บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 506 คำประกาศศึกของอวี่เหวินซู่
ตอนที่ 506: คำประกาศศึกของอวี่เหวินซู่
ตอนที่ 506: คำประกาศศึกของอวี่เหวินซู่
บุคลิกและรูปโฉมของเจียงหลีโดดเด่นด้วยกันทั้งคู่
สิ่งที่หาได้ยากยิ่งคือนางมีบารมีสูงส่งของผู้อยู่เหนือกว่า บัดนี้ยืนอยู่ข้างกายเยว่ซือฉานก็มิได้โดนกลบรัศมีเท่าใด
ชั่วขณะนั้น การมีอยู่ของพวกนางทั้งสองได้ดึงดูดสายตาของคนส่วนใหญ่ในที่นี้
ชิวเหิงคงติดตามอยู่ด้านหลังเจียงหลีเช่นกัน เมื่อได้เห็นซูอี้ จึงอดเผยสีหน้ายินดีไม่ได้ จากนั้นเขาก็ประสานมือทักทาย “สหายเต๋าซู”
ซูอี้พยักหน้าให้ชิวเหิงคง แล้วจึงทอดสายตาไปมองเจียงหลี ก่อนจะเอ่ยอย่างใช้ความคิด “หอมรกตแห่งนี้เป็นหนึ่งในกิจการของตระกูลเจียงหรือ?”
เจียงหลียิ้มน้อย ๆ พยักหน้า “ถูกต้อง หากสหายเต๋าซูถูกใจสมบัติชิ้นใด แค่บอกชื่อข้าไป ย่อมได้ราคาที่สหายเต๋าพอใจแน่”
ซูอี้เอ่ย “ที่นี่มีโรงหลอมอาวุธหรือไม่”
เจียงหลีผงะ “มีสิ โรงหลอมอาวุธในหอมรกตของพวกเราถือว่าเป็นโรงชั้นนำในนครหลวงจิ๋วติ่ง สหายเต๋าอยากให้ปรมาจารย์หลอมอาวุธช่วยหลอมอาวุธให้หรือ?”
พูดมาถึงนี่ คิ้วเรียวของนางขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยขึ้น “ถ้าเป็นเช่นนั้น เกรงว่าสหายเต๋าต้องผิดหวังเสียแล้ว เนื่องจากชุมนุมมวลพฤกษาใกล้จะมาถึง บรรดาปรมาจารย์หลอมอาวุธของหอมรกตจึงมีภารกิจติดพันกันทั้งสิ้น หากขอให้พวกเขาหลอมอาวุธให้ในเวลานี้ แทบจะไม่มีหวัง”
ตาเฉี่ยวของนางหันมองซูอี้ “แน่นอนว่าหากสหายเต๋ามีความจำเป็น ข้ายินดีออกหน้าลองไปเชิญปรมาจารย์หลอมอาวุธมาเพื่อสหายเต๋าดู”
เดิมที นางกับซูอี้หาได้มีสัมพันธ์ไมตรีต่อกันเท่าใด
หากจะนับดูจริง ๆ เคยกระทบกระทั่งกันด้วย แต่ท้ายสุดนางก็เลือกที่จะถอยและขอโทษ
บัดนี้ได้พบซูอี้ ทักทายสารทุกข์สุกดิบได้อย่างใจกว้าง ก็ถือเป็นหัวใจบริการในฐานะเจ้าของหอมรกต
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นางย่อมมิได้ต้องการช่วยเหลือซูอี้ด้วยใจจริงอยู่แล้ว
มีหรือที่ซูอี้ฟังไม่ออกว่าแม้น้ำเสียงของเจียงหลีดูกระตือรือร้น ทว่าเป็นเพียงการตอบรับอย่างขอไปทีเท่านั้น
เขาไม่ถือสาเรื่องพวกนี้ จึงตอบกลับ “ข้าไม่ต้องการปรมาจารย์หลอมอาวุธ ข้าขาดเพียงโรงหลอมอาวุธเท่านั้น หากหอมรกตอำนวยสถานที่เช่นนี้ให้ข้าได้ย่อมดีไม่น้อย ถ้าไม่มี ข้าค่อยไปที่อื่นยังได้”
เจียงหลีชะงักนิดหน่อย “โรงหลอมอาวุธมีอยู่ถมเถ แต่สหายเต๋าซู… เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธด้วยหรือ?”
