บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 511 แมลงสาบต้องการเขย่าต้นไม้ใหญ่
ตอนที่ 511: แมลงสาบต้องการเขย่าต้นไม้ใหญ่
ตอนที่ 511: แมลงสาบต้องการเขย่าต้นไม้ใหญ่
ท่ามกลางราตรีซึ่งฝนกระหน่ำ
โจวเฟิงจื่อผู้ซึ่งเหลือเพียงวิญญาณหวาดกลัวและเปล่งเสียงกรีดร้องราวกับคนเสียสติ “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้! เจ้าเป็นเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตเปิดทวารเท่านั้น! มันเป็นไป…”
ทว่าก่อนที่โจวเฟิงจื่อจะได้ทันพูดจบ คำพูดสั้น ๆ ซึ่งแฝงด้วยความไม่แยแสของซูอี้ก็ดังแทรกขึ้นเสียก่อน
“ดาบที่สาม”
ราวกับเสียงเพรียกหาจากยมโลก
วิญญาณของโจวเฟิงจื่อสั่นงันงกก่อนที่จะรีบหันหลังกลับ… เขาหนีไปทันทีโดยไม่กล้าที่จะลังเลแม้แต่น้อย
ฉัวะ!
ปราณดาบพุ่งผ่านในชั่วพริบตา
ดวงวิญญาณของโจวเฟิงจื่อถูกตัดออกเป็นสองส่วนและหายไปอย่างสมบูรณ์
เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะกรีดร้องในขณะที่ดวงวิญญาณถูกทำลาย
เพียงสามดาบ โจวเฟิงจื่อก็ตายสนิท!
ผลลัพธ์ที่บังเกิดขึ้นนี้สอดคล้องกับคำพูดก่อนหน้าของซูอี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ทั่วทั้งสถานที่เงียบกริบ
ความมืดมิดของยามราตรียังคงเดิมและห่าฝนซึ่งกระหน่ำอยู่ไม่มีวี่แววว่าจะซาลงเลย
ทว่าความหนาวเหน็บของฝนแห่งฤดูใบไม้ร่วงไม่สามารถเทียบได้กับความหนาวเย็นในใจของทุกคนในขณะนี้
ร่างกายเย็นเยียบเหมือนอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง!
การต่อสู้ครั้งนี้กินเวลายังไม่ถึงหนึ่งก้านธูปเล็กด้วยซ้ำ
ซูอี้ฟันออกเพียงสามดาบเรียบง่าย
แต่สามดาบเรียบง่ายนั้นไม่ต่างจากค้อนหนักทุบหัวใจของทุกคนให้สั่นสะท้าน หัวของพวกเขามึนงง และพวกเขาก็แทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง
ผู้ใดจะคาดคิดว่าชายหนุ่มในขอบเขตเปิดทวารจะสามารถทำร้ายโจวเฟิงจื่อผู้อยู่ในขั้นวิถีวิญญาณขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นต้นตั้งแต่ดาบแรกแบบนี้?
และผู้ใดจะนึกฝันว่าเพียงดาบที่สอง ซูอี้จะสามารถทำลายร่างเนื้อของโจวเฟิงจื่อจนยับเยิน ซึ่งถ้าหากโจวเฟิงจื่อไม่ถอดวิญญาณได้ทันการณ์ แม้แต่วิญญาณก็คงสูญสลายไป!
และดาบเล่มที่สามนั้นเป็นเหมือนการเผด็จศึก ก่อนจะส่งศัตรูเข้าสู่ประตูยมโลก!
ซ่า ซ่า ซ่า ซ่า!
ฝนฤดูใบไม้ร่วงกำลังเทลงมา กลิ่นเลือดคละคลุ้งไปทั่ว
ใบหน้าที่งดงามของเจียงหลีซีดจนเผือดขาว ร่างกายที่เพรียวบางของนางสั่นสะท้าน
สามดาบนั้นของซูอี้ได้ทำลายความภาคภูมิใจภายในใจของนางจนหมดสิ้น ทำให้จิตใจของนางหวาดกลัวและไม่สามารถฟื้นตัวได้เป็นเวลานาน
หัวใจของชิวเหิงคงเต้นระทึก และมีเพียงความคิดเดียวในใจของเขา วีถีดาบของสหายเต๋าซู… มันเลิศล้ำขนาดนี้เชียวหรือ!?
เถาอวิ๋นฉือ กู่เถิงอิง และศิษย์คนอื่น ๆ ของสำนักดาบเทียนชูต่างตกใจมากจนหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ
พวกเขาไม่รู้ว่าซูอี้แข็งแกร่งแค่ไหนเมื่อตอนที่พวกเขาอยู่ในเมืองผี
แต่ขณะนี้เถาอวิ๋นฉือและกู่เถิงอิงรับรู้และเห็นเต็มสองตาแล้วว่าซูอี้นั้นเกินจินตนาการพวกเขาไปมากอย่างไม่อาจจะเชื่อ!
