บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 507 หนี้แค้น
ตอนที่ 507: หนี้แค้น
ตอนที่ 507: หนี้แค้น
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าไหม สวมรัดเกล้า ไว้เครายาว หน้าตาขาวผ่อง กลิ่นอายผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแผ่ซ่านออกจากทั้งตัว
โจวเฟิงจื่อ!
ผู้อาวุโสสายในสำนักดาบเทียนชู ผู้กล้าแกร่งที่ก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณตั้งแต่สิบปีก่อน
คล้อยตามเสียงของเขาดังขึ้น ทุกคนกระเตื้องขึ้นมากันหมด
คิ้วเรียวของเจียงหลีขมวดหากันเล็กน้อย ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ “ท่านลุงโจว ข้าจำได้ว่าท่านและศิษย์น้องโจวจือเฉียนมาจากต้าโจวด้วยกันทั้งคู่ หรือท่านจะรู้จักซูอี้ผู้นี้”
ขณะที่พูด นางหันมองโจวเฟิงจื่อ แล้วหันมองคนหนุ่มในชุดสีเงินคนหนึ่งข้างกายโจวเฟิงจื่อ ด้วยท่าทางขบคิด
คนหนุ่มในชุดสีเงินหรี่ตาลงเล็กน้อย
หากโจวจือหลี องค์รัชทายาทแห่งต้าโจวอยู่ที่นี่ ย่อมจำได้ว่าคนหนุ่มในชุดสีเงินคือพี่ชายต่างมารดาของเขา องค์ชายใหญ่แห่งต้าโจว โจวจือเฉียน!
“ถูกต้อง”
โจวเฟิงจื่อชำเลืองเจียงหลีอย่างประหลาดใจ “ข้าเคยได้ยินเรื่องราวของชายผู้นี้จริง ว่าไปแล้ว นับแต่ที่บุรุษผู้นี้ยังอยู่ที่ต้าโจว ก็เคยเข่นฆ่าคนในตระกูลข้า นับว่ามีหนี้แค้นต่อกัน”
ขณะที่ทุกคนอึ้งอยู่ ยังมิวายตระหนักได้ มิน่าเล่า ผู้อาวุโสโจวถึงกระตือรือร้นถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็จำศัตรูอย่างซูอี้ได้แต่แรก!
“แย่แล้ว!”
ชิวเหิงคงสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนระดับโจวเฟิงจื่อจะมีหนี้แค้นเช่นนี้กับซูอี้ด้วย
“สี่เดือนก่อน ซูอี้สังหารผู้อาวุโสในตระกูลข้าที่นครหลวงอวี้จิง อาณาจักรต้าโจว เพื่อรักษาชีวิตของข้าไว้ ผู้อาวุโสในตระกูลชิงส่งตัวข้าออกไปล่วงหน้า”
เวลานั้น คนหนุ่มในชุดสีเทา โจวจือเฉียนเป็นฝ่ายพูดบ้างด้วยหน้าตาโศกศัลย์ “ข้าขอบอกทุกท่านตามตรง ที่ข้าต้องจากบ้านเกิดมาไกล ฝากตัวฝึกฝนใต้สำนักดาบเทียนชู เป้าหมายสำคัญที่สุดของข้าคือยกระดับพลังของตัวเอง เพื่อปลิดชีพศัตรูคู่แค้นอย่างซูอี้”
พูดมาถึงนี่ เขาสูดหายใจเข้าลึก “ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะได้พบศัตรูคนนี้ที่นี่เวลานี้อีกครั้ง…”
เสียงของเขาเจือไปด้วยความเดือดพล่าน
ทุกคนใจอ่อนกันหมด
กระทั่งเจียงหลียังอดผงะไม่ได้ เรื่องในวันนี้ บังเอิญจริง ๆ…
แต่ในตอนนั้นเอง อวี่เหวินซู่กลับส่ายหัวพลางกล่าว “ท่านลุงโจว ที่ข้าตัดสินใจประกาศศึกต่อซูอี้ก็เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของสำนัก หาได้เป็นการเข่นฆ่าเพราะความแค้น หากเป็นเรื่องนี้ น่ากลัวว่าข้าคงช่วยอะไรท่านไม่ได้”
เขามีหลักการของตัวเอง
ด้วยฐานะผู้นำรุ่นเยาว์ ไม่จำเป็นต้องสนใจผู้อาวุโสระดับโจวเฟิงจื่อ เพราะด้วยรากฐานและพรสวรรค์ของเขา วันหน้าช้าเร็วก็จะมีตำแหน่งเหนือโจวเฟิงจื่อ!