ซูอี้เอ่ยเสียงราบเรียบ “พอมีความรู้บ้าง วางใจเถิด ข้าย่อมจ่ายให้อย่างเหมาะสม”
เจียงหลีเอ่ยยิ้ม ๆ “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ข้าไฉนเล่าจะเรียกร้องเงินจากสหายเต๋า ข้ากำลังจะไปโรงหลอมอาวุธพอดี สหายเต๋าตามข้ามา”
พูดไป นางนำทางอยู่ด้านหน้า
“ศิษย์พี่ซู ท่าน… จะหลอมอาวุธจริงๆ หรือ”
เยว่ซือฉานอดถามไม่ได้
ซูอี้ตอบด้วยท่าทีสบาย ๆ “เมื่อครู่ข้าลองดูแล้ว อาวุธดาบที่นี่ล้วนไม่คู่ควรกับเจ้า ให้ข้าหลอมดาบให้เจ้าด้วยตัวเองย่อมดีกว่า”
เจียงหลีซึ่งเดินอยู่หน้าสุดเลิกคิ้วเรียวขึ้น ไม่พอใจขึ้นมานิดหน่อย หมอนี่… ดูถูกอาวุธดาบที่ตั้งเรียงในหอมรกตอย่างนั้นหรือ?
ต่อให้เป็นมหาปราชญ์สวรรค์ขั้นวิถีวิญญาณยังไม่กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้!
เถาอวิ๋นฉือหัวเราะเย็น ๆ อย่างอดไม่ได้ “ซูอี้ หรือเจ้าคิดว่าดาบที่เจ้าหลอมเอง ยอดเยี่ยมกว่าดาบวิญญาณของหอมรกตอย่างนั้นหรือ”
ซูอี้กล่าวด้วยท่าทีนิ่งเฉย “ดาบวิญญาณแบ่งแยกระดับสูงต่ำ แต่ใช่ว่าดาบระดับสูงจะเหมาะกับนักดาบทุกคน”
พูดมาถึงนี่ เขาทอดสายตามองเถาอวิ๋นฉือ “เหตุผลง่าย ๆ เช่นนี้ ศิษย์สำนักดาบเทียนชูไม่รู้หรือ?”
เมื่อโดนซูอี้จ้องแบบนี้ เถาอวิ๋นฉือหวาดหวั่นขึ้นมาในใจ เขาไม่มีทางลืมว่าเมื่อครานั้น ตนเองพ่ายแพ้ให้กับซูอี้อย่างไร
ทว่า บัดนี้อยู่ที่หอมรกต ถิ่นของเจียงหลี เถาอวิ๋นฉือจึงไม่กลัวซูอี้จะผลีผลามทำอันใด
เขากัดฟันพร้อมกล่าว “แต่เจ้าก็ไม่ควรกล่าววาจาดูถูกดาบวิญญาณของหอมรกต!”
“ไม่คู่ควรก็คือไม่คู่ควร ข้าแค่ว่าไปตามความจริงเท่านั้น”
ซูอี้กล่าว
เถาอวิ๋นฉือแค่นเสียงเย็น “อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นพวกข้าอยากจะเห็นจริง ๆ ว่าประเดี๋ยวเจ้าจะหลอมดาบออกมาได้วิเศษวิโสเพียงใด!”
ซูอี้คร้านจะสนใจผู้ที่เคยพ่ายแพ้ให้ตัวเอง
เขาหลอมดาบวิญญาณให้เยว่ซือฉานใช้ หาใช่หลอมให้ผู้ใดดู
บทสนทนาของทั้งสองลอยมาเข้าหูของเจียงหลีและคนอื่น ๆ อย่างชัดเจน และต่างก็รู้สึกไม่สบอารมณ์กันนิดหน่อย และคิดว่าซูอี้โอหังเกินไป ประเดี๋ยวขอดูหน่อยเถิดว่าดาบวิญญาณที่เขาหลอมเป็นเช่นไร!
โรงหลอมอาวุธอยู่ด้านหลังของหอมรกต เป็นตำหนักที่ใช้พื้นที่มหาศาล ด้านในมีห้องหลอมอาวุธแตกต่างกันตั้งอยู่
ตอนที่เจียงหลีพาทั้งหมดไปถึง ก็มีคนกลุ่มหนึ่งรออยู่ที่นั่นแล้ว
ผู้ที่ยืนอยู่หน้าสุดคือชายหนุ่มในชุดผ้าใบสีซีด
ชายหนุ่มมีโครงกระดูกยักษ์ใหญ่ ไหล่กว้างเอวคอด รูปร่างกำยำ ผมดำขลับสยาย หน้าตาอาจหาญ คิ้วตาจมูกคมคายประดุจสลักด้วยคมมีด
สายตาคู่นั้นราวกับคมดาบเจิดจ้า ดุดันน่าเกรงขาม
ผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไปเมื่อได้พบชายหนุ่มผู้นี้ ประหนึ่งได้พานพบดาบเทพโหดเหี้ยมที่ถูกลับจนคมกริบ ความกดดันเสียดแทงหัวใจ ไม่กล้าสบตากับเขาตรง ๆ
“ช่างเป็นภาวะดาบที่คมกล้าดุดันจริง ๆ!” ดวงตาสุกสกาวของเยว่ซือฉานนิ่งงันไปนิดหน่อย
ในฐานะนักดาบ นางจึงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าชายหนุ่มชุดผ้าใบผู้นี้มีภาวะดาบแสนน่ากลัว เป็นรัศมีที่ผ่านการขัดเกลาด้วยโลหิต เปลวเพลิง รวมถึงความเป็นและความตายจึงจะมีได้ เชี่ยวชาญการเข่นฆ่ายิ่ง
ซูอี้เองก็มองชายหนุ่มชุดผ้าใบนานกว่าผู้อื่น
ขอบเขตรวบรวมดาราขั้นปลาย ภาวะดาบห้อมล้อมอยู่รอบกาย พลังปราณทะลุทะลวงคมกล้า เป็นการบ่งบอกว่าขัดเกลาภาวะดาบได้ถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว
ภาวะดาบเกี่ยวพันกับจังหวะวิถีในตัว
ขั้นจังหวะวิถีของวิถีต้นกำเนิดแบ่งออกเป็นสี่ขั้นดังนี้ ขั้นต้น ขั้นแตกฉาน ขั้นสำเร็จ ขั้นสมบูรณ์
ชายหนุ่มชุดผ้าใบขัดเกลาภาวะดาบได้ถึงขั้นสมบูรณ์ นับว่าเป็นคนระดับต้น ๆ ของวิถีต้นกำเนิดทีเดียว
หากอยู่ที่เก้ามหาแดนดิน ก็สามารถเข้าไปเป็นลูกศิษย์ในกลุ่มเต๋าโบราณได้!
“ศิษย์พี่อวี่เหวินต้องคอยนานแล้ว”
เจียงหลีเอ่ยเสียงเบา
เถาอวิ๋นฉือ กู่เถิงอิง พร้อมทั้งศิษย์คนอื่น ๆ แห่งสำนักดาบเทียนชูทำความเคารพกันพร้อมเพรียง สีหน้าฉายแววเกรงขาม
อวี่เหวินซู่!
ศิษย์พี่ผู้เก่งกาจในวิถีดาบท่ามกลางคนรุ่นเยาว์สำนักดาบเทียนชู หนึ่งในอัจฉริยะรุ่นเยาว์ผู้โดดเด่นที่สุด ชื่อเสียงเทียบเท่าเหวินซินจ้าวแห่งวังเทพสวรรค์เมฆา หลี่หานเติงแห่งสำนักเต๋าชิงอี่ เฉินลวี่แห่งวัดมหาจันทรา!
“ขอเพียงปรมาจารย์อวี๋ช่วยยกระดับพลานุภาพ ‘ดาบทองบังเหิน’ ให้ข้าได้ ต่อให้ข้าต้องรอจนกว่าชุมนุมมวลพฤกษาจะเริ่ม ข้าก็ยินดี”
เมื่อได้เห็นเจียงหลี ใบหน้าเข้มแข็งดุจหินผาของอวี่เหวินซู่ก็ฉายรอยยิ้ม
เจียงหลีเอ่ยเสียงเบา “ความแตกฉานด้านหลอมอาวุธของปรมาจารย์อวี๋ติดสามอันดับแรกของนครหลวงจิ๋วติ่ง ซ้ำศิษย์พี่ยังเป็นอัจฉริยะนักดาบที่ปรมาจารย์อวี๋ให้ความสำคัญยิ่ง เชื่อว่าปรมาจารย์อวี๋ไม่ปล่อยให้ศิษย์พี่ผิดหวังแน่นอน”
“สองท่านนี้คือ?”
สายตาอวี่เหวินซู่ทอดมองซูอี้และเยว่ซือฉาน
โดยเฉพาะเยว่ซือฉาน มีบุคลิกที่นักดาบเท่านั้นพึงมี ผนวกกับรูปโฉมสะคราญดั่งเทพธิดา จนเขาเองก็ตะลึงไม่น้อย
“ท่านนี้คือคุณชายซูอี้ ส่วนท่านนี้…”
เมื่อต้องแนะนำเยว่ซือฉาน เจียงหลีก็พูดไม่ออก เพราะนางเองก็ไม่รู้จักเยว่ซือฉาน
“เยว่ซือฉาน”
เสียงของเยว่ซือฉานเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนภายนอก นางมีบุคลิกเหนือปุถุชน หยิ่งทะนง ซ้ำยังให้ความรู้สึกหนาวเหน็บไม่น่าเข้าใกล้
ซูอี้ไม่มีแก่จิตแก่ใจทักทายทำความรู้จัก “แม่นางเจียง ช่วยจัดหาห้องหลอมอาวุธให้ข้าด้วย”
“ได้”
เจียงหลีเรียกผู้ดูแลโรงหลอมอาวุธเข้ามาทันที หลังจากกำชับไป ผู้ดูแลคนนั้นจึงพาซูอี้และเยว่ซือฉานเดินลึกเข้าไปในโรงหลอมอาวุธ
“เจ้าคนแซ่ซูทึกทักเอาว่าตนมีพลังแกร่งกล้า เย่อหยิ่งไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา ยโสโอหัง ศิษย์พี่เจียงไม่น่าไปช่วยคนพรรค์นี้เลย”
เถาอวิ๋นฉืออดโอดครวญมิได้
คนอื่น ๆ ก็พากันส่งเสียง “ใช่แล้ว จะว่าไป เจ้าคนแซ่ซูเคยมีปัญหากับเรา ศิษย์พี่เจียงไม่ถือสาหาความเรื่องในอดีต ให้ความช่วยเหลือแก่เขา เขาไม่ซาบซึ้งในน้ำใจไม่เท่าไร ซ้ำยังว่าร้ายหาว่าอาวุธดาบของหอมรกตล้วนไม่อาจเทียบเทียมกับอาวุธดาบที่เขาหลอมเอง น่าโมโหสิ้นดี”
อวี่เหวินซู่ขมวดคิ้วพลางกล่าว “คนผู้นี้เคยปะทะกับสำนักดาบเทียนชูของเราหรือ”
เจียงหลีหันมองชิวเหิงคง “จะว่าไปเรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับศิษย์น้องชิว”
นางเล่าการกระทบกระทั่งที่เมืองผี ‘อาณาจักรชิงไหว’ ให้ฟังคร่าว ๆ ด้วยความยุติธรรม ไม่เอนเอียงฝ่ายใด ไม่ใส่สีตีไข่
แต่เถาอวิ๋นฉือและกู่เถิงอิงกลับอับอายจนก้มหน้าต่ำ
สำหรับพวกเรา เรื่องนี้นับว่าอัปยศยิ่ง บัดนี้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ ไม่ต่างจากโดน ‘ลากศพ’ ออกมาเฆี่ยนอีกครั้ง
อวี่เหวินซู่กวาดสายตามองเถาอวิ๋นฉือและกู่เถิงอิงเย็น ๆ “ออกไปอยู่ข้างนอก กลับว่าร้ายศิษย์น้องสำนักเดียวกันต่อหน้าคนนอก โง่เขลาสิ้นดี ความสามารถไม่สู้ผู้อื่น ควรรู้จักอายและหาญกล้าสู้ใหม่ แต่ดูแล้ว พวกเจ้าไม่มีความตระหนักรู้เช่นนี้ ช่างน่าผิดหวังจริง ๆ!”
คำพูดของเขาเล่นเอาเถาอวิ๋นฉือ และกู่เถิงอิงเหงื่อผุดพราย เงียบเป็นเป่าสาก
อวี่เหวินซู่หันมองเจียงหลีอีกครั้ง พร้อมกล่าว “ศิษย์น้องเจียง ตอนนั้นเจ้าเลือกขอโทษและยอมถอยให้ เป็นเพราะรู้ตัวว่าไม่อาจเอาชนะซูอี้ผู้นั้นหรือ?”
เมื่อเจอกับสายตาคมกริบดั่งดาบของเขา เจียงหลีก็ไม่เปลี่ยนสีหน้า และเอ่ยราบเรียบ “เรื่องของแพ้ชนะ มีแต่ต้องประมือกันแล้วเท่านั้นจึงจะทราบ แต่ต้องยอมรับว่าซูอี้เป็นคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจมาก ที่ครานั้นข้าเลือกยอมถอยให้ เพียงเพราะไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้”
อวี่เหวินซู่ครุ่นคิด ก่อนจะกล่าว “รอให้ซูอี้หลอมดาบเสร็จแล้ว ข้าจะประกาศศึกต่อเขา”
เมื่อเขาเอื้อนเอ่ยคำนี้ ทุกคนในที่นี้ตะลึงกันหมด ราวกับไม่อยากเชื่อ
เถาอวิ๋นฉือ กู่เถิงอิงที่โดนตำหนิจนอับอายไม่สบายใจก่อนหน้านี้ เวลานี้ตื่นเต้นจนตาลุกวาว
ได้ศิษย์พี่อวี่เหวินออกโรง มีหรือจะทำลายความโอหังของซูอี้ไม่ได้?!
ชิวเหิงคงใจกระตุกวูบ ในฐานะศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักดาบเทียนชู เขาหรือจะไม่รู้ว่าความสามารถของผู้นำรุ่นเยาว์อย่างอวี่เหวินซู่สยดสยองเพียงใด
เรียกว่าเป็นการดำรงอยู่ระดับต้น ๆ ของอัจฉริยะในยุคนี้เชียวล่ะ!
“ศิษย์พี่อวี่เหวิน อีกไม่นานชุมนุมมวลพฤกษาจะเริ่มขึ้นแล้ว ประกาศศึกต่อซูอี้ในตอนนี้ ไม่ค่อยเหมาะ… กระมัง?”
เจียงหลีเอ่ยเสียงเข้ม
อวี่เหวินซู่นิ่งงันไป สายตาคมกล้า น้ำเสียงราบเรียบ “ศิษย์น้องเจียงวางใจ นี่หาใช่การใช้อารมณ์แต่อย่างใด และมิใช่เพราะต้องการออกหน้าแทนเจ้าโง่สองคนนั้น ข้าในฐานะผู้นำแห่งวิถีดาบรุ่นเยาว์ของสำนัก ควรปกป้องชื่อเสียงเกรียงไกรของสำนัก สรุปประโยคเดียว ต่อให้คนของเราผิด คนนอกก็ไม่อาจเข้ามาทำหน้าที่สั่งสอน!”
น้ำเสียงหนักแน่นกึกก้องดั่งดาบ
เจียงหลีเงียบ ท้ายสุดก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด
ต่อให้นางไม่เห็นด้วยกับวิธีการของอวี่เหวินซู่ แต่นางก็เข้าใจดีว่านิสัยของอวี่เหวินซู่เป็นเช่นนี้ คมกล้าเด็ดขาดเฉกเช่นเดียวกับคมดาบของเขา
“ถึงเวลานั้น ข้าจะคอยสนับสนุนศิษย์หลานอวี่เหวินเอง!”
เวลานั้นเอง ชายวัยกลางคนในชุดผ้าแพรคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังอวี่เหวินซู่คลี่ยิ้มออกมาน้อย ๆ พร้อมเอ่ยขึ้นเนิบ ๆ