บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 503 ยันต์พระสุเมรุ
ตอนที่ 503: ยันต์พระสุเมรุ
ตอนที่ 503: ยันต์พระสุเมรุ
นิ่งตะลึงไปนาน ก่อนชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวหัวเราะเจื่อนขึ้นมา
เขาเป็นห่วงว่าเมื่อซูอี้แสดงความเก่งกาจออกมาเช่นนี้ ตัวชายหนุ่มอาจตกเป็นที่เพ่งเล็งมากขึ้น จึงได้ปกปีดข่าวการต่อสู้ที่ทะเลสาบชูอวิ๋นเอาไว้
ใครเลยจะนึกว่า ซูอี้กลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย ทว่ากลับยังหวังว่าเซียนเล่อเฟิงและเซียนทิงเฮ่อแห่งสำนักเต๋าชิงอี่จะเสนอตัวมาหาถึงที่
“สหายเต๋า อีกเก้าวันงานชุมนุมมวลพฤกษาก็จะเริ่มขึ้นแล้ว ภายในนครหลวงจิ๋วติ่งตอนนี้มีความเคลื่อนไหวอย่างลับ ๆ ไม่รู้ว่ามีตัวตนแกร่งกล้ามากันแล้วจำนวนเท่าใด”
เวิงจิ่วทนไม่ไหว จึงได้กล่าวเตือนออกมา “เวลานี้ ไม่สมควรก่อเรื่องอันใดขึ้นอีก”
ซูอี้ชายตามองเวิงจิ่ว จากนั้นจึงกล่าว “เจ้าเห็นว่าข้าเหมือนคนที่ชอบหาเรื่องเช่นนั้นหรือ?”
เวิงจิ่วส่ายหน้า “ไม่เหมือน”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา พลางกล่าวคำออก “ข้าเพียงแต่รอให้ฝ่ายตรงข้ามมาหาถึงที่ก็เท่านั้น ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะเป็นฝ่ายไปหาพวกเขา ต่อให้เกิดความเคลื่อนไหวอันใดขึ้น ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะพวกเขาหาที่ตายเอง เจ้าคิดเช่นใด?”
เวิงจิ่วพูดไม่ออก…
ในที่สุดชายวัยกลางคนก็เข้าใจแล้วว่า เป็นเพราะซูอี้ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด ด้วยเหตุนี้จึงได้ฮึกเหิมอาจหาญถึงเพียงนี้
บางทีในสายตาของคนทั้งโลก ความวุ่นวาย ณ ทะเลสาบชูอวิ๋นนั้นเหนือความคาดหมายยิ่ง
แม้กระทั่งชายวัยกลางคน เมื่อคืนนี้ก็ยังตื่นตระหนกเพราะเรื่องนี้ไม่หาย
อย่างไรเสีย ผู้ตายคือฮั่วเทียนตู ซึ่งเป็นทั้งอาวุโสใหญ่ฝ่ายในของวังเทพสวรรค์เมฆา และยังเป็นผู้ยิ่งใหญ่คนสำคัญในตระกูลฮั่วอีกด้วย
เป็นไปได้อย่างไรว่าความวุ่นวายอันเนื่องจากการตายของเขาจะไม่รุนแรง?
ทว่าซูอี้กลับไม่สนใจ
ไม่ใช่เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่เป็นเพราะไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อยต่างหาก!
“สหายเต๋า นี่คือยันต์พระสุเมรุ”
คิดสักครู่ ชายวัยกลางก็เปลี่ยนเรื่องพูด จากนั้นจึงยื่นยันต์แผ่นหนึ่งให้ซูอี้
ยันต์ชิ้นนั้นมีขนาดประมาณเท่าฝ่ามือ คล้ายกับหลอมสร้างจากหยกวิญญาณสีดำ มีประกายบาง ๆ ส่องระยิบระยับ
ครั้งเมื่ออยู่ในอาณาจักรต้าโจว ซูอี้เคยได้ยินเยว่ซือฉานเล่าว่าในงานชุมนุมมวลพฤกษาซึ่งจัดขึ้นโดยจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย ผู้ฝึกตนที่เบียดตัวเข้ามาอยู่ในสามสิบอันดับแรกจะได้รับยันต์พระสุเมรุคนละหนึ่งแผ่น
ผู้มียันต์แผ่นนี้สามารถเข้าสู่เกาะเซียนพระสุเมรุซึ่งเป็นหนึ่งในสามมหาดินแดนต้องห้ามในอาณาจักรต้าเซี่ยได้
ตามคำบอกกล่าวของเซี่ยชิงหยวน หรือฮวาซิ่นเฟิงเมื่อตอนนั้น เป็นไปได้อย่างมากว่าบนเกาะเซียนพระสุเมรุอาจมีเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับ ‘การจองจำแห่งยุคมืด’!