โจวเฟิงจื่อขมวดคิ้วไปแวบหนึ่งโดยไม่ให้ใครรู้ตัว ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ “ด้วยฝีมือของข้า เรื่องปลิดชีพซูอี้ย่อมไม่จำเป็นต้องให้ศิษย์หลานเข้ามายุ่ง อย่างที่ข้าบอกไว้ก่อนหน้านี้ ข้าเพียงแต่ช่วยเป็นกำลังสนับสนุนเท่านั้น ไม่เข้าไปแทรกแซงเด็ดขาด”
อวี่เหวินซู่พยักหน้า “เช่นนั้นเป็นการดีที่สุด”
เจียงหลีลอบถอนหายใจ “ศิษย์พี่อวี่เหวิน ท่านลุงโจว หอมรกตเป็นพื้นที่ของตระกูลเจียง เวลานี้ซูอี้เป็นแขก ต่อให้พวกท่านสองคนจะลงมือ ขอโปรดอย่าลงมือที่นี่”
โจวเฟิงจื่อกับอวี่เหวินซู่รับปากทั้งคู่
หัวใจชิวเหิงคงหนักหน่วงยิ่งขึ้น ร้อนรนทนไม่ไหว
“ประเดี๋ยวสหายเต๋าซูออกมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องเตือนเขาทันที ให้เขารีบไปจากที่นี่โดยด่วน!”
ชิวเหิงคงตัดสินใจกับตัวเอง
แต่ในตอนนั้นเอง โจวเฟิงจื่อหันมองเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เหิงคง เจ้าเป็นศิษย์สำนักดาบเทียนชูของเรา ประเดี๋ยวซูอี้หลอมอาวุธเสร็จแล้วห้ามลักลอบส่งข่าวสารให้กันเด็ดขาดนะ”
แม้เสียงนั้นนุ่มนวลเปี่ยมเมตตา ทว่าชิวเหิงคงกลับรู้สึกเหน็บหนาวทนไม่ไหว
เวลาล่วงเลยผ่านไปเรื่อย ๆ
สองชั่วยามต่อมา
ทันใดนั้น ประตูบานใหญ่ของห้องหลอมอาวุธเปิดออก คนกลุ่มหนึ่งเดินออกมา
คนที่เดินนำอยู่เป็นผู้เฒ่าชุดคลุมยาว ผมเผ้ากระเซิง รูปร่างล่ำสัน ผิวคล้ำเนียน
แม้ว่าเขาจะดูมีอายุ ทว่าท่าทางกระปรี้กระเปร่า สดชื่นมีชีวิตชีวา พลังดุดันเกริกไกรแผ่ซ่านออกจากรอบตัว
ตาเฉี่ยวของเจียงหลีเป็นประกาย เข้าไปต้อนรับด้วยตัวเอง นางทำความเคารพ “ท่านลุงอวี๋ สำเร็จหรือไม่”
“คารวะปรมาจารย์อวี๋!”
พวกอวี่เหวินซู่ล้วนคำนับด้วยหน้าตาเคารพ
กระทั่งโจวเฟิงจื่อก็ประสานมือทำความเคารพ ไม่กล้าเสียมารยาท
เพราะผู้เฒ่าเบื้องหน้าผู้นี้ คือ ‘อวี๋ซูเหยา’ ปรมาจารย์การหลอมอาวุธที่เลื่องชื่อไปทั่วใต้หล้า ผู้คนเรียกขานเขาว่าปรมาจารย์อวี๋
ท่ามกลางในบรรดานักหลอมอาวุธทั้งแผ่นดิน เขาอยู่ในสามอันดับต้น
ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ กระทั่งผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณยังต้องเข้ามาขอเข้าพบปรมาจารย์อวี๋กันมากมาย หวังให้เขาช่วยหลอมศาสตราอาวุธ
อวี๋ซูเหยาไม่สนใจผู้อื่น เฉพาะตอนที่คุยกับเจียงหลีเท่านั้น ใบหน้าบึ้งตึงไม่แสดงอารมณ์นั้นถึงพอจะคลี่ยิ้มออกบ้าง “เรื่องที่เจ้ากำชับด้วยตัวเอง มีหรือที่ข้าจะชะล่าใจ”
พูดไป เขาก็บอกกับบริวารคนหนึ่งข้างกาย “นำดาบเข้ามา”
บริวารอุ้มกล่องบรรจุดาบไว้กับอก เมื่อได้ยินดังนั้นจึงรีบก้าวเข้าไป ยื่นให้อวี่เหวินซู่ด้วยสองมือ
พริบตาที่อวี่เหวินซู่เปิดกล่องบรรจุดาบ ประกายสีทองพลันปรากฏ เบาบางหนาวเหน็บดั่งม่านหมอก แผ่กระจายออก ผู้คนรอบข้างรู้สึกเจ็บแปลบที่ผิว ขนแขนตั้งชัน ต่างสูดหายใจเข้าลึกอย่างอดไม่ได้
และได้เห็นภายในกล่องบรรจุดาบมีดาบวิญญาณสีทองเล่มหนึ่ง ตัวดาบคล้ายก่อร่างด้วยทองคำวิเศษ ใสสกาวแวววาว พลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกจากคมดาบกลายเป็นควันจาง ๆ ทว่าเจิดจ้าแยงตา
ดาบชั้นยอด!
ทุกคนตาลุกวาวอย่างอดไม่ได้
ดาบวิญญาณเล่มนี้มีนามว่าดาบทองบังเหิน เดิมเป็นสมบัติโบราณที่อยู่มานานกว่าสามหมื่นปี แสนยานุภาพแต่เดิมนั้นแกร่งกล้าไร้สิ่งใดเปรียบอยู่แล้ว
ข้อเสียอย่างเดียวคือคมดาบมีจุดบิ่น ในความยอดเยี่ยมจึงมีจุดบกพร่องอยู่
ทว่าเวลานี้ เมื่อได้ผ่านการหลอมบูรณะจากปรมาจารย์อวี๋ นอกจากจะซ่อมแซมส่วนสึกหรอนี้ได้แล้ว ยังยกระดับดาบนี้ขึ้นอีกมาก!
“ขอบคุณปรมาจารย์อวี๋มาก!”
ผู้ฝึกดาบหัวใจแข็งดุจหินผาอย่างอวี่เหวินซู่ พริบตานี้ก็ไม่อาจปิดบังความตื้นตันและความยินดี โค้งตัวคำนับขอบคุณ
อวี๋ซูเหยาเอ่ยอย่างไม่คิดมาก “เดิมดาบนี้หล่อเลี้ยงร่างวิญญาณภูตออกมาได้แล้ว มีสติปัญญาในระดับหนึ่ง เป็นดาบอาวุธพิเศษหนึ่งในหมื่น ข้าแค่ช่วยซ่อมแซมส่วนสึกหรอให้มันเท่านั้น”
เจียงหลีอมยิ้ม “ท่านลุงอวี๋อย่าถ่อมตัวนักเลย ในใต้หล้านี้ใครเล่าไม่รู้ว่าผู้ที่ซ่อมแซมอาวุธพิเศษได้มีน้อยขนาดที่นับมือเดียวก็หมด และท่านเป็นหนึ่งในนั้น”
คนอื่น ๆ ก็พากันเอ่ยปาก ชื่นชมไม่ขาดสาย
อวี๋ซูเหยาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ภายใต้คำชื่นชมเหล่านี้ หน้าตาบึ้งตึงคร่ำเคร่งของเขาอ่อนลงไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าลำพองใจอยู่มาก
ดั่งคำที่เจียงหลีว่า ผู้ที่ซ่อมแซมอาวุธพิเศษในแผ่นดินนี้ได้มีเพียงหยิบมือ!
“ในเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ข้าก็จะไปแล้ว แม่หนู เจ้ากับข้าเล่นหมากสักกระดานดีหรือไม่?”
อวี๋ซูเหยาหันมองเจียงหลี
ชีวิตนี้ของเขามีความชอบอยู่สามอย่าง หนึ่งหลอมอาวุธได้ดี สองเล่นหมากได้ดี สามดื่มเหล้าดี ๆ
ทุกครั้งที่หลอมอาวุธเสร็จ เขาต้องเล่นหมากให้หนำใจ
เจียงหลีเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ท่านลุงอวี๋ ถ้าเป็นปกติข้าย่อมตกลงเล่นหมากกับท่าน แต่ตอนนี้… ข้าต้องรอใครบางคนอยู่ที่นี่”
“รอใครบางคน?”
อวี๋ซูเหยาผงะ
เวลานี้ เถาอวิ๋นฉืออดแทรกขึ้นมาไม่ได้ “เรียนปรมาจารย์อวี๋ตามตรง ผู้ที่พวกเรารอกันอยู่คือคนหนุ่มนามซูอี้ ก่อนนี้เขาเคยกล่าวหาว่าอาวุธดาบในหอมรกตล้วนไม่คู่ควรกับสหายของเขา จึงขอยืมห้องหลอมอาวุธในโรงหลอม หมายจะช่วยหลอมดาบสักเล่มให้สหายของเขา”
เป็นการยุแยงเห็น ๆ ไม่ว่าผู้ใดก็ฟังออก
อวี๋ซูเหยาหรือจะฟังไม่ออก เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย หันมองเจียงหลี “คนหนุ่มผู้นั้นว่าแบบนี้จริงหรือ”
เจียงหลีพยักหน้า “เรื่องเป็นเช่นนี้จริง ๆ”
อวี๋ซูเหยาหัวเราะ “ดาบวิญญาณที่ตั้งเรียงอยู่ในหอมรกต มาจากฝีมือข้าก็หลายเล่ม ดาบวิญญาณอื่น ๆ ล้วนเป็นฝีมือการหลอมของลูกศิษย์ข้า ไฉนพออยู่ในปากคนหนุ่มแซ่ซู ถึงถูกหยามเหยียดถึงเพียงนี้”
จากนั้นเขาก็ส่ายหัว “เด็กเมื่อวานซืนเพ้อเจ้อเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ ข้ามิมีเวลาถือสาเอาความหรอก แม่หนูสิ เหตุใดต้องรอคนพรรค์นั้นอยู่ที่นี่?”
เจียงหลีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยบอก “หนึ่งเพื่อดูว่าซูอี้หลอมดาบวิญญาณได้เก่งขนาดไหน สองเพราะศิษย์พี่อวี่เหวินของข้าหมายประกาศศึกต่อเขา ดวลฝีมือให้รู้แพ้รู้ชนะ”
นางไม่ได้เล่าเรื่องที่โจวเฟิงจื่อและโจวจือเฉียนตั้งใจทำ อย่างไรเรื่องนั้นก็เป็นความแค้นส่วนตัว
อวี๋ซูเหยาประหลาดใจขึ้นมาทันใด
เขารู้ดีว่าอวี่เหวินซู่เป็นผู้นำในหมู่คนรุ่นเยาว์แห่งสำนักดาบเทียนชู นับเป็นคนระดับต้น ๆ ในบรรดาอัจฉริยะของยุคนี้
คนที่อวี่เหวินซู่ประกาศศึกด้วย เกรงว่าคงไม่ธรรมดา
อวี๋ซูเหยาหมายจะถามสิ่งใดต่อ
ทันใดนั้น เสียงดาบกู่ร้องเจือแววดุดันดังออกจากห้องหลอมอาวุธห้องหนึ่ง เสียงนั้นคล้ายกับเสียงคำรามของเทพมารโบราณ พลังสยดสยองยิ่ง
“นี่มัน…”
คนจำนวนไม่น้อยในที่นี้สั่นไปทั้งตัว สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ตาคู่ใสของเจียงหลีหรี่ลง
ดาบทองบังเหินในมืออวี่เหวินซู่สั่นสะเทือนราวกับสัมผัสถึงกัน ส่งผลให้เขาตกใจไม่น้อย
“หืม?”
โจวเฟิงจื่อมีสีหน้าแปลกไป
ส่วนอวี๋ซูเหยามีท่าทีราวกับโดนสายฟ้าฟาด เอ่ยเสียงหลง “ช่างเป็นดาบที่ดุร้ายกระไรเช่นนี้! ผู้ใดเป็นคนหลอมกัน?”
ทันทีที่เสียงของเขาดังขึ้น ร่างของเขาก็ปรี่ไปที่ห้องหลอมอาวุธ ซึ่งมีเสียงดาบกู่ร้องดังออกมาดุจสายลม ท่าทางทนรอไม่ไหว
สำหรับปรมาจารย์การหลอมที่มีชื่อเสียงมานมนาน เป็นการไม่สงวนท่าทีอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่า กระทั่งอวี๋ซูเหยายังทึ่งถึงเพียงนี้ ก็ย่อมพอดูออกว่าดาบวิญญาณที่กำลังจะหล่อหลอมขึ้นไม่ธรรมดาปานใด
“ศิษย์พี่เจียง ในโรงหลอมอาวุธของท่านมีปรมาจารย์การหลอมที่เก่งกาจยิ่งกว่าปรมาจารย์อวี๋อีกหรือ?”
มีบางคนถามเพราะอดไม่ไหว
เจียงหลีก็มึนงงไปหมด นางส่ายหัว “ไม่มี แต่ข้าได้ยินว่าเวลาที่ปรมาจารย์การหลอมผู้อื่นหลอมอาวุธ หากถึงคราวตระหนักรู้ บันดาลใจประดุจผู้ฝึกตน ย่อมหล่อหลอมดาบวิญญาณชั้นเยี่ยมออกมาได้เช่นกัน เพียงแต่เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นไม่บ่อย”
โจวเฟิงจื่อสะท้อนใจ “ถ้าเช่นนั้น วันนี้ในโรงหลอมอาวุธของศิษย์หลานเจียง น่ากลัวว่าคงมีสมบัติล้ำค่าสะท้านโลกาเพิ่มมาอีกหนึ่ง”
ผู้คนอดอิจฉาไม่ได้
กระทั่งเจียงหลีเองก็คาดหวังในใจไม่น้อย
มีเพียงชิวเหิงคงที่สีหน้าแปลกไป ห้องหลอมอาวุธที่มีเสียงดาบกู่ร้องดังออกมา คล้ายว่าเป็นห้องที่สหายเต๋าซูเข้าไปนี่นา…
จะเป็นเขาหรือ?
ชิวเหิงคงไม่มั่นใจ
เพราะเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าซูอี้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธด้วย
อีกอย่าง เสียงดาบกู่ร้องก่อนหน้านี้ดุดันดั่งเกลียวคลื่น เสียงคำรามดุจเทพมารโบราณปานนั้นชวนใจสั่นยิ่ง หาใช่ดาบที่ปรมาจารย์การหลอมทั่ว ๆ ไปหลอมขึ้นมาได้
ชิวเหิงคงถึงกับสงสัยว่าต่อให้เป็นปรมาจารย์อวี๋ก็ไม่อาจหล่อหลอมดาบวิญญาณระดับนี้ขึ้นมาได้ ไม่อย่างนั้น เหตุใดเมื่อครู่ปรมาจารย์อวี๋ถึงได้เสียท่าทีด้วยความตะลึงขนาดนั้น!