บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 509 ค่ำคืนฝนกระหน่ำ ณ แอ่งเกล็ดทอง
ตอนที่ 509: ค่ำคืนฝนกระหน่ำ ณ แอ่งเกล็ดทอง
ตอนที่ 509: ค่ำคืนฝนกระหน่ำ ณ แอ่งเกล็ดทอง
เถาอวิ๋นฉือรู้สึกว่าแก้มของเขาร้อนราวกับถูกตบอย่างแรง
เสมือนว่าเขาได้กลายเป็นตัวตลกที่กระโดดโลดเต้นบ้าบอไปมา และท้ายที่สุดก็คือตัวเขาเองที่เสียหน้าอย่างยับเยิน
เจียงหลีก็เงียบเช่นกัน
ตัวตนที่จะได้รับการยกยอและเคารพโดยอวี๋ซูเหยาในแง่ของวิถีการหลอมสร้างศาสตราทั่วทั้งทวีปคังชิงนี้จะมีสักกี่คน?
ไม่ต้องพูดถึงความสำเร็จด้านอื่น ๆ ของซูอี้ว่าเป็นอย่างไร เอาเพียงแค่อาศัยความสามารถในการหลอมสร้างอาวุธอย่างเดียวนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะสามารถดึงดูดความสนใจตระกูลเจียงของนาง!
ไม่สิ ด้วยความสามารถขนาดนี้ ไม่ใช่แค่เพียงตระกูลเจียงของนางจะถูกดึงดูด แต่สิ่งเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลใหญ่ที่เหลืออยากจะได้ซูอี้ไปเป็นแขกของตนเอง!
เมื่อเห็นว่าซูอี้กำลังจะจากไป อวี่เหวินซู่จึงรีบเอ่ยขึ้นทันที “สหายเต๋าซู โปรดรอประเดี๋ยว!”
ใบหน้าที่สวยงามของเจียงหลีเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้
คนอื่นต่างสนใจเช่นกัน
ชิวเหิงคงลอบกรีดร้องอย่างกังวล
ก่อนที่ซูอี้จะเอ่ยถาม อวี๋ซูเหยาขมวดคิ้วและพูดว่า “อวี่เหวินซู่ ท่านช่วยเห็นแก่หน้าชายชราผู้นี้และหยุดสิ่งที่จะกระทำจะได้หรือไม่”
อวี่เหวินซู่กล่าวว่า “ปรมาจารย์อวี๋ ท่านกำลังทำให้ผู้เยาว์ลำบากใจ”
ขณะเอ่ยตอบ อวี่เหวินซู่แสดงสีหน้าแน่วแน่และเย็นชา ดวงตาของเขามั่นคงประหนึ่งดาบ เผยให้เห็นการตัดสินใจที่ไม่อาจมีผู้ใดสั่นคลอนได้
“เจ้าอยากสู้กับข้า?”
ซูอี้เอ่ยถาม
อวี่เหวินซู่มองตรงไปยังซูอี้และพูดอย่างใจเย็น “สหายเต๋าซู ท่านกล้าต่อสู้กับข้าหรือไม่? หากท่านกล้า ข้าขอสัญญาว่าไม่ว่าผู้ใดจะเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้ ความคับข้องใจระหว่างท่านกับสำนักดาบเทียนชูของข้าจะถูกชำระล้าง!”
ซูอี้เหลือบมองไปทางเถาอวิ๋นฉือและกู่เถิงอิงก่อนจะกล่าวว่า “เจ้ามาที่นี่เพื่อช่วยออกตัวแทนพวกเขาอย่างนั้นหรือ?”
อวี่เหวินซู่ส่ายหัวและกล่าวว่า “ข้าเพียงต้องการปกป้องความยิ่งใหญ่และศักดิ์ศรีของสำนัก”
ซูอี้พ่นลมหายใจอย่างเย้ยหยันและกล่าวว่า “เจ้ากล้าหาญไม่น้อย แต่น่าเสียดายที่ความเข้าใจในวิถีดาบของเจ้า ณ ตอนนี้ไม่อาจทำให้ข้าสนใจได้”
หลังจากจบประโยค ซูอี้ก็หันหลังเดินจากไป
สีหน้าของอวี่เหวินซู่แปรเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์และพูดว่า “หรือว่าท่านไม่กล้า… สหายเต๋าซู?”
ทุกคนมองไปที่ซูอี้
อวี่เหวินซู่เป็นผู้นำศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักดาบเทียนชูและเป็นอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงระดับโลก!