ต้นเหตุของ ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ ก็คือแหล่งกำเนิดคังชิง
เมื่อสามหมื่นปีก่อน เป็นช่วงเวลาที่แหล่งกำเนิดคังชิงเกิดความเปลี่ยนแปลง ทำให้ทั่วทั้งมหาทวีปคังชิงถูกปกคลุมด้วยพลังจาก ‘การจองจำของยุคมืด’ ใต้หล้าต้องตกอยู่ในวันคืนอันมืดมิดเป็นเวลายาวนานถึงสามหมื่นปี
หนึ่งในจุดมุ่งหมายที่ซูอี้มาอาณาจักรต้าเซี่ยในครั้งนี้ก็เพื่อไปยังเกาะเซียนพระสุเมรุสักครั้ง
ด้วยเหตุนี้เมื่อวานเขาจึงเสนอหนึ่งในเงื่อนไขสองข้อต่อชายวัยกลางคน นั่นก็คือยันต์พระสุเมรุที่สามารถไปสู่เขาเซียนพระสุเมรุได้หนึ่งแผ่น
ทว่าตอนนี้ หยกชิ้นนี้มาอยู่ในมือของซูอี้แล้ว
พิจารณามองดูสักครู่ สายตาของซูอี้ส่อแววประหลาดใจขึ้นมา ก่อนจะกล่าว “ที่แท้ยันต์ชิ้นนี้หลอมสร้างจากหินเทพแบ่งพรมแดน หากว่าเป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นความจริงแล้วเกาะเซียนพระสุเมรุก็คือโลกลึกลับซึ่งก่อตัวเองจากฟ้าดินเช่นนั้นหรือ?”
ชายวัยกลางคนกล่าวชื่นชม “สหายเต๋าสายตาแหลมคม ดังเช่นยันต์พระสุเมรุชิ้นนี้ ว่ากันว่า ‘หอพระสุเมรุ’ ขุมกำลังผู้ฝึกปีศาจอันดับหนึ่งแห่งมหาทวีปคังชิงหลอมสร้างขึ้นเมื่อสามหมื่นปีก่อน มีแต่ยันต์แผ่นนี้เท่านั้นจึงสามารถเข้าสู่เกาะเซียนพระสุเมรุได้”
ซูอี้รู้ดีว่าเมื่อสามหมื่นปีก่อนมีขุมกำลังผู้ฝึกปีศาจระดับสุดยอดสามแห่งบนมหาทวีปคังชิง
ในจำนวนนั้น หอพระสุเมรุเป็นสำนักวิถีปีศาจอันดับหนึ่งอย่างสมฐานะ
เจ้าสำนักรุ่นที่หนึ่งคือ ‘ราชันย์ปีศาจพระสุเมรุ’ เป็นหนึ่งใน ‘เก้าราชันย์แห่งคังชิง’
นอกจากนี้ ซากโบราณที่กระจัดกระจายอยู่ในส่วนลึกของทะเลวิญญาณโกลาหลดังเช่น ‘หอเซียนดาบ’ ก็เป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่ของผู้ฝึกปีศาจเช่นเดียวกัน
อาจารย์ผู้บุกเบิกสำนักคือ ‘จักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียน’
อีกสำนักหนึ่งที่มีชื่ออยู่ในสามสำนักปีศาจมีนามว่า ‘สำนักผลาญตะวัน’ เจ้าสำนักรุ่นที่หนึ่งคือ ‘จักรพรรดิปีศาจปักษาวิญญาณ’
เมื่อสามหมื่นปีก่อนบนมหาทวีปคังชิง สามมหาสำนักปีศาจนี้ต่างก็มีตัวตนขอบเขตจักรพรรดิเป็นแกนนำ!