แค่เพียงสามารถรับมือกับผู้ที่อยู่เหนือระดับการฝึกฝนไปอีกขอบเขตได้นั้นนับว่าวิเศษที่สุดแล้ว
หรือการที่สามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามที่มีระดับการบ่มฝึกฝนเหนือกว่าหลายขอบเขต… แม้มันจะหายากมากแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น
เมื่ออดีตมีชายหนุ่มผู้หนึ่งนามว่าเฉิงผู เขาสามารถเอาชนะทังเซียวซานบรรพบุรุษของตระกูลทังด้วยเพลงหมัดอันเลิศล้ำ
แน่นอนว่าในขณะนั้นผู้คนต่างไม่สงสัยว่าจริง ๆ แล้วเฉิงผูสามารถปิดฉากสังหารถังเซียวซานในตอนท้ายของการต่อสู้ก็ยังได้
แต่ทว่าพวกประเภทที่สามารถสังหารอีกฝ่ายที่มีการบ่มเพาะเหนือกว่าหลายขอบเขตหรืออยู่กันคนละขั้นวิถีภายในสามกระบวนท่านั้นไม่เคยมีมาก่อน!
ไม่เคยมีบันทึกหรือเรื่องเล่าใดที่ต่อให้ย้อนไปนับพัน ๆ หมื่น ๆ ปีว่ามีตัวตนที่เลิศล้ำขนาดนั้นปรากฏขึ้น มันไม่เคยมีผู้ใดมีความสำเร็จได้ดั่งเช่นนี้เลยแม้แต่หนึ่ง
ท้ายที่สุดการที่มีความแข็งแกร่งพอที่จะต่อสู้ข้ามขอบเขตนั้นนับว่าเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับยากอยู่แล้ว
แต่ถ้ายังมีความแข็งแกร่งจนสามารถทำลายล้างอีกฝ่ายที่มีระดับการฝึกฝนที่เหนือกว่าได้อย่างเบ็ดเสร็จ ตัวตนเช่นนี้มันเพียงพอที่จะล้มล้างความรู้ความเข้าใจของผู้คนทั่วโลก และสามารถเรียกได้ว่าเป็นตัวตนผู้กระทำความผิดฝืนอำนาจท้าทายสวรรค์!
ทว่าตอนนี้สิ่งที่ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นมาก่อนได้เกิดขึ้นตรงหน้าแล้ว ซูอี้ไม่เพียงสามารถเอาชนะโจวเฟิงจื่อได้ แต่ยังสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายราวกับเชือดไก่!
เพียงสามดาบ ทำลายร่างเนื้อลบล้างดวงวิญญาณได้อย่างหมดจด!
“ไม่ มันเป็นไปไม่ได้… มันเป็นไปไม่ได้!!”
โจวจือเฉียนตะโกนราวกับคนเสียสติ ภาพที่ปรากฏกระทบกระเทือนจิตใจของเขารุนแรงจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้
ก่อนหน้านี้เขาตื่นเต้นและตั้งหน้าตั้งตารอ โดยคิดว่าวันนี้คือวันที่ตนเองจะได้แก้แค้นและปลดปล่อยความเกลียดชังในใจออกมา
แต่ทว่าโดยไม่คาดคิดกลับเป็นโจวเฟิงจื่อที่เขาถือว่าเป็นความหวังที่สุดของตนเองกลับถูกฆ่าตายซะเอง!
ฉัวะ!
ปราณดาบวาบขึ้นพุ่งผ่านอากาศตัดเอาศีรษะของโจวจือเฉียนลอยเคว้งขึ้นไปบนอากาศ
การฆ่าตัวตนเล็กจ้อยเช่นนี้ สำหรับซูอี้แล้วเขาไม่มีความรู้สึกถึงความสำเร็จแม้แต่น้อย เพียงแค่ตัดความรำคาญเพียงเท่านั้น
ขณะนี้ โจวเฟิงจื่อและโจวจือเฉียนสิ้นชีพทั้งคู่แล้ว!
“ซูอี้ เจ้า…!”
เถาอวิ๋นฉือตะโกนอย่างลืมตัวเพราะถูกกระตุ้นโดยการตายของโจวจือเฉียน
แต่เมื่อซูอี้มองมาที่เขา เถาอวิ๋นฉือสะดุ้งสุดตัวและเป็นเหมือนเป็ดที่ถูกบีบคอ เสียงของเขาหยุดลงฉับพลัน ร่างกายของเขาสั่นเทา ศีรษะของเขาก้มลงและไม่กล้ามองซูอี้อีกเลย
มากกว่าเถาอวิ๋นฉือคือเหล่าศิษย์ของสำนักดาบเทียนชูที่อยู่ใกล้เคียง ทุกคนต่างหวาดกลัวกับภัยคุกคามอันรุนแรงของซูอี้ พวกเขาทั้งหมดต่างก้มหน้าและตัวสั่น
ทว่าซูอี้จะสนใจตัวตนที่ไม่คู่ควรเหล่านี้ได้อย่างไร?