แต่คำพูดของซูอี้นั้นดูถูกอวี่เหวินซู่อย่างรุนแรง ซึ่งทำให้บรรดาศิษย์ของสำนักดาบเทียนชูบังเกิดโทสะไปตาม ๆ กัน
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เมื่อหางตาของเขาเหลือบไปเห็นเยว่ซือฉานที่อยู่ข้าง ๆ พอดี หัวใจของเขาพลันเต้นแรงและมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัว จากนั้นจึงเอ่ยออกไปว่า “เช่นนั้นคืนนี้เจ้าไปที่แอ่งเกล็ดทอง ข้าจะทำให้เจ้าเข้าใจถึงคำพูดของข้า”
อวี่เหวินซู่พยักหน้า “ดี! คืนนี้ข้าจะไปรอท่านอยู่ที่แอ่งเกล็ดทอง ข้าหวังว่าสหายเต๋าซูจะสามารถโน้มน้าวให้ข้ายอมรับคำพูดของท่านได้!”
ตอนท้ายเสียงของเขาดังก้องราวกับเสียงดาบคำราม
ซูอี้ไม่พูดอะไรอีกและจากไปพร้อมกับเยว่ซือฉาน
“ชายผู้นี้ช่างหยิ่งโอหังจริง ๆ กล้าดีอย่างไรถึงได้เอ่ยคำว่าศิษย์พี่อวี่เหวินมีวิถีดาบที่ด้อยกว่า มันคิดว่าตนเองเป็นใครกัน?”
ใครบางคนเย้ยหยัน
“ศิษย์พี่อวี่เหวิน หากซูอี้คิดหนีไปเสียก่อนเล่า?”
มีคนถามอย่างกังวล
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อวี๋ซูเหยาจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะด้วยโทสะและพูดว่า “น่าขำสิ้นดี! คนอย่างคุณชายซูหรือจะหลบหนีจากพวกเจ้า?”
หลังจากพูดจบ เขาได้เหลือบมองอวี่เหวินซู่และคนอื่น ๆ ก่อนจะพูดด้วยสีเย็นชาและไม่ไว้หน้าอีกต่อไป “ข้าขอสาบานนับจากนี้ข้าจะไม่หลอมสร้างศาสตราใดให้กับใครก็ตามที่มาจากสำนักดาบเทียนชูอีก!”
อวี้เหวินซู่และคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าเพราะการที่พวกเขาตั้งใจที่จะจัดการกับซูอี้ ปรมาจารย์อวี๋ผู้โด่งดังกลับโกรธมากถึงขนาดนี้
“พวกเจ้าไสหัวออกไปได้แล้ว!”
อวี๋ซูเหยาเดินจากไป
เมื่อเห็นอวี๋ซูเหยาเดินหายลับไปแล้ว เจียงหลีก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาและกล่าวว่า “ศิษย์พี่อวี่เหวิน มันคุ้มแล้วหรือกับการตั้งตนเป็นศัตรูกับคนเช่นซูอี้เพียงเพื่อรักษาหน้าตาของสำนัก? เราต้องไม่ลืมว่าซูอี้เป็นผู้ที่ปรมาจารย์อวี๋ยกย่องในฝีมือการหลอมสร้างศาสตรา แค่ความสามารถนี้ของซูอี้เพียงอย่างเดียวมันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้กลุ่มอิทธิพลน้อยใหญ่ต่างก็ต้องการดึงเขาไปเข้าร่วมด้วย รวมไปถึงปกป้องเขาเพื่อ… ”
ก่อนที่นางจะพูดจบ อวี่เหวินซู่ก็พูดแทรกอย่างใจเย็น “ข้ามีคติอันแน่วแน่ของข้า หากวันหนึ่งเจ้าถูกรังแกข้างนอก ไม่ว่าถูกหรือผิด ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ใด ข้าจะก้าวไปคั่นขวางและยืนหยัดเพื่อเจ้าจนถึงที่สุดเช่นกัน”
พูดจบ อวี่เหวินซู่ก็หันหลังกลับ
เจียงหลีตกตะลึงก่อนจะลอบถอนหายใจ
นางมองไปที่โจวเฟิงจื่ออีกครั้งและพูดว่า “ผู้อาวุโสโจว…”
คล้ายกับรู้ว่าเจียงหลีจะพูดอะไร โจวเฟิงจื่อยิ้มและกล่าวว่า “เจียงหลี เจ้าอย่าสอดมือในเรื่องนี้ ไม่ว่าความสามารถของซูอี้จะมากล้ำถึงเพียงใด หลังจากวันนี้เขาจะเป็นเพียงแค่คนตายคนหนึ่งก็เท่านั้น”
น้ำเสียงนั้นสงบราบเรียบ แต่ความหมายของมันช่างเย็นชา
จากนั้นเขาและโจวจือเฉียนก็หันหลังและจากไปพร้อมกัน
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เจียงหลีจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น
อวี่เหวินซู่ประกาศตนเป็นศัตรูกับซูอี้นั้นเป็นสิ่งที่ผิดหรือไม่?
ทว่าด้วยสถานะผู้นำศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนัก อวี่เหวินซู่จะมีทางเลือกอื่นได้อย่างไร?
ผิดหรือไม่ที่โจวเฟิงจื่อต้องการสังหารซูอี้?
มีความบาดหมางกันระหว่างโจวเฟิงจื่อและซูอี้มาก่อน ดังนั้นตอนนี้เมื่อมีโอกาส มันจะผิดได้อย่างไรหากเขาจะต้องการแก้แค้น?
ทว่าทั้งหมดนี้ทำให้เจียงหลีรู้สึกปั่นป่วนอย่างมาก
นางหาเหตุผลที่จะหยุดสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย
“ช่างเถิด ข้าเพียงแค่รับชมอย่างเดียวก็แล้วกัน!”
หลังจากนั้นไม่นาน เจียงหลีก็ตัดสินใจอย่างลับ ๆ
ถัดมานางมองไปที่ชิวเหิงคงและพูดผ่านกระแสปราณว่า “ศิษย์น้องชิว เจ้าพูดอะไรกับซูอี้ผ่านกระแสปราณใช่หรือไม่ ข้าอยากได้ยินความจริง”
ชิวเหิงคงตกใจก่อนจะก้มศีรษะและตอบว่า “เรียนศิษย์พี่หญิงตามตรง ข้าได้บอกศิษย์พี่ซูไปเกี่ยวกับความตั้งใจของผู้อาวุโสโจว”
เจียงหลีเงียบไปครู่หนึ่ง …ท้ายที่สุดนางก็ไม่พูดอะไรต่อ
…
“ศิษย์พี่ซู ในความคิดของข้า ถ้าอวี่เหวินซู่รู้เกี่ยวกับการต่อสู้ที่ทะเลสาบชูอวิ๋นว่าฮั่วเทียนตู่ตายด้วยน้ำมือของท่าน ข้าเกรงว่าเขาย่อมไม่กล้าประกาศเอ่ยจะต่อสู้กับท่านแน่”
หลังจากออกมาด้านนอก เยว่ซือฉานก็เอ่ยขึ้นพลางยิ้ม
ในความเห็นของนาง การท้าทายของอวี่เหวินซู่ในครั้งนี้ไม่ต่างจากการดูหมิ่นตนเอง
นางมั่นใจว่าหลังจากคืนนี้เป็นต้นไป ผู้นำศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักดาบเทียนชูได้ถูกลิขิตให้สูญเสียชื่อเสียงของเขา
“โชคดีแล้วที่พวกเขาไม่รู้”
ซูอี้ยิ้มอย่างมีเลศนัย
ชิวเหิงคงบอกกับเขาก่อนหน้านี้ถึงตัวตนของโจวเฟิงจื่อและโจวจือเฉียน ซึ่งทำให้ซูอี้รู้ว่าทั้งสองคนนี้มีเจตนาฆ่าเขา
นั่นเป็นเหตุผลที่เขารับคำท้าของอวี่เหวินซู่ โดยตั้งใจจะใช้โอกาสนี้เพื่อสังหารทั้งสองในคราวเดียว
“หมายความว่าอย่างไร?”
เยว่ซือฉานสงสัย
ซูอี้ยิ้มและตอบ “คืนนี้เจ้าไปกับข้าที่แอ่งเกล็ดทอง แล้วเจ้าจะได้รู้คำตอบเอง”
…
ใกล้เที่ยงคืน
ฝนตกหนักจนหนาวถึงกระดูก
เม็ดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วกระหน่ำลงไปในแอ่งเกล็ดทองจนบังเกิดเป็นคลื่นกระเพื่อมนับไม่ถ้วน พลางส่งเสียงซ่า ๆ คล้ายกับผู้ใดกำลังทอดถั่วในกระทะน้ำมันร้อนอย่างต่อเนื่องในคืนฤดูใบไม้ร่วงอันหนาวเหน็บนี้
เนื่องจากฝนตกหนัก ถนนและตรอกซอกซอยจึงมีเพียงแสงสลัว บรรยากาศหนาวเย็นและอ้างว้าง มีคนเดินถนนเพียงสองหรือสามคนเท่านั้นที่เดินอยู่ท่ามกลางสายฝนจนเนื้อตัวเปียกปอน
บริเวณรอบแอ่งเกล็ดทองขณะนี้มืดมิดเปล่าเปลี่ยว มีแต่เสียงฝนกระหน่ำตก แตกต่างจากยามปกติที่มีนักท่องเที่ยวคราคร่ำส่งเสียงพูดคุยอื้ออึงไปทั่ว
แปะ! แปะ! แปะ!
ฝนตกกระทบกิ่งก้านและใบของต้นไม้ริมทะเลสาบและหลังคาศาลา ทำให้เกิดน้ำกระเซ็นและบังเกิดเสียง
ตะเกียงที่แขวนอยู่ในศาลาเคลื่อนไหวตามสายลมที่พัดกระโชกและดูเหมือนจะดับได้ทุกเมื่อ
อวี่เหวินซู่และคนอื่น ๆ ยืนอยู่ในศาลาและรออยู่ที่นั่นแล้ว
คืนนี้ช่างมืดมิด ขณะที่สายฝนกำลังเทลงมา และลมหนาวที่เสียดแทงทะลุไปถึงกระดูก
“นี่ก็สายมากแล้ว ทำไมคนแซ่ซูผู้นั้นยังไม่มาอีก?”
เถาอวิ๋นฉือขมวดคิ้วอย่างใจร้อน
แม้ตัวเขาจะเป็นผู้ฝึกตนหาใช่คนธรรมดาไม่ แต่ในค่ำคืนที่พายุฝนหนาหนักและอากาศเย็นยะเยือกเช่นนี้ มันยังสามารถทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก
“หรือคนแซ่ซูจะหนีไปแล้ว?”
ใครบางคนพึมพำ
ทุกคนเริ่มไม่แน่ใจเล็กน้อย
‘ข้าหวังว่าเขาจะไม่มา…’
เจียงหลี่ลอบคิดเงียบ ๆ
ตราบใดที่ซูอี้ไม่มา อวี่เหวินซู่ก็ทำได้เพียงยอมแพ้
แม้แต่โจวเฟิงจื่อและโจวจือเฉียนที่ต้องการฆ่าซูอี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหาโอกาสอีกครั้ง
หากเป็นเช่นนั้น นางจะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับซูอี้ในคืนนี้
“ศิษย์น้องชิว เมื่อตอนที่เราอยู่ในหอมรกตวันนี้เจ้าคงไม่ได้ลอบบอกซูอี้ถึงแผนการเราเพื่อทำให้เขารู้ตัวและหลบหนีไปใช่หรือไม่?”
ทันใดนั้นเถาอวิ๋นฉือก็มองที่ชิวเหิงคงด้วยสายตาเย็นชา
ทันทีที่คำพูดนี้ดังออกมา โจวเฟิงจื่อ โจวจือเฉียน และคนอื่น ๆ ต่างก็มองไปที่ชิวเหิงคงด้วยสีหน้าแคลงใจ
หากชิวเหิงคงลอบบอกซูอี้ไปจริง ๆ ดังนั้นแล้วซูอี้คงไม่มีทางมาที่นี่ตามนัดอย่างแน่นอน?
ร่างกายของชิวเหิงคงแข็งค้าง
ทว่าทันใดนั้น รถม้าซึ่งดูหรูหราคันหนึ่งได้ปรากฏขึ้นฝ่าม่านสายฝนใกล้เข้ามา
สายตาของอวี่เหวินซู่และคนอื่น ๆ ทั้งหมดมองไปที่มันอย่างพร้อมเพรียง
เมื่อรถม้าหยุดลง ทุกคนต่างเห็นร่างสูงของซูอี้ก้าวลงจากรถม้าพร้อมกับร่มกระดาษน้ำมันในมือขวา และคนที่ก้าวลงตามมาคือเยว่ซือฉานซึ่งถือร่มกระดาษน้ำมันในมือด้วยเช่นกัน
“คนแซ่ซูกล้ามาจริง ๆ งั้นหรือ?”