ซูอี้กล่าวพลางครุ่นคิด “หากว่าเป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นเกาะเซียนพระสุเมรุก็คือตำแหน่งที่ตั้ง ‘ประตูสำนัก’ ของขุมกำลังผู้ฝึกปีศาจสำนักพระสุเมรุ?”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าพลางกล่าว “แม้ว่าดินแดนลึกลับแห่งนั้นจะไม่ใช่ประตูสำนักของสำนักพระสุเมรุ อย่างไรเสียก็เคยถูกสำนักพระสุเมรุควบคุมเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งอย่างแน่นอน”
ถัดมาเขาจึงบอกความลับบางอย่างให้ซูอี้ได้รู้
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามดินแดนต้องห้ามของอาณาจักรต้าเซี่ย ทางเข้าเกาะเซียนพระสุเมรุจึงได้ถูกปิดกั้นด้วยพลังผนึกอันน่ากลัวมาโดยตลอด
แม้ว่าจะมียันต์พระสุเมรุ ทว่ามีแต่เพียงผู้ฝึกตนในขั้นวิถีต้นกำเนิดเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปข้างในได้
เมื่อระดับการฝึกเกินกว่าขั้นวิถีต้นกำเนิด หรือต่ำกว่าขั้นวิถีต้นกำเนิด แม้ว่าจะมียันต์พระสุเมรุติดตัว ก็ไม่อาจทำอะไรได้ และยังคงถูกขวางอยู่ด้านนอก
นับแต่โบราณกาลมาจนถึงบัดนี้ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดที่มีฝีมือร้ายกาจเข้าสู่เกาะเซียนพระสุเมรุอยู่ตลอด
ทว่าทุก ๆ คนที่ไปล้วนไม่มีใครได้กลับออกมา!
ชายวัยกลางคนทุ่มเทแรงกายและแรงใจมากมายเพื่อศึกษาตำราคัมภีร์โบราณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหอพระสุเมรุ
ทว่าท้ายสุดก็ทำได้เพียงคาดเดาได้อยู่เรื่องหนึ่งเท่านั้น นั่นก็คือ ‘เกาะเซียนพระสุเมรุ’ แห่งนี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดของการจองจำแห่งยุคมืดเป็นแน่!
เมื่อสามหมื่นปีก่อน ในฐานะที่สำนักพระสุเมรุเป็นสำนักปีศาจอันดับหนึ่งของมหาทวีปคังชิง และเป็นเพราะรู้สึกได้ถึงความอัศจรรย์และอันตรายของเกาะเซียนพระสุเมรุ จึงได้ปิดผนึกเกาะเซียนพระสุเมรุแห่งนี้เอาไว้ โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่ต้องสูญเสียไป
และแน่นอน ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่การคาดเดาของชายวัยกลางคนเท่านั้น
ที่แท้แล้วเกาะเซียนพระสุเมรุเป็นโลกลึกลับเช่นใด จนถึงวันนี้ก็ยังคงเป็นปริศนา ไม่มีใครล่วงรู้
แต่ทว่า ชายวัยกลางคนก็กล่าวไว้เช่นกันว่า ในช่วงระยะหลายปีมานี้พลัง ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ อ่อนกำลังลงและเสื่อมถอยลงเรื่อย ๆ จนเป็นเหตุให้พลังปิดผนึกทางเข้าเกาะเซียนพระสุเมรุหย่อนยานลงตาม
ยิ่งกว่านั้น ทุก ๆ ช่วงระยะหนึ่ง ตรงปากทางเข้าเกาะเซียนพระสุเมรุก็จะสะท้อนภาพปรากฏการณ์ที่เหมือนกันออกมา
ภาพปรากฏการณ์นั้นคือเสียงลั่นกลองรบ ทั้งแผ่วเบาและห่างไกล ราวกับว่ามาจากสนามรบยุคก่อนดึกดำบรรพ์ เสียงดังขาด ๆ หาย ๆ
ในแต่ละครั้งจะดำเนินเป็นเวลานานประมาณจุดธูปหนึ่งดอก และจากนั้นก็เงียบเสียงลง
หลังทำความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้แล้ว ซูอี้ก็รู้สึกสนใจเกาะเซียนพระสุเมรุแห่งนี้ขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นเขาจึงกล่าวขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นเกาะเซียนพระสุเมรุตั้งอยู่ที่ใด?”
