเทียบได้ไม่”
ซูอี้ “…”
ท่าทางของข้าคืนก่อน เหมือนกับพระอรหันต์ที่บรรลุนิพพานตัดขาดทางโลกขนาดนั้นเลยรึ?
เยว่ซือฉานเอ่ยด้วยดวงหน้าบิดเบี้ยว “ข้ามิได้ห่วงเรื่องเหล่านี้ เพียงแต่…”
ไม่รอให้นางเอ่ยจบ ซูอี้ก็เอ่ยขึ้นทันที “พวกเราไม่มีเวลามามัวอายหรอกนะ ชิงหว่าน เจ้าไปช่วยแม่นางเยว่ซือฉานถอดเสื้อผ้า”
“เอ๊ะ?”
เยว่ซือฉานรีบโบกมือ “ไม่ต้อง ข้าจะทำเอง เอ่อ… ศิษย์พี่ซู… หันกลับไปก่อนได้หรือไม่?”
ซูอี้พยักหน้า เดินออกไปจากห้อง พลางแอบคิดในใจ ตอนนี้ไม่เห็น อีกเดี๋ยวก็จะยังต้องเห็นหรืออย่างไร?
ชั่วครู่ต่อมา
ครั้นซูอี้ผลักประตูเข้ามาอีกครั้ง ก็เห็นเยว่ซือฉานนอนอยู่บนเตียงแล้ว และบนตัวมีผ้านวมคลุมไว้อยู่
แม้ในห้องจะมืดสนิท ทว่าซูอี้ยังคงสัมผัสได้อย่างชัดเจน ร่างบางของหญิงสาวที่มีชีวิตชีวาและงดงามดั่งรูปวาดผู้นี้เกร็งดั่งสายธนู ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มไว้ ดวงตาคู่งามปิดสนิท แพขนตาสั่นเล็กน้อย เผยให้รู้ว่าหญิงสาวรู้สึกประหม่าและอึดอัดแค่ไหน
ซูอี้อยากหยอกล้ออย่างทนไม่ไหว จึงส่งสายตามองไปทางชิงหว่าน
ชิงหว่านมีสีหน้ามึนงงไม่เข้าใจ “?”
ซูอี้เอ่ยขึ้นอย่างจนใจ “จะอึ้งอยู่ทำไม เปิดผ้าห่มแล้วกดขานางไว้เหมือนคืนก่อนสิ”
ชิงหว่านส่งเสียงขานรับเป็นอันเข้าใจออกมา และรีบทำตามทันที
เมื่อผ้าห่มถูกเปิดออก เยว่ซือฉานก็ยกมือทั้งสองขึ้นปิดหน้าอย่างช่วยไม่ได้ พลางหายใจหอบเหนื่อยเล็กน้อย เท้าน้อย ๆ ที่ขาวดั่งหยกเกร็งขึ้นมา
หากไม่ใช่เพราะชิงหว่านกดขาเรียวยาวเกลี้ยงเกลาดุจฟันขาวคู่นั้นเอาไว้ในทันที เกรงว่านางคงเป็นเหมือนกุ้งแห้งที่ขดตัวเอาไว้แน่
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังเห็นผิวเกลี้ยงเกลาขาวดุจหิมะของหญิงสาวเจือไปด้วยสีชมพูอ่อน
สายตาซูอี้มองตั้งแต่กระดูกไหลปลาร้าสวยไล่ลงไปตามทิวทัศน์คดเคี้ยวสูงตระหง่านที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อเอี๊ยม…
เขามิอาจซ่อนสีหน้าชื่นชมเอาไว้ได้ ช่างเป็นสิ่งที่เรียกว่ายอดเยี่ยมในโลกจริง ๆ
“ศิษย์พี่ซู รีบเริ่มสักทีสิ”
น้ำเสียงเยว่ซือฉานเจือไปด้วยความขุ่นเคือง และเบาหวิวดั่งยุง
ในตอนที่ร่างกายถูกสายตาของซูอี้กวาดมองก่อนหน้านี้ ในฐานะสตรีผู้หนึ่ง เยว่ซือฉานพลันรู้สึกไม่สบายไปทั่วร่าง ราวกับถูกสายตาของสัตว์ร้ายจ้องมอง และรู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก
“อืม”
ซูอี้สำรวมจิตใจ พลางเดินไปข้างหน้า ยกมือกดส่วนท้องของเยว่ซือฉานเอาไว้
เสี้ยวอึดใจนั้น สิ่งที่เขาสัมผัสได้นั้นละเอียดอ่อนนุ่ม ทำให้เขารู้สึกสั่นไหว
แต่ร่างเพรียวบางของเยว่ซือฉานกลับยิ่งแข็งทื่อ ริมฝีปากอวบอิ่มมันเงาส่งเสียงน่าฟังออกมา ราวกับส่วนท้องถูกจู่โจมด้วยกระแสไฟฟ้าที่ลุ่มร้อนแข็งแกร่ง ร่างกายและจิตใจของนางสั่นสะท้าน สมองมึนงงขาวโพลนไปหมด
หัวใจของเย่วซือฉานปั่นป่วน และเกิดความคิดฟุ้งซ่านขึ้น
ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่นางเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้ ทั้งเก้อเขิน อึดอัด อับอาย กังวล ห่อเหี่ยว หลากหลายอารมณ์ปนเปกันไปหมด พูดไม่ได้อธิบายไม่ออก ตัดไม่ขาด และใจสับสน
ตกอยู่ในภวังค์ไม่รู้นานเท่าใด
ท่ามกลางห้องที่มืดมิด พลันน้ำเสียงราวกับโล่งใจของซูอี้ดังขึ้น “เสร็จแล้ว”
จากนั้น เยว่ซือฉานก็รู้สึกว่าส่วนท้องผ่อนคลายลง
เยว่ซือฉานคว้าผ้าห่มปกคลุมร่างเอาไว้ทันใด แม้แต่หัวก็ถูกคลุมจนมิด ราวกับอับอายที่ถูกคนเห็น
ครั้นชิงหว่างเห็นเช่นนี้ ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว พี่สาวผู้นี้ขี้อายกว่าตัวเองเสียอีก!
ซูอี้เอนกายลงนอนบนเตียงอย่างเกียจคร้าน ทั่วร่างผ่อนคลาย ตาปิดสนิท และหลับไปอย่างรวดเร็ว
บนดวงหน้าชิงหว่านเผยความเอ็นดูออกมา พลางนำผ้าห่มไปคลุมลงบนตัวซูอี้อย่างระมัดระวัง
“ขอบ… ขอบคุณศิษย์พี่ซูมาก ข้า…”
ในเวลานี้ มีน้ำเสียงขอบคุณของเยว่ซือฉานดังขึ้นมาจากข้างใต้ผ้าห่ม
“ชู่ว์”
ชิงหว่านรีบก้าวไปด้านหน้า และเอ่ยว่า “พี่สาว นายท่านข้าหลับไปแล้ว ท่านไม่รู้ว่าคืนนี้นายท่านข้าผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดมา เมื่อมาถึงที่พำนักก็ไปรักษาพี่สาวทันที จนถึงยามนี้ก็ยังไม่ค่อยได้พักผ่อนดีเลย”
บนเตียง เยว่ซือฉานลุกขึ้นทันใด โดยไม่สนว่าผ้าห่มจะหลุดลงมาจากร่างหรือไม่ พลางลุกขึ้นเดินมาอีกด้านของเตียง
นางจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของซูอี้ที่หลับสนิท หญิงสาวที่งามดุจเซียน นิสัยเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งอดตะลึงค้างไม่ได้ พลันพรั่งพรูความรู้สึกซาบซึ้งและทุกข์ใจที่อธิบายไม่ได้ออกมา ดวงตางามเปล่งประกายดุจดาวคู่นั้น เจือไปด้วยละอองน้ำเบาบาง ขอบตาเปียกชื้น
…..
