บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 508 จิตแห่งจักจั่น
ตอนที่ 508: จิตแห่งจักจั่น
ตอนที่ 508: จิตแห่งจักจั่น
“ผู้ใดกำลังหลอมอาวุธอยู่ในนี้”
นอกห้องหลอมอาวุธที่ปิดประตูแน่นหนา อวี๋ซูเหยาสูดหายใจลึกแล้วถาม
ด้านข้างเขา บริวารจำนวนหนึ่งมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
เมื่อเห็นดังนั้น อวี๋ซูเหยาจึงรู้สึกทนไม่ไหว
“พวกเจ้าออกไปคอยอยู่ข้างนอกให้หมด ห้ามเข้ามารบกวนเป็นอันขาด!”
เขาออกคำสั่ง ก่อนจะแง้มประตูใหญ่ของห้องหลอมอาวุธออกเล็กน้อย และย่องเข้าไปราวกับเป็นโจร
ราวกับกลัวเหลือเกินว่าจะไปรบกวนเจ้าของห้องหลอมอาวุธแห่งนี้
ภายในห้องหลอมอาวุธ
ไฟในเตาลุกโชน คลื่นความร้อนถาโถม
ดาบวิญญาณเล่มหนึ่งลอยอยู่เหนือเตา อวี๋ซูเหยาโดนดึงดูดความสนใจตั้งแต่แวบแรก ตาเบิกกว้างขึ้นทีละน้อย หน้าตาฉายความทึ่งตะลึง ก่อนจะตกอยู่ในภวังค์ หลงใหล
ดาบเล่มนี้ยาวเพียงสองฉื่อเจ็ดชุ่น กว้างสามนิ้ว ตัวดาบขาวผ่องสุกสกาว มีประกายสีเงินจาง ๆ กระจายออกมา ดุจแสงดาราเลือนราง
มันลอยค้างอยู่ตรงนั้น ส่งเสียงกู่ร้องสนั่นออกมา ประหนึ่งเสียงคำรามของเทพมารโบราณ ความกราดเกรี้ยวที่แผ่ซ่านออกมาราวกับจับต้องได้ ถาโถมซัดสาดอยู่ภายในห้องหลอมอาวุธ
ภายในตัวดาบแวววาวดั่งหิมะนั้น มีประกาศิตลวดลายคล้ายเมฆซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอยู่ ภายในลวดลายนั้นราวกับมีดวงดาราเปล่งแสงระยิบระยับอยู่นับไม่ถ้วน
ภายใต้ประกาศิตลวดลายนั้น มีเงาสีเลือดซึ่งมีพลังปีศาจน่าสยดสยองถูกผนึกอยู่!
นั่นเป็นวิญญาณร้ายตนหนึ่ง!
“นี่มัน…”
ทุกภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า ส่งผลให้อวี๋ซูเหยาสะเทือนใจยิ่ง
ต้องแตกฉานด้านการหลอมเพียงใดกัน ถึงสร้างอาวุธศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ขึ้นมาได้?
ฝีมือระดับนั้น เรียกได้ว่าเทียบเทียมความสรรค์สร้างจากธรรมชาติ สูงส่งราวไม่ใช่ฝีมือมนุษย์!
“วิญญาณร้ายจากบรรพกาลที่อยู่ในดาบเล่มนี้ถูกผนึกโดย ‘ประกาศิตดารกะ’ ของข้า หลังจากนี้ เวลาเจ้าหล่อเลี้ยงดาบเล่มนี้ แค่เพียงใช้พลังจากประกาศิตดารกะ ก็สามารถละลายพลังปีศาจดุร้ายของวิญญาณร้ายตนนี้ได้ทีละน้อย และเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงดาบเล่มนี้”
“จวบจนพลังปีศาจดุดันของวิญญาณร้ายตนนี้ถูกหลอมละลายจนสิ้น ก็จะกลายเป็นกายวิญญาณบริสุทธิ์ ถึงเวลานั้น เจ้าหลอมรวมกายวิญญาณนี้เข้าไปในประกาศิตดารกะ ใช้เวลาไม่นาน ก็สามารถขัดเกลากายวิญญาณนี้จนเป็น ‘จิตวิญญาณแห่งดาบ’ ได้”
“พูดง่าย ๆ คือ มีประกาศิตดารกะอยู่ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลว่าวิญญาณร้ายจากบรรพกาลตนนี้จะก่อเรื่อง กลับกัน เจ้าใช้พลังจากมันยกระดับและพลังของดาบเล่มนี้ได้”
เสียงราบเรียบสบาย ๆ ดังขึ้นภายในห้องหลอมอาวุธ
อวี๋ซูเหยามองตามด้วยสัญชาตญาณ แล้วจึงมองเห็นว่าผู้ที่กำลังพูดอยู่เป็นคนหนุ่มในชุดสีเขียว ร่างสูงโปร่ง ยืนตระหง่านอยู่หน้าเตา นิ่งเฉยราวกับไม่ใช่คนของโลกนี้
ด้านข้างคนหนุ่มชุดสีคราม มีหญิงสาวรูปโฉมดั่งเทพเซียน สวมอาภรณ์สีขาวดุจหิมะคนหนึ่งยืนอยู่
ตาคู่ใสสกาวของหญิงสาวกำลังมองจ้องดาบวิญญาณบริสุทธิ์ดั่งหิมะเล่มนั้น ดวงหน้าเพริศพริ้งเปี่ยมไปด้วยความปีติและความหลงใหลที่กลั่นออกมาจากใจ
อึดใจนั้น อวี๋ซูเหยาจึงได้สติขึ้นมาทันที และเอ่ยขึ้นอย่างทนไม่ไหว “ดาบเล่มนี้… คุณชายเป็นคนหลอมกับมืออย่างนั้นหรือ?”
ซูอี้เหลือบมองตาเฒ่าที่มาโดยไม่ได้รับเชิญแวบหนึ่ง “ไร้มารยาท หากมีคำถาม ก็ต้องรออยู่เฉย ๆ”
วาจาออกมาอย่างเป็นธรรมชาติประหนึ่งอาจารย์ตำหนิศิษย์ ไม่เกรงใจใด ๆ
อวี๋ซูเหยาอึ้งไปวูบหนึ่ง หน้าแดงก่ำ เจื่อนจนพูดอะไรไม่ออก
เขาถูมือไปมา ท้ายสุดก็ยืนเงียบ ๆ อยู่ด้านหนึ่ง
เปรียบดั่งนักดาบที่คลั่งไคล้ในวิถีดาบ อวี๋ซูเหยาในฐานะปรมาจารย์การหลอมก็คลั่งไคล้ในการหลอมอาวุธเช่นกัน
และเพราะเขาอยากรู้เหลือเกินว่าดาบเล่มนี้หลอมด้วยวิธีใด ดังนั้นต่อให้โดนคนหนุ่มอย่างซูอี้ตำหนิ ก็จะไม่โมโหแต่อย่างใด
“ศิษย์พี่ซู ดาบเล่มนี้… หลอมเพื่อข้าจริงหรือ?”
สายตาเยว่ซือฉานเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ราวกับไม่อยากเชื่อ
ในฐานะนักดาบ นางย่อมรู้สึกถึงความพิเศษของดาบวิญญาณเล่มนี้ได้อย่างชัดเจน
และเพราะดาบเล่มนี้พิเศษเกินไป กลับกลายเป็นว่าเยว่ซือฉานไม่กล้าทำใจเชื่อว่าตัวเองสามารถเป็นเจ้านายของดาบเล่มนี้ได้…
ยิ่งใกล้ก็ยิ่งกลัว ได้รับความโปรดปรานจนหวั่นใจ คงเป็นความรู้สึกเช่นนี้แล
“มีเพียงดาบวิญญาณระดับนี้เท่านี้ที่คู่ควรกับเจ้า”
ซูอี้พูดไป ยกมือโบกสะบัด ดาบวิญญาณที่ลอยอยู่เหนือเตาเข้ามาอยู่ในมือ จากนั้นเขาก็ยื่นให้เยว่ซือฉาน “รับไปสิ”
เยว่ซือฉานชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงยื่นมือไปรับดาบ
พริบตานั้น ดวงหน้างดงามพริ้มเพราของนางก็อดคลี่ยิ้มไม่ได้ เจิดจรัสแยงตา เปี่ยมไปด้วยความปีติและความซาบซึ้ง ตาแดงเล็กน้อย คล้ายมีน้ำตารื้น
เดิมนางคิดว่าซูอี้จะซื้อดาบวิญญาณดี ๆ ให้ตัวเองสักเล่มก็นับว่าเพียงพอแล้ว
แต่ใครเล่าจะคิด ซูอี้จะหลอมดาบขึ้นมาด้วยตัวเอง ดาบวิญญาณที่เรียกได้ว่ารวมพลังทั้งหมดจากธรรมชาติ!
จะมิให้นางซาบซึ้งได้อย่างไร
“ศิษย์พี่ซู…”
เยว่ซือฉานกำลังจะขอบคุณ ซูอี้ได้ขัดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ดาบเล่มนี้เพิ่งถูกหลอมเสร็จ เจ้าตั้งชื่อให้มันก่อนเถิด”
เยว่ซือฉานสูดหายใจเข้าลึก ข่มความเต็มตื้นในใจไว้และเอ่ยเสียงเบา “ข้าหวังว่า… ศิษย์พี่ซูจะตั้งชื่อให้ดาบเล่มนี้”
ซูอี้ผงะ ก่อนจะหยอกล้อ “หลอมดาบให้เจ้าแล้วยังต้องตั้งชื่อให้เจ้าอีก เจ้านี่อู้เก่งจริง ๆ”
เยว่ซือฉานอายขึ้นมา ใบหน้างดงามขาวนวลดั่งหยกแดงระเรื่อ
นางกำลังจะอธิบาย ซูอี้ได้ห้ามด้วยรอยยิ้ม “นี่คือดาบเล่มแรกที่ข้าหลอมให้เจ้าในฐานะผู้ชี้ทางวิถีดาบของเจ้า มีความหมายมากจริง ๆ ทว่า ดาบเล่มนี้ไม่มีทางสู้รบเคียงกายเจ้าไปชั่วชีวิตแน่ ไม่ควรร้องขอความสมบูรณ์จากนามของมัน มิฉะนั้น กลับกลายเป็นล้นแล้วจะแย่เอา”
ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้เอ่ย “ข้าว่า ตั้งชื่อว่า ‘จิตแห่งจักจั่น’ กำลังดี เลือกอักษรหนึ่งตัวจากชื่อเจ้า เพื่อเป็นจิตแห่งดาบ”
จิตแห่งจักจั่น ก็คือจิตแห่งดาบ
ดูเหมือนง่าย ทว่าแฝงไว้ด้วยความคาดหวังของซูอี้ หวังให้เยว่ซือฉานยึดถือในวิถีแห่งดาบ แม้นผ่านการขัดเกลาเช่นใดก็คงความตั้งใจเดิมไว้ได้
เยว่ซือฉานเป็นสตรีที่ฉลาดเฉลียวปานใด ย่อมเข้าใจความนัยได้ทันที นางเอ่ยขึ้นด้วยความยินดี “ชื่อดาบนี้ประเสริฐมาก!”
เวลานั้น อวี๋ซูเหยาเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ดาบวิญญาณเช่นนี้ จะปราศจากฝักได้อย่างไร ข้ามีฝักดาบอยู่หนึ่งชิ้น คิดว่าพอจะคู่ควรกับดาบนี้ได้ หวังว่าแม่นางจะรับไว้”
พูดไป เขาก็หยิบฝักดาบชิ้นหนึ่งออกจากจี้หยกคลัง มอบให้ด้วยสองมือ
ฝักดาบชิ้นนี้มีสีเทาซีดจาง ๆ เรียบง่ายไร้ลวดลาย
แต่เมื่อซูอี้ได้เห็น ต้องเอ่ยขึ้นด้วยความอึ้งงัน “ฝักดาบนี้สร้างจากแก่นไม้ท่อนหนึ่งของ ‘เถาวัลย์เร้นลับเชียนชิว’ รึ?”
อวี๋ซูเหยาเอ่ยชม “คุณชายตาแหลมจริง! แปดสิบปีที่แล้ว สหายเก่าแก่คนหนึ่งของข้าเดินทางไปที่ ‘ขุมนรกแห่งเซียน’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามแดนต้องห้ามของต้าเซี่ย นำแก่นไม้ของเถาวัลย์เร้นลับเชียนชิวกลับมาหนึ่งท่อน หวังให้ข้าช่วยหลอมฝักดาบให้เขา”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็มีสีหน้าหมองเศร้า “แต่ใครเล่าจะคิด ตอนที่ข้าหลอมฝักดาบนี้สำเร็จ สหายเก่าแก่ผู้นั้นกลับตายจากอาการบาดเจ็บสาหัสที่ได้รับจากขุมนรกแห่งเซียน ส่งผลให้ฝักดาบชิ้นนี้กลายเป็นของไร้เจ้านาย”
จากนั้น เขาก็ส่ายหัว สลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป ก่อนจะกล่าวยิ้ม ๆ “วันนี้ข้าได้เห็นดาบวิญญาณที่คุณชายหลอมขึ้น เต็มตื้นยิ่งนัก ปีติจนระงับไม่ไหว และถือตัวว่ามีเพียงฝักดาบชิ้นนี้ที่พอคู่ควรกับดาบเล่มนี้”
“หวังว่าแม่นางจะรับไว้”
พูดไป อวี๋ซูเหยาหันมองเยว่ซือฉาน
“เรื่องนี้…”
เยว่ซือฉานลังเล
“แค่ฝักดาบหนึ่งชิ้นเท่านั้น รับไว้สิ”
ซูอี้บอก
เยว่ซือฉานถึงยอมรับไว้
อวี๋ซูเหยาพลันรู้สึกโล่งอก ฉวยโอกาสนี้เอ่ยขึ้น “ข้าอวี๋ซูเหยา เป็นปรมาจารย์การหลอมของโรงหลอมอาวุธหอมรกตแห่งนี้ ขอบังอาจถามชื่อเสียงเรียงนามของคุณชาย แล้วความสามารถการหลอมนี้ท่านสืบทอดมาจากปรมาจารย์คนใดมา”
ซูอี้ไม่ชอบการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเอ่ยขึ้นทันควัน “หากท่านต้องการเรียนรู้วิธีหลอมาอาวุธจริง ๆ พรุ่งนี้มาหาข้าที่สวนน้อยนภาเมฆ ชุมชนมังกรเขียว อย่าลืมถือเหล้าดี ๆ มาด้วย ถึงตอนนั้นหากข้ามีเวลาว่าง จะอยู่สนทนากับท่าน หากข้าไม่ว่าง จะหาเวลาให้วันหลัง”
“แม่นางซือฉาน เราไปกันเถิด”
พูดเสร็จ ซูอี้เดินออกไปด้านนอกห้องหลอมอาวุธ
การหลอมอาวุธครานี้เปลืองแรงเปลืองเวลาไปไม่น้อย ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาอยากทำคือกลับไปพักผ่อน แล้วฝึกฝนให้หนักในบรรยากาศเงียบ ๆ
หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิด คืนนี้เขาบรรลุขั้นกลางขอบเขตเปิดทวารได้แน่
ช่วงเวลาเช่นนี้ เขาไม่มีแก่จิตแก่ใจสนทนาเรื่องการหลอมอาวุธกับอวี๋ซูเหยาหรอก
อวี๋ซูเหยานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง นอกจากไม่โกรธแล้วยังกระตือรือร้นเดินไปส่งอีกด้วย เขาเอ่ยยิ้ม ๆ “เช่นนั้นข้าขอไปส่งคุณชายกับแม่นางสักระยะ”
……
“ออกมาแล้ว!”
เจียงหลี อวี่เหวินซู่ และคนอื่น ๆ ที่คอยอยู่ข้าง ๆ มาตลอดเมื่อได้เห็นประตูใหญ่ของห้องหลอมอาวุธเปิดออก ต่างกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา เผยสีหน้าคาดหวัง
ทว่า เมื่อได้เห็นร่างสูงโปร่งที่เดินออกจากห้องหลอมอาวุธแล้ว พวกเจียงหลีก็นิ่งงันกันหมด
ซูอี้!?
บรรยากาศเงียบสงัด พวกเจียงหลีมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
ก่อนหน้านี้พวกเขาพากันคาดเดาไปต่าง ๆ นานาว่าปรมาจารย์การหลอมท่านใดกันที่ตระหนักรู้ ได้แรงบันดาลใจจนหลอมดาบวิญญาณที่วิเศษวิโสได้ถึงเพียงนี้
แต่พวกเขาไม่คิดเลยว่าปรมาจารย์การหลอมท่านนั้นจะเป็นซูอี้!
“เหตุใดจึงเป็นเขา?”
เถาอวิ๋นฉืออึ้ง หน้าตาเหลือเชื่อ
อวี่เหวินซู่ขมวดคิ้ว
เจียงหลีตะลึงระคนสงสัย
ชั่วขณะนั้น บรรยากาศอึดอัดยิ่งขึ้น
จนกระทั่งได้เห็นอวี๋ซูเหยาที่ติดสอยห้อยตามอยู่ด้านหลังซูอี้กับเยว่ซือฉานด้วยใบหน้ายิ้มร่า หน้าตาพวกเจียงหลีจึงเปลี่ยนไปอีกครั้ง แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
ในฐานะผู้ดูแลโรงหลอมอาวุธหอมรกต อวี๋ซูเหยา ในฐานะปรมาจารย์การหลอมที่ชื่อก้องไปทั่วแผ่นดินมักหน้าตาบึ้งตึงเคร่งขรึมมาโดยตลอด น้อยนักที่เขาจะมีรอยยิ้ม นิสัยทระนงไม่ชอบสุงสิงกับผู้ใด
ต่อให้เป็นมหาปราชญ์สวรรค์ขั้นวิถีวิญญาณ อวี๋ซูเหยาก็ไม่ค่อยเผยท่าทีแจ่มใสด้วยนัก
แต่บัดนี้…
ปรมาจารย์การหลอมผู้นี้กลับมีใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้มเอาใจ ร่างสูงใหญ่ของเขาโค้งน้อย ๆ ประหนึ่งบริวารรับใช้ คอยติดตามอยู่ด้านหลังซูอี้
ภาพนี้ ส่งผลให้เจียงหลีอึ้งจนตาโตอ้าปากค้าง นี่… นี่ยังใช่ท่านลุงอวี๋ผู้ทระนงเคร่งขรึมเย็นชาอยู่อีกหรือ!?
“ท่านลุงอวี๋ นี่ท่าน…”
เจียงหลีระงับความสงสัยในใจไม่ไหวอีกต่อไป นางจึงเดินเข้าไปถาม
อวี๋ซูเหยาตอบด้วยหน้าตาสะท้อนใจ “แม่หนู วันนี้ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว รู้ซึ้งกับคำว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า! ความสามารถด้านหลอมอาวุธของคุณชายซูเปรียบดั่งเทพเทวะ สูงส่งไม่อาจเอื้อม!”
เจียงหลี “…”
คนอื่น ๆ มึนงงกันหมด
เถาอวิ๋นฉือเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ปรมาจารย์อวี๋ ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าซูอี้เป็นเพียงเด็กเมื่อวานซืนที่อวดโม้ไปเรื่อยมิใช่หรือ…”
ไม่รอให้เขาพูดจบ อวี๋ซูเหยาก็มีสีหน้าละอาย เขาถอนหายใจ “สิ่งที่ได้ยินกับหูหาใช่ความจริง สิ่งที่เห็นกับตาต่างหากคือความจริง ตอนนั้นข้าผิดเองที่มีตาหามีแววไม่ บัดนี้ได้ประจักษ์ถึงความเกรียงไกรของคุณชายซู ย่อมรู้แล้วว่าดาบวิญญาณที่ตั้งเรียงรายอยู่ในหอมรกตตอนนี้ไม่เข้าตาของคุณชายซูจริง ๆ!”
ทุกคนตะลึงกันหมด ท่าทีของเขา… เปลี่ยนผันไวเกินไปหรือไม่?
อวี๋ซูเหยากวาดสายตามองฝูงชนที่มีสีหน้าอึ้งงันแล้วอดส่ายหัวไม่ได้ “พูดไปพวกเจ้าก็ไม่มีวันเข้าใจ อย่างไรพวกเจ้าก็ไม่รู้ในศาสตร์การหลอมอาวุธ เปรียบดั่งหนอนในฤดูร้อนที่ไม่มีวันเข้าใจว่าน้ำแข็งคือสิ่งใด แล้วจะเข้าใจได้อย่างไรว่าความสามารถการหลอมอาวุธของคุณชายซูเก่งกาจปานใด”
ฝูงชน “…”