ชายวัยกลางคนตอบ “ตั้งอยู่บน ‘ถ้ำอุกกาบาต’ ซึ่งอยู่ห่างจากนครหลวงจิ๋วติ่งออกไปแปดหมื่นลี้ ทางเข้าลอยอยู่กลางอากาศในระดับความสูงสามพันจั้ง ที่ตรงนั้นเป็นสถานที่ต้องห้าม นับแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันมีแต่อาศัยพลังแห่ง ‘แท่นบูชารับถ่าย’ ซึ่งมีความพิเศษมากเท่านั้นจึงสามารถไปถึงได้”
เวิงจิ่วที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวเสริม “แท่นบูชารับถ่ายแห่งนี้ บัดนี้ถูกควบคุมอยู่ในกำมือของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย หากว่าสหายเต๋าต้องการจะไป สามารถรอไปหลังจาก ‘งานชุมนุมมวลพฤกษา’ สิ้นสุดได้ ถึงเวลานั้น จักรพรรดิแห่งอาณาจักรต้าเซี่ยจะเปิดแท่นบูชารับถ่ายเพื่อส่งบุคคลระดับสุดยอดจำนวนหนึ่งที่คัดเลือกได้จากงานชุมนุมมวลพฤกษาไปยังถ้ำอุกกาบาต”
พูดถึงตรงนี้ จู่ ๆ เวิงจิ่วก็ถามขึ้นมา “ใช่แล้ว สหายเต๋าคิดจะเข้าร่วมงานชุมนุมมวลพฤกษาด้วยใช่หรือไม่?”
ชายวัยกลางคนแสดงสีหน้าสนอกสนใจขึ้นมา
งานชุมนุมมวลพฤกษาในครั้งนี้เป็นที่ดึงดูดใจของคนในใต้หล้า ทั้งยังดึงดูดคนเก่ง ผู้มีพรสวรรค์ และปีศาจร้ายทั้งหลายให้เข้ามาร่วมงานด้วย
การมาร่วมงานยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ไม่เพียงแต่มีโอกาสจะได้รับพระราชทานรางวัลมูลค่ามหาศาลจากราชวงศ์แห่งอาณาจักรต้าเซี่ยเท่านั้น ผู้ที่มีรายชื่อในสามสิบอันดับแรกยังจะได้รับยันต์พระสุเมรุอีกด้วย!
นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นอันดับหนึ่งยังจะได้รับพระราชทานรางวัลลึกลับจากจักรพรรดิแห่งอาณาจักรต้าเซี่ยอีก!
“งานชุมนุมมวลพฤกษาในครั้งนี้ มีผู้ที่สามารถต่อกรกับข้าได้ใช่หรือไม่?” ซูอี้ย้อนถาม
ชายวัยกลางคนกับเวิงจิ่วต่างก็นิ่งไป
หากว่าหนุ่มน้อยผู้มีความสามารถฆ่าฮั่วเทียนตูซึ่งเป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นกลางระหว่างการต่อสู้ซึ่ง ๆ หน้า ต้องการจะหาคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือระดับเดียวกัน มันก็เป็นเรื่องที่… ยากมากจริง ๆ
เวลานี้ จู่ ๆ มีเสียงต่อสู้ห้ำหั่นดังขึ้นมาเป็นพัก ๆ จากที่ ๆ ห่างไกลออกไป
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วเล็กน้อย “มีคนกำลังต่อสู้ห้ำหั่นกันที่แอ่งเกล็ดทองเช่นนั้นหรือ?”
“มีคลื่นพลังของคนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ!” เวิงจิ่วร้องอุทาน
“นครหลวงจิ๋วติ่งแห่งนี้นับวันก็ยิ่งคึกคักมากขึ้นทุกที”
ซูอี้ตะลึงไปชั่วครู่ด้วยความคาดไม่ถึงเช่นกัน
“สหายเต๋าจะไปดูด้วยกันสักหน่อยหรือไม่?” ชายวัยกลางคนยิ้มพลางถาม
“ก็ดีเช่นกัน” ซูอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวาย
แอ่งเกล็ดทองเป็นดินแดนเนื้อนาบุญที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยปราณวิญญาณ เช่นเดียวกับสวนน้อยนภาเมฆที่ซูอี้พักอยู่ในตอนนี้ ล้วนตั้งอยู่ในชุมชนมังกรเขียว
แอ่งแห่งนี้กินอาณาบริเวณเกือบร้อยลี้ เพียบพร้อมสมบูรณ์ด้วยปราณวิญญาณ มีทิวทัศน์งดงาม
ว่ากันว่าเมื่อนานมากแล้ว ปลาเกล็ดทองในแอ่งได้รับวิถี บรรลุเป็นมังกรภายในคืนนั้น ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ ‘แดนเซียนบุปผาบาน’ บินไปยังสวรรค์ชั้นเก้า
จึงได้ชื่อว่าแอ่งเกล็ดทอง
และตอนนี้ บนน่านฟ้าของแอ่งเกล็ดทองกำลังมีการต่อสู้ห้ำหั่นกันครั้งใหญ่
ฝ่ายหนึ่งคือชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ผมขาวชุดดำ ซึ่งมีระดับการฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ และมีอาวุธเป็นหอกรบสีเหลือง
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือคนหนุ่มหน้าใสในชุดสีเทา ผมสั้นรุงรัง
คนหนุ่มต่อสู้ด้วยมือเปล่า ถึงแม้จะมีระดับการฝึกตนเพียงแค่ขอบเขตรวบรวมดารา ทว่าในการต่อสู้กลับมีความร้ายกาจ แข็งแกร่งไร้เทียนทาน
วิชาที่เขาใช้คือวิถีหมัด ทุก ๆ หมัดที่ปล่อยออกไปล้วนมีอานุภาพน่ากลัวราวกับสามารถพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ต้านวิถีหยินหยาง ทำให้แผ่นดินในบริเวณนั้นถูกปกคลุมอยู่ภายใต้กำลังหมัดของเขา
สิ่งที่น่าตื่นตะลึงยิ่งกว่านั้นก็คือ คู่ต่อสู้ของคนหนุ่มชุดสีเทาเป็นถึงตัวตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ทว่ากลับโดนพลังหมัดซัดจนได้รับบาดเจ็บซ้ำ ๆ!