เช้าตรู่วันต่อมา
แสงแดดยามเช้าลอดผ่านหน้าต่าง สาดส่องลงไปบนเตียงนุ่ม
ซูอี้ตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับฝัน พลางบิดขี้เกียจ จากนั้นก็ลุกขึ้น
“ศิษย์พี่ซู ข้าวเช้าเสร็จแล้ว รอท่านลงมาทานพร้อมกัน”
ไม่นาน น้ำเสียงน่าฟังของเยว่ซือฉานดังออกมาจากนอกห้อง
ซูอี้ชะงัก และสังเกตได้อย่างเลือนรางว่าน้ำเสียงของหญิงสาวเหมือนกับน้ำแข็งที่ละลายอยู่ท่ามกลางแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ ราวกับมีกลิ่นอายอบอุ่นตลบอบอวลไปทั่ว
จวบจนถึงเรือนชั้นแรก บนโต๊ะวางอาหารที่ยังร้อน ๆ เต็มไปหมด
เยว่ซือฉานที่สวมชุดขาวดุจหิมะ ผมดำขลับยาวสลวยถูกรวบมัดขึ้นเป็นมวย เสริมให้ดวงหน้างดงามมีความหวานและอ่อนโยนไปโดยปริยาย
ทว่าท่าทางที่เยือกเย็นดุจน้ำแข็งนั้น กลับแฝงไปด้วยความนุ่มนวลและหวานฉ่ำ
“ศิษย์พี่ซู ทานอาหารได้แล้ว”
เยว่ซือฉานถลกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นแขนที่ขาวกว่าหิมะ พลางตักโจ๊กให้แก่ซูอี้
ซูอี้มีแววตาประหลาดใจ ก่อนเอ่ยอย่างพิจารณา “เหตุใดวันนี้เจ้า…”
เยว่ซือฉานยิ้มออกมาเล็กน้อย “อาหารทั้งหมดนี้ข้าเป็นคนทำเอง ท่านลองชิมดูว่าถูกปากหรือไม่”
ซูอี้ส่งเสียงตอบรับเป็นอันเข้าใจออกมา และคร้านที่จะคาดเดาอีก จึงเริ่มทานอาหาร
อาหารนั้นไม่ธรรมดา คือโจ๊กที่ถูกต้มมาจากดินแดนแห่งทวยเทพ คืออาหารที่ปรุงอย่างล้ำเลิศที่เปี่ยมไปด้วยพลังหลากหลาย และที่หาได้อยากคือมีครบทุกรสชาติ
เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ซูอี้ก็เอ่ยชม “ไม่เลวเลย ไม่เลวเลย”
ดวงหน้าของเยว่ซือฉานปรากฏรอยยิ้มออกมา “ตอนที่ข้าอยู่ต้าโจว นอกจากแสวงหาวิถีดาบแล้ว สิ่งเดียวที่ชอบก็คือการทำอาหารให้กับตัวเอง หากศิษย์พี่ซูชอบ ต่อจากนี้หากมีข้าอยู่ ข้าจะเข้าครัวทำให้ศิษย์พี่ซูทานทุกวันเลย”
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการได้จริง ๆ ว่าหญิงสาวที่งดงามดั่งนางฟ้าจะชอบเข้าครัวทำอาหาร…
“เช่นนั้นต่อจากนี้ไปข้าคงได้ทานของอร่อยแล้ว”
ซูอี้ยิ้มขึ้นมา
เยว่ซือฉานในวันนี้ แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างชัดเจน ราวกับน้ำแข็งพันปีที่อาบไปด้วยแสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิ ช่างน่าประทับใจอย่างมาก
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ซูอี้ก็ฝึกเคล็ดวิชาแสวงไร้ลักษณ์ข้ามปัจเจกอยู่ริมสระน้ำ
จวบจนครบทุกกระบวนท่าแล้ว เขาก็เอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างเกียจคร้าน พลางนำผีเสื้อจันทราโยนให้ปลากินไปด้วย พลางครุ่นคิดไปด้วยว่าวันนี้จะเข้าไปในเมืองหาร่องรอยของเก๋อเฉียนต่อไปหรือไม่
ซูอี้ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เป็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมกับเวิงจิ่วสองนายบ่าวเดินทางมาเยี่ยมเยือน
“สหายเต๋าซู นี่คือทรัพยากรฝึกฝนบางส่วนที่นายท่านข้าเตรียมมาให้ ขอโปรดรับเอาไว้”
เวิงจิ่วนำถุงเก็บสิ่งของออกมาทันที พลางมอบให้ด้วยสองมือ
เขารู้ดี ซูอี้ไม่ชอบมีพิธีรีตองอะไรมาก ดังนั้นพูดตรง ๆ ไปเลยย่อมดีกว่า
ซูอี้จับถุงเก็บของขึ้นมาสำรวจครู่หนึ่ง ก่อนเผยท่าทางแปลกใจออกมาอย่างทนไม่ไหว
ทั้งหมดคือหินวิญญาณระดับหกจำนวนสามพันก้อนกับหินวิญญาณระดับเจ็ดจำนวนหนึ่งร้อยก้อน!
ความมั่งคั่งเช่นนี้ แม้จะขายเหมืองแร่ทั้งหมดของตระกูลจั่ว เกรงว่าคงจะรวบรวมกันไม่ได้เท่านี้แน่!
และในนครหลวงจิ๋วติ่งแห่งนี้ ก็เรียกได้ว่าเป็นความมั่งคั่งมหาศาล
สาเหตุนั้นธรรมดามาก หากบอกว่าหินวิญญาณระดับหกถือว่าเป็นของล้ำค่าหายากยิ่งแล้ว และเป็นทรัพยากรฝึกฝนที่มีเพียงเหล่าตัวตนยอดเยี่ยมแห่งนครหลวงจิ๋วติ่งสามารถใช้ได้
เช่นนั้นหินวิญญาณระดับเจ็ด ก็คือของล้ำค่าอย่างยิ่งในบรรดาทรัพยากรฝึกฝน ในมหาทวีปคังชิงยามนี้ ต้องเป็นของล้ำค่ามหัศจรรย์ที่สามารถพบเจอได้โดยโชคชะตาแต่มิอาจแสวงหาได้แน่นอน
ตามมูลค่าในนครหลวงจิ๋วติ่ง หินวิญญาณระดับเจ็ดหนึ่งก้อน เทียบได้กับหินวิญญาณระดับหกหนึ่งร้อยก้อนขึ้นไป ซึ่งยากที่จะแลกเปลี่ยนมาก
ส่วนสำคัญอยู่ตรงที่พลังวิญญาณที่แฝงอยู่ในหินวิญญาณระดับเจ็ด จะแฝงไปด้วยลมปราณมหาวิถี ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการฝึกฝนของมหาปราชญ์วิถีวิญญาณ
ในสถานการณ์ทั่วไป มีเพียงในตอนที่บรรลุของมหาปราชญ์สวรรค์เท่านั้น ถึงจะใช้หินวิญญาณระดับเจ็ด เพื่อเพิ่มโอกาสให้บรรลุสำเร็จสูงขึ้น
และยามนี้ แค่ชายสวมเสื้อคลุมเคลื่อนไหว ก็มอบหินวิญญาณระดับเจ็ดทั้งหมดหนึ่งร้อยก้อนให้!
ความใจกว้างเช่นนี้ จะไม่ทำให้ซูอี้แปลกใจได้อย่างไร?
เวลานั้น แค่รู้สึกแปลกใจกับความมั่งคั่งของอีกฝ่าย หาใช่เพราะมีของล้ำค่าหายากอย่างหินวิญญาณระดับเจ็ดมากมายไม่
ถึงอย่างไร เมื่อชาติที่แล้ว ไม่มีของล้ำค่าแห่งสวรรค์ใดที่ซูอี้ไม่เคยเห็น?
“พวกเจ้าเต็มใจจะสละของเหล่านั้นได้จริง ๆ รึ”
ซูอี้ถอนหายใจออกมา ในตอนที่เข้ามานครหลวงจิ๋วติ่ง เขายังคิดว่าจะหาเงินมากมายด้วยวิธีไหน เพื่อนำไปซื้อทรัพยากรที่เหมาะกับการฝึกฝนของตัวเอง
ไม่นึกเลยว่า วันนี้จะมีโชคลาภตกมาถึงมือเช่นนี้!
“สิ่งที่สหายเต๋าช่วยเหลือพวกเรา จะเอาหินวิญญาณเหล่านี้มาเทียบได้อย่างไร?”
ชายสวมเสื้อคลุมส่งเสียงหัวเราะเบิกบานออกมา ครั้นเห็นซูอี้พึงพอใจ เขาก็แอบโล่งใจ
เขาร่ำรวยอยู่แล้ว ทว่าของล้ำค่าหายากอย่างหินวิญญาณระดับเจ็ดที่เขาครอบครองนั้นกลับมีไม่มาก ครานี้ที่นำออกมาหนึ่งร้อยก้อนในคราวเดียว ช่างเป็นต้นทุนมหาศาลทีเดียว
ซูอี้นำแผ่นหยกหนึ่งแผ่นออกมาจากแขนเสื้อ และโยนไปให้ พลางกล่าว “ในแผ่นหยกนี้บันทึกวิธีบูรณะค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนเอาไว้”
แววตาของชายสวมเสื้อคลุมเปล่งประกาย หลังจากได้แผ่นหยกมาแล้ว ก็อ่านเนื้อหาในนั้นอย่างไม่รีบร้อน แต่เมื่อหันไปมองซูอี้ ก็แอบแสดงความเคารพอยู่ภายในลึก ๆ พลางกล่าวด้วยท่าทางสง่างามและเคร่งขรึม “ขอบคุณสหายเต๋าที่มีน้ำใจช่วยเหลือ!”
เวิงจิ่วก็รีบทำความเคารพเช่นกัน
เขาย่อมรู้ดี วิธีที่สามารถฟื้นฟูค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนมีความหมายต่อนายท่านของเขาอย่างไร
ซูอี้สมควรได้รับของขวัญชิ้นใหญ่เช่นนี้จริง ๆ!
“เจ้าไม่ลองดูหน่อยรึ?”
ซูอี้ถาม
ชายสวมเสื้อคลุมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “กลับไปแล้วค่อย ๆ ดูก็ไม่เสียหายอันใด”
พักไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยต่อ “สหายเต๋าซู เรื่องที่เกิดในทะเลสาบชูอวิ๋นคืนก่อน ข้าทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว และได้ส่งคนไปปิดและควบคุมข่าวเรียบร้อย ภายในระยะเวลาสั้น ๆ นี้ คงไม่น่าจะมีผู้ใดล่วงรู้ว่าคนที่สังหารฮั่วเทียนตูคือสหายเต๋า”
“ส่วนตระกูลฮั่วกับวังเทพสวรรค์เมฆา พวกเขาพ่ายแพ้ย่อยยับไปขนาดนั้น จะต้องไม่แพร่งพายเรื่องนี้แน่นอน”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ ชายสวมเสื้อคลุมก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สรุปแล้ว ในยามนี้ สหายเต๋ามิต้องกังวลว่าเรื่องคืนก่อนจะนำความยุ่งยากมาให้แก่สหายเต๋า”
เมื่อฟังจบ ซูอี้ก็ถอนหายใจออกมา พลางกล่าวชื่นชม “ไม่เลวเลย ไม่เลวเลย ข้ากำลังกลุ้มใจเพราะเรื่องคืนก่อนอยู่ เกรงว่าจะทำให้ผู้แข็งแกร่งขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณของสำนักเต๋าชิงอี่สังเกตเห็นความผิดปรกติ จนไม่กล้าเข้ามาแก้แค้นแทนลี่เมี่ยวหง ยามนี้ดีแล้ว เพียงแค่พวกเขายังงมโข่งอยู่ ไม่ช้าก็เร็วคงทนไม่ไหวและมาหาถึงที่เอง!”
ในคำพูดแฝงไปด้วยความคาดหวังเล็กน้อย
ชายสวมเสื้อคลุม “…”
เวิงจิ่ว “…”