เถาอวิ๋นฉือรู้สึกประหลาดใจ
บรรดาศิษย์สำนักดาบเทียนชูคนอื่น ๆ ต่างอึ้งไปอยู่พักหนึ่ง
ก่อนหน้านี้พวกเขายังสงสัยในความขี้ขลาดของซูอี้ มีแม้กระทั่งสบถออกหาว่าหนีไปแล้วก็มี
แต่เมื่อซูอี้ปรากฏตัวขึ้นจริง ๆ พวกเขากลับทำหน้าตาราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าซูอี้จะกล้ามาที่นี่จริง ๆ…
‘ซูอี้… เจ้าก็รู้ว่าโจวเฟิงจื่อจะฆ่าเจ้า เหตุใดเจ้าจึงมา…’
เจียงหลีขมวดคิ้วพลางคิดและลอบถอนหายใจ
สีหน้าของชิวเหิงคงแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เขาอุตส่าห์เตือนซูอี้ด้วยความหวังดี แต่เหตุใดซูอี้จึงยังกล้ามาปรากฏตัวอีก?
“ฮ่า ๆ คนหนุ่มผู้นี้นับได้ว่ายังมีความกล้า”
โจวเฟิงจื่อหัวเราะ
“บางทีเขาอาจคิดว่าแม้วันนี้จะพ่ายแพ้ให้แก่ศิษย์พี่อวี่เหวิน เขาก็ยังน่าจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้”
แววตาของโจวจือเฉียนมีเจตนาฆ่าวูบวาบ
“สหายเต๋าซู ไม่ว่าผลของการต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นอย่างไร แค่ด้วยความกล้าของท่านที่มาตามนัดหมายคืนนี้ ข้าอวี่เหวินซู่ขอสัญญาว่าจะไม่ตอแยท่านอีกต่อไป”
อวี่เหวินซู่กล่าวด้วยสีหน้าและแววตาจริงจัง
“เชิญ!”
เมื่อพูดจบเขาลอยตัวฝ่าม่านฝนไปหยุดอยู่เหนือแอ่งเกล็ดทอง
ภาวะดาบของเขาปะทุออกปรากฏขึ้นเห็นอย่างแจ่มชัดรอบ ๆ ร่างที่สง่างาม แม้แต่เม็ดฝนที่หนาแน่นยังไม่มีเม็ดใดที่สามารถเล็ดลอดไปถูกกายเขาได้แม้เพียงหนึ่ง
ดวงตาของศิษย์สำนักดาบเทียนชูต่างสว่างขึ้น พวกเขาทั้งหมดต่างคาดหวังให้ศิษย์พี่ของตนเองสั่งสอนซูอี้ให้หนักหนา
ไม่ไกลนัก ซูอี้ก้าวเดินด้วยท่าทางสบาย ๆ ราวกับเดินอยู่ในสวนบ้านของตนเอง
เขาเหลือบมองอวี่เหวินซู่ซึ่งลอยตัวเหนือทะเลสาบในระยะไกล จากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนข้าขอสะสางบัญชีเก่าเสียก่อน และเมื่อใดที่ข้าเสร็จธุระแล้วหากเจ้ายังมีความกล้าที่จะเผชิญกับดาบของข้าอีก เมื่อนั้นข้าก็ไม่รังเกียจที่จะทำให้เจ้าได้สัมผัสถึงความสิ้นหวังอันแท้จริงว่ามันเป็นเช่นไร”
สะสางบัญชีเก่า?
อวี่เหวินซู่ขมวดคิ้ว
เถาอวิ๋นฉือและคนอื่น ๆ สับสนเช่นกัน ซูอี้หมายความว่าอย่างไร?
จากนั้น ดวงตาของซูอี้เปลี่ยนไปจับจ้องที่โจวเฟิงจื่อและโจวจือเฉียน ก่อนเอ่ยออกอย่างเฉยเมยว่า “พวกเจ้าสองคนหมายมั่นจะสังหารซูผู้นี้ไม่ใช่หรือ? ตอนนี้พวกเจ้ารอสิ่งใดอยู่อีก หากคิดจะทำก็จงลงมือเลย!!”
ทุกคนต่างตะลึงใจ
ในขณะนี้ ฝนที่ตกยิ่งโหมกระหน่ำหนัก และความหนาวเหน็บก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
ช่างเป็นฝนฤดูใบไม้ร่วงที่แสนเย็นยะเยียบ!