ใกล้ ๆ กับแอ่งเกล็ดทองไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกตนจำนวนมากมายเท่าใดมาล้อมดู เมื่อเห็นอานุภาพแกร่งของคนหนุ่มชุดสีเทาคนนั้นแล้ว ทุกคนถึงกับอ้าปากค้าง ตื่นตระหนกติดต่อกัน
คนหนุ่มในขอบเขตรวบรวมดาราสามารถข้ามวิถีซัดผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้!
ช่างน่าอัศจรรย์เสียเหลือเกิน!
“คน ๆ นี้คือใครกัน?”
ในดวงตาของชายวัยกลางคนส่อแววสงสัยใคร่รู้
“เฉิงผู ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณที่ฟื้นตัวในอาณาจักรต้าซ่ง ตอนที่อยู่ในขอบเขตเปิดทวาร อาศัยหมัดทั้งสองฆ่าคนใน ‘สำนักเต๋าหัวหยาง’ ซึ่งเป็นสำนักอันดับหนึ่งในอาณาจักรต้าซ่ง เอาชนะการร่วมมือกันของผู้แข็งแกร่งขอบเขตรวบรวมดารากับผู้แข็งแกร่งขอบเขตเปิดทวารอีกสี่คน สยบสำนักเต๋าหัวหยางอยู่ใต้ฝ่าเท้า”
เวิงจิ่วพูดรัวเร็ว “คน ๆ นี้มาถึงนครหลวงจิ๋วติ่งเมื่อครึ่งเดือนก่อนนี้ ทหารสัมภเวสีคอยตรวจดูพื้นเพของคน ๆ นี้อยู่ตลอดเวลา ทว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ข้อมูลมากนัก รู้แต่เพียงว่าข้างกายเขายังมีชายวัยกลางคนอยู่กับเขาในฐานะบ่าวรับใช้ ว่ากันว่าเฉิงผูเรียกฝ่ายตรงข้ามว่า ‘ลุงหลัน’ ตามที่ทหารสัมภเวสีสืบพบมา ชายวัยกลางคน ๆ นี้อาจจะเป็นผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณมีฝีมือลึกล้ำไม่อาจคาดเดา”
ชายวัยกลางคนพยักหน้า พลางกล่าวคำ “เฉิงผูอยู่ในขอบเขตรวบรวมดาราขั้นกลางคนนี้สามารถสยบผู้อาวุโสของตระกูลทังผู้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นต้นด้วยมือเปล่า… ความสามารถเช่นนี้ ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย”
น้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งความนับถือ
ถึงแม้ในนครหลวงจิ๋วติ่งแห่งนี้ ตัวตนอย่างผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลทังขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณจะไม่ถึงกับมีฝีมือล้ำเลิศ แต่ก็ยังถือได้ว่าเป็นบุคคลที่เก่งกาจมากคนหนึ่ง
ทว่าตอนนี้ กลับโดนสยบโดยคนหนุ่มในขอบเขตรวบรวมดารา ทั้งยังได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง ใครบ้างจะไม่ตกตะลึง?
เฉิงผู?
ได้ยินชื่อนี้แล้ว ซูอี้จำได้ราง ๆ ว่า ระหว่างทางที่มาสู่อาณาจักรต้าเซี่ย หลิงอวิ๋นเหอเคยพูดถึงคนหนุ่มผู้ร้ายกาจคนนี้เช่นกัน
นอกจากคน ๆ นี้แล้ว ยังมีสาวน้อยนามว่าฉือเจี่ยนซู่อีกคนที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน