บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 51 ทุกคนมาดูการต่อสู้ แต่ข้าชอบดูมัจฉาอัคคี
ตอนที่ 51 ทุกคนมาดูการต่อสู้ แต่ข้าชอบดูมัจฉาอัคคี
ชายหนุ่มผู้ที่กระโดดขึ้นมาบนเวทีเป็นคนแรกของงานประลองครั้งนี้คือคือเผิงเชียนชิวแห่งเมืองลั่วอวิ๋น!
ความปั่นป่วนเกิดขึ้นทั่วบริเวณทันที ทราบกันดีว่าชายผู้กระโดดขึ้นไปบนเวทีประลองเป็นคนแรก คือยอดฝีมือในหมู่คนรุ่นเยาว์จากเมืองลั่วอวิ๋น ที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตโคจรโลหิตขั้นสาม หรือก็คือขั้นขัดเกลาเส้นเอ็น
ในไม่ช้า ทางฝ่ายเมืองกว่างหลิงก็ปรากฏชายหนุ่มชุดดำชื่ออู๋จ้วงเดินออกมา พร้อมขึ้นสังเวียน
พวกเขาทั้งสองพูดคุยกันเพียงเล็กน้อย และจากนั้นก็เริ่มบรรเลงเลือดเกิดเป็นการประลองอันดุเดือดทันที
ผ่านไปแค่เพียงครู่เดียว เสียงโห่ร้องจากข้างสนามดังกึกก้อง
บรรยากาศรอบเวทีประลองครึกครื้นขึ้นมา
บรรดาคนใหญ่คนโตต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกัน แต่พวกเขายังคงมีท่าทีที่สงบกว่าคนทั่วไปอย่างชัดเจน
เพราะพวกเขารู้ดีว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น
อย่างไรก็ตาม ซูอี้ที่ยืนอยู่กลางฝูงชนขณะนี้กลับลอบส่ายหน้า
สำหรับตัวเขา การประลองนี้ช่างน่าเบื่อหน่าย และไม่คุ้มที่จะมายืนรับชม
เขาเบนสายตามองไปยังแม่น้ำที่ทอดยาวออกไป
หากเทียบกันแล้ว แม่น้ำต้าฉางในยามค่ำคืนนั้นดูงดงามกว่ามาก
แสงไฟเรืองรอง ใบเรือนับร้อยกางอยู่ และบนเรือทุกลำมีคนที่แหงนมองดู กระซิบพูดคุย หรือดื่มสุราส่งเสียงฮือฮากันเสียงดัง…
แม้แต่บนเรือดอกไม้*[1] บางลำก็มีเสียงเครื่องไหมไผ่*[2] ดังออกมา มีนักร้องสาวงามคอยขับขานให้ความรื่นเริง
ทั้งสองฝั่งแม่น้ำต้าฉางนั้น แม้คนทั่วไปไม่อาจมองเห็นฉากงานประลองประตูมังกรได้ แต่ก็ตื่นเต้นที่ได้ฟังจากระยะไกล
ผู้คนไม่มีอะไรมากไปกว่าการเฝ้าดูความสนุกสนาน
ส่วนใครจะแพ้หรือชนะ มีเพียงคนที่ใส่ใจเท่านั้นที่ใส่ใจ
กลับมาที่สังเวียน การแข่งขันจะดำเนินไปทีละคู่ โดยคนเข้าร่วมเป็นรุ่นเยาว์จากสองเมือง แต่ละคนอายุไม่เกินสิบแปดปี และระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตโคจรโลหิต
ในการแข่งขัน ย่อมมีแพ้และชนะ
กฎของงานประลองครั้งนี้คือ หากไม่มีผู้ใดกล้าขึ้นมาท้าทายผู้ที่ยังคงยืนหยัดอยู่บนสังเวียน ฝ่ายที่ยังคงยืนหยัดจะกลายเป็นที่หนึ่งของงานประลองประตูมังกร
ราวหนึ่งก้านธูปต่อมา
เนี่ยเถิงบุตรชายเนี่ยเป่ยหู่ก้าวขึ้นสังเวียน ดึงเอาความสนใจจากซูอี้ได้จนเขาต้องหันไปมอง
เนี่ยเถิงเป็นคนองอาจกล้าหาญ มีนิสัยนิ่งสงบ แต่เดิมนั้นเขาเป็นคนของสำนักดาบซ่งอวิ๋น นั่นจึงยิ่งทำให้เขาเป็นจุดสนใจของผู้คนจำนวนมาก
แม้กระทั่งผู้ยิ่งใหญ่บางคนยังถึงกับหยุดคุย และหันมามอง
เนี่ยเถิงทำได้ตามความคาดหวังของผู้คน เขาแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าตนเองมีความแข็งแกร่งเป็นเลิศในหมู่คนรุ่นเดียวกัน
หากแค่เพียงเขาชนะในครั้งต่อไป เขาจะชนะสิบสามครั้งต่อเนื่องแล้ว!
มันคือผลแพ้ชนะที่ดีที่สุด นับตั้งแต่เริ่มงานประลองประตูมังกรมา
บรรดานักสู้ข้างสนามต่างลุกเฮด้วยความกระตือรือร้น และปรบมืออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ตามกฎแล้ว ตราบที่เนี่ยเถิงชนะต่ออีกสองครั้ง เขาจะสามารถออกสังเวียนเพื่อพักผ่อนได้ และเมื่อร่างกายหายเหนื่อยล้า ก็จะกลับขึ้นสังเวียนได้อีกครั้ง
แต่ในครั้งที่สิบสี่ เนี่ยเถิงกลับพบคู่ต่อสู้ที่แกร่งกว่า ก่อนเผชิญความพ่ายแพ้
หลายคนรู้สึกเสียดาย แต่ไม่มีผู้ใดหัวเราะเยาะ
ด้วยชัยชนะอย่างต่อเนื่องสิบสามครั้งของเขาในงานประลองประตูมังกร จึงกลายเป็นที่โดดเด่นในหมู่คนรุ่นเยาว์
“จิตใจก็ดี ประสบการณ์การต่อสู้ก็ดีด้วย ชัดเจนว่าเขาเคยผ่านการต่อสู้และการฝึกฝนมาอย่างโชกโชน น่าเสียดายที่เคล็ดวิชาที่ฝึกฝนนั้นค่อนข้างหยาบไปเสียหน่อย…”
ซูอี้เพียงกวาดตามองรับชม ก็ทราบรายละเอียดการฝึกฝนของเนี่ยเถิง
แต่ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดเรื่องนี้ หวงเฉียนจวินก็ก้าวขึ้นสังเวียนแล้ว!
“เจ้าเด็กนี่ช่างหุนหันพลันแล่น ทั้งยังขาดการระงับอารมณ์” ซูอี้เลิกคิ้ว
กระนั้นแล้ว ยามได้เห็นหวงเฉียนจวินเอาชนะคู่ต่อสู้ง่ายดายโดยวิธีการบุกอย่างล้างผลาญจนเกิดเป็นการต่อสู้อันตระการตาบนเวทีประลอง ภาพนี้มันทำเอาบรรยากาศเดือดพล่านขึ้นมา
เพราะคู่ต่อสู้ที่เขาเอาชนะ คือผู้ที่เอาชนะเนี่ยเถิงเมื่อครู่นี้!
การเปรียบเช่นนี้ ทำให้เนี่ยเถิงดูด้อยไปในทันที ด้อยจากหวงเฉียนจวินเป็นอย่างมาก!
และที่ทำให้ทุกคนแปลกใจ คือไม่มีผู้ใดคิดว่าหวงเฉียนจวินที่เป็นอันธพาล จะมีพลังการต่อสู้ที่น่าเกรงขามขนาดนี้ ผู้ยิ่งใหญ่บางคนยังรู้สึกแปลกใจ และเปลี่ยนภาพจำเสียใหม่
“พี่หวง บุตรชายท่านยอดเยี่ยมนัก!”
“คิดไม่ผิด คิดไม่ผิด บุตรพยัคฆ์จะเป็นลูกเป็นสุนัขได้เยี่ยงไร*[3]”
…เมื่อได้ยินผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายต่างเอ่ยชมเยินยอ ใบหน้าของหวงอวิ๋นชงกลายเป็นแดงเรื่อ ทั้งยังเกิดรู้สึกภาคภูมิ
มีหรือเขาจะไม่ทราบ ว่าบุตรชายตัวเองแต่ก่อนนี้ชื่อเสียงเลวร้ายเพียงใด?
ทว่าตอนนี้ ผู้ใดกันจะกล้าสบประมาทอีก?
‘หากไม่ได้คุณชายซู ลูกชายของข้าคงไม่มีวันนี้…’
หวงอวิ๋นชงลอบคิดและถอนหายใจให้ตัวเอง เมื่อนึกถึงซูอี้ เขาก็อดรู้สึกเคารพนับถือไม่ได้
“ลูกของข้าจะรู้สึกกระทบกระเทือนใจหรือไม่?”
เนี่ยเป่ยหู่มองไปที่หวงเฉียนจวินซึ่งกำลังฮึกเหิมอยู่บนสังเวียน ก่อนเบนสายตาไปทางเนี่ยเถิงที่พ่ายแพ้แล้วกลับมารับชมสนามข้างตน ความรู้สึกซับซ้อนจึงบังเกิด
มีหรือเขาไม่ทราบว่าที่หวงเฉียนจวินแปรเปลี่ยนประหนึ่งเกิดใหม่เช่นนี้ ทั้งหมดก็เพราะซูอี้
หากบุตรของตนยอมทำตามการจัดแจงของเขา และคอยตามรับใช้ซูอี้ มีหรือผลของการประลองจะด้อยกว่าหวงเฉียนจวิน?
พอยิ่งคิดเรื่องนี้มากเข้า เนี่ยเป่ยหู่ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
“ท่านพ่อ ข้าไม่นึกเสียใจ”
เนี่ยเถิงดูนิ่งและกล่าวอย่างสงบ “ก็แค่แพ้หนึ่งครั้ง มันไม่มีผลใดกับข้า ทว่าความพ่ายแพ้นี้ก็ทำให้ข้าเห็นข้อบกพร่องของตนเองด้วย ตราบที่ข้าแก้ไขมันได้ ก็สามารถก้าวหน้าได้ดีกว่านี้”
ผู้เป็นบิดาประหลาดใจ ก่อนความรู้สึกซับซ้อนในใจจะเลือนหาน เขากล่าวด้วยความนึกโล่งอก “ชนะแล้วไม่ทะนงตัว พ่ายแพ้แล้วไม่ท้อถอย หากลูกพ่อมีความคิดเช่นนี้ สักวันจะต้องกลายเป็นยอดคน”
ทันใดนั้น หวงเฉียนจวินตะโกนเสียงดังจากบนสังเวียน
“เหวินเจวี๋ยหยวน เจ้ากล้าขึ้นมาท้าประลองตอนนี้หรือไม่!”
เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา บรรยากาศที่มีชีวิตชีวาในสนามประลองก็เงียบลงทันที และทุกคนก็แสดงท่าทางเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง
แม้กระทั่งผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายยังประหลาดใจ
เหวินเจวี๋ยหยวน!
คนนี้คือตัวเต็งที่จะได้เป็นที่หนึ่งของงานประลองประตูมังกร และทุกคนในเมืองกว่างหลิงก็มองเช่นนี้เป็นความคิดเดียวกัน
แม้แต่บรรดาคนรุ่นเยาว์ในเมืองลั่วอวิ๋นเอง ต่างถือเหวินเจวี๋ยหยวนเป็นศัตรูอันดับหนึ่ง!
ผู้ใดกันคาดคิด ว่าครั้งนี้หวงเฉียนจวินจะเป็นฝ่ายเริ่มท้าทายเหวินเจวี๋ยหยวน?
ทันทีหลังจากนั้น เกิดความโกลาหลในหมู่ผู้ชม
“พี่หวง บุตรชายหัวดื้อของท่านหาญกล้าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หลี่เทียนหานอดหัวเราะไม่ได้ คำพูดแฝงซึ่งความเย้ยหยัน
“เป็นนิสัยบ้าเลือดตามประสาที่คนหนุ่มควรจะมี” หวงอวิ๋นชงไม่โกรธและตอบอย่างเนิบนาบ
เจ้าเมืองฟู่ซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เด็กคนนี้เลือดร้อนและกล้าหาญจริง ต่อให้แพ้ก็ควรค่าแก่การชื่นชม”
“ไม่เลวจริง” โจวฮวายชิวพยักหน้า
“ทุกท่านชมลูกชายข้ามากเกินไปแล้ว เขาก็แค่เด็กเลือดร้อนธรรมดาเท่านั้นเอง”
หวงอวิ๋นชงผู้เป็นบิดายิ้มและโบกมือ ด้วยคำพูดไม่กี่คำของโจวฮวายชิว มันทำเอาเขาเกิดนึกยินดีในใจ
อย่างไรเสีย นี่คือการยอมรับจากผู้อาวุโสสำนักในของสำนักดาบชิงเหอ!
“หึ” หลี่เทียนหานยิ้มเยือกเย็น
ทางด้านเหวินฉางชิง เขาไม่คิดสนใจแม้แต่น้อย
เขาที่เพิ่งเจ็บปวดจากการสูญเสียบุตรชาย นิสัยจึงแปรเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่ที่นั่งลงไป ใบหน้าก็หมองหม่น ไม่พูดกล่าวคำใด ไม่กินและไม่ดื่ม
“หวงเฉียนจวินผู้นี้ ช่างโอหังยิ่งนัก!”
“จับตารับชมว่าถัดจากนี้จะพ่ายแพ้เช่นไร”
ไม่ไกลจากบริเวณนั้น ขณะที่หวงเฉียนจวินท้าทายเหวินเจวี๋ยหยวน เหล่าทายาทของตระกูลเหวินต่างเย้ยหยัน
โดยเฉพาะเหวินเส้าเป่ย ที่เกิดตื่นเต้นจนกัดฟันพร้อมกล่าว “ตัวเจ้าที่แส่หาเรื่องใส่ตัว ให้กล่าวโทษผู้ใดดี?”
ในไม่ช้า ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนนั้น เหวินเจวี๋ยหยวนพลันก้าวขึ้นบนสังเวียน
เสื้อผ้าของเขาขาวกว่าหิมะ ร่างสูงระหง และมีดาบยาวขัดไว้ที่เอว ทันทีที่ปรากฏตัวก็มีเสียงโห่ร้องปะทุดังขึ้นจากด้านนอก สตรีบางส่วนก็ถึงกับกรีดร้องด้วยความตื่นเต้น
ต้องพูดว่าความนิยมในตัวเหวินเจวี๋ยหยวนสูงล้ำ และทุกความเคลื่อนไหวของเขาสามารถดึงดูดความสนใจได้นับไม่ถ้วน
“ความกล้าในวันนี้ของเจ้า ข้าขอชื่นชม”
บนสังเวียนนั้น เหวินเจวี๋ยหยวนกล่าวอย่างเย็นชา
เขาไม่คิดว่าหวงเฉียนจวินจะบังอาจเริ่มเป็นฝ่ายท้าทายเช่นนี้
“หยุดวาจาไร้สาระ!” ไม่ทันขาดคำนั้น หวงเฉียนจวินพลันโจมตีอย่างบ้าบิ่น
แรงที่ใช้หนักหน่วงเหมือนภูเขาสูงตระหง่านที่เคลื่อนไป และมิอาจสั่นคลอน
ในมือของเขา พลันใช้หมัดจิตรูปหกประสาน ทุกครั้งที่ชกออกไป ทั้งมือ ข้อศอก เอว และสะโพกก็ขยับไปพร้อมกันด้วย จนร่างกายบิดไปมาประหนึ่งเชือก เป็นผลให้มันเต็มเปี่ยมด้วยพลังที่รุนแรง
ลมหายใจต่อลมหายใจ ความเคลื่อนไหวและความนิ่งสงบประสานกัน เปรียบดังเสียงกลองสวรรค์สะท้านฟ้าสะเทือนดิน!
“เอ๊ะ!”
ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายหรี่ตาลง พวกเขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเพลงหมัดของหวงเฉียนจวินนั้นไม่ธรรมดา และมีพลังที่น่าทึ่ง
“เหตุใดเจ้าหนูนี่เปลี่ยนแปลงไปได้มากมายถึงเพียงนี้…” หลี่เทียนหานขมวดคิ้ว
แต่เมื่อเหวินเจวี๋ยหยวนเคลื่อนไหว แววตาของทุกคนต่างเป็นประกายอีกครั้ง
สิ่งที่ได้เห็นคือร่างที่ลอยขึ้น และด้วยการโบกฝ่ามือ เขาพลันปัดป้องเพลงหมัดของหวงเฉียนจวินไปได้อย่างง่าย ๆ ด้วยท่าทางสงบผ่อนคลาย
และอึดใจต่อมา เหวินเจวี๋ยหยวนเปลี่ยนจากปัดป้องเป็นรุกไล่ ฝ่ามือของเขาเปรียบดังลมพายุรุนแรงที่รุกเข้าใส่หวงเฉียนจวินอย่างหนักหนาและรวดเร็ว ทั้งรุนแรงและสง่างาม
ในไม่ช้า หวงเฉียนจวินก็กลายเป็นฝ่ายรับ เขาทำได้เพียงประคองตัวเอง รอจังหวะที่คู่ต่อสู้หมดแรงและเผยจุดอ่อน จากนั้นจึงค่อยหาโอกาสสู้กลับ
ด้านนอกเวทีประลอง มีเสียงอื้ออึงโกลาหลเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การต่อสู้ครั้งนี้น่าตื่นเต้นและดุเดือดกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย!
ไม่ว่าจะเป็นหวงเฉียนจวินหรือเหวินเจวี๋ยหยวน เคล็ดวิชาที่ทั้งสองแสดงออกมานั้นล้วนทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายหันมอง
พละกำลังของเหวินเจวี๋ยหยวน เป็นไปดังที่ทุกคนคาดเอาไว้
แต่สิ่งเดียวที่คาดไม่ถึง คือหวงเฉียนจวินสามารถยืนหยัดอยู่ได้ภายใต้การโจมตีของเหวินเจวี๋ยหยวน
มันถือเป็นเรื่องผิดคาด
‘หากเป็นแบบนี้ต่อไป หวงเฉียนจวินคงต้องแพ้’
ซูอี้ที่กำลังชมการต่อสู้ พบเห็นเช่นนี้ คำตอบก็ปรากฏขึ้นในใจแล้ว
ถึงหวงเฉียนจวินจะก้าวหน้าไปมาก แต่หากเทียบกับเหวินเจวี๋ยหยวน เขาก็ยังตามหลังอยู่ขั้นหนึ่ง มันไม่อาจถมเต็มในระยะเวลาอันสั้น
อย่างไรก็ดี ตราบที่หวงเฉียนจวินไม่หย่อนยานในอนาคต เขาก็ย่อมสามารถก้าวผ่านเหวินเจวี๋ยหยวนได้
แน่นอนว่า ผลลัพธ์ปรากฏในไม่ช้า
หวงเฉียนจวินแพ้!
แม้เขาจะดิ้นรนประคองตัวเองไว้ โดยหวังจะคว้าจุดช่องโหว่แม้เพียงเล็กน้อยของเหวินเจวี๋ยหยวนเพื่อตอบโต้ แต่น่าเสียดายที่เหวินเจวี๋ยหยวนไม่ให้โอกาส
ผู้นำคนรุ่นเยาว์ของตระกูลเหวินที่ได้รับการยอมรับจากผู้คน แสดงพลังอันน่าเกรงขามอย่างเทียบไม่ได้ในหมู่คนรุ่นเดียวกัน ทะลวงการป้องกันของหวงเฉียนจวินได้ในที่สุด เขาซัดฝ่ามือใส่หน้าอกของอีกฝ่ายอย่างแรง
ตู้ม!
หวงเฉียนจวินกลิ้งลงไปกับพื้น และพยายามฝืนลุกขึ้น แต่ก็ไม่สามารถลุกขึ้นได้
สิ่งเดียวที่ผู้คนได้เห็น คือเสื้อของเขาขาดหลุดลุ่ย พร้อมรอยฝ่ามือประทับจมอยู่บนผิวกาย!
นักสู้รุ่นเยาว์หลายคนอ้าปากค้าง และรู้สึกหนาวสันหลัง
พลังที่เหวินเจวี๋ยหยวนแสดงให้เห็น มันร้ายกาจอย่างไม่ต้องสงสัย!
ชั่วขณะที่เสียงสงบเงียบไป เพียงครู่จึงเกิดเสียงอึกทึก ผู้คนต่างปรบมือให้แก่ผู้ชนะเช่นเหวินเจวี๋ยหยวน ผู้ยิ่งใหญ่บางคนกระทั่งร่วมปรบมือ
บรรดาผู้ยิ่งใหญ่และรุ่นเยาว์ของตระกูลเหวิน ต่างยิ้มแย้มแก้มบาน
ชัยชนะของเหวินเจวี๋ยหยวน เป็นผลให้ชื่อเสียงและเกียรติยศของพวกเขายิ่งเฟื่องฟู
เหวินเจวี๋ยหยวนในยามนี้ เป็นจุดสนใจของผู้คนอย่างไม่มีข้อสงสัย เสื้อผ้าที่ขาวประหนึ่งหิมะ มันเป็นภาพอันงดงามชวนรับชม
[1] เรือดอกไม้ คือเรือขนาดใหญ่ที่มีอาคารขนาดย่อม เป็นเหมือนโรงคณิกาลอยน้ำ
[2] เครื่องไหมไผ่ คือเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายและเครื่องดีดที่ทำจากไหมและไม้ไผ่เป็นหลัก
[3] บุตรพยัคฆ์จะเป็นลูกเป็นสุนัขได้เยี่ยงไร เป็นสำนวนจีน หมายความถึงลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น