ซูอี้ยังคงเขาถือร่มไว้ในมือขวาและมือซ้ายกลับไปไพล่หลังดังเดิม เขามองไปที่อวี่เหวินซู่ซึ่งลอยตัวกลางอากาศเหนือทะเลสาบในระยะไกลและพูดว่า “ตอนนี้เจ้ายังมีความกล้าที่จะต่อสู้กับข้าหรือไม่?”
น้ำเสียงของซูอี้นั้นเรียบเฉย แต่สำหรับอวี่เหวินซู่มันประหนึ่งเหมือนเสียงฟ้าร้องระเบิดขึ้นในหัวจนสั่นสะท้าน
ใบหน้าที่แข็งกระด้างของเขาเปลี่ยนไป มือของเขากำแขนเสื้อแน่น อกยุบพองตามจังหวะหายใจอย่างรุนแรงและตกอยู่ในความเงียบ
ในตอนนี้เองที่อวี่เหวินซู่เข้าใจว่าทำไมซูอี้จึงบอกว่าตัวเขานั้นไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่ต่อสู้เมื่อตอนที่อยู่ในโรงหลอมอาวุธ
และในที่สุดข้าก็เข้าใจว่าทำไมซูอี้ถึงชี้นิ้วไปที่โจวเฟิงจื่อก่อนเป็นอันดับแรกในวันนี้
มันไม่ใช่ความหยิ่งทะนง และก็ไม่ใช่ความโง่เขลา แต่มันคือความมั่นใจและไม่กลัวผู้ใด ซูอี้รู้อยู่แก่ใจว่าโจวเฟิงจื่อจะไม่มีชีวิตรอดจากคมดาบของตนเอง
และแน่นอนว่าในสายตาของซูอี้ ตัวเขาอวี่เหวินซู่ไม่มีคุณสมบัติพอเลยที่จะเป็นคู่ต่อกรด้วย!
ทว่านี่ไม่ใช่… เป็นการดูถูกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเขา ผู้นำศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักดาบเทียนชูหรอกหรือ?
“เจ้าไม่อยากปกป้องความยิ่งใหญ่ของสำนักดาบเทียนชูแล้วหรอกหรือ? ตอนนี้ข้าสังหารโจวเฟิงจื่อและโจวจือเฉียนไปแล้ว ทำไมข้ายังไม่เห็นเจ้าก้าวออกมาเพื่อปกป้องชื่อเสียงของสำนักเจ้าอีกเล่า?”
ซูอี้พูดอีกครั้ง คำพูดของเขาเผยให้เห็นถึงการประชดประชันอย่างเปิดเผย
“บัดซบ พอกันที!”
อวี่เหวินซู่ระเบิดโทสะตะโกนเสียงดังกังวาน ใบหน้าของเขาแดงก่ำ “ซูอี้ ข้ายอมรับว่าข้าประเมินเจ้าต่ำไปก่อนหน้านี้ แต่อย่าคิดว่าการฆ่าผู้อาวุโสโจวจะทำให้เจ้ามีสิทธิ์หยามข้าและทำให้อับอายขายหน้าได้!”
ชิ้ง!
ทันทีที่เขาพูดจบ อวี่เหวินซู่เรียกดาบวิญญาณสีทองอร่ามมาไว้ในมือ
ดาบทองบังเหิน!
“ข้าอวี่เหวินซู่… ข้าจะไม่มีวันถอยเพราะกลัวการต่อสู้และความตาย!”
อวี่เหวินซู่ย้ำชัดทุกถ้อยคำที่เปล่งเสียง แววตาที่เคยหวาดหวั่นเปลี่ยนเป็นเฉียบคมและแน่วแน่
เจียงหลีและคนอื่น ๆ ต่างตกใจและแสดงอารมณ์ที่แตกต่างกัน อวี่เหวินซู่ในขณะนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้คนชื่นชมความกล้าหาญของเขาเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความเศร้าที่อธิบายไม่ได้
เหมือนแมลงเม่ากำลังบินเข้ากองเพลิง รู้ตนเองว่าจะตายแต่ทว่าไม่หันหลังถอยหนี
ซูอี้ส่ายหัวครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างเฉยเมย “หากข้าลงมือ มันจะไม่ต่างจากการจงใจทำให้เจ้าอับอายและเหยียบย่ำตัวตนเล็กจ้อยอย่างเจ้า เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน หากเจ้าไม่ยินยอม ในงานชุมนุมมวลพฤกษาตราบเท่าที่เจ้าสามารถเอาชนะแม่นางซือฉานได้ ข้าจะยินยอมเอ่ยปากขออภัยต่อเจ้าเป็นการส่วนตัว”
เยว่ซือฉานตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นนางจึงตระหนักเข้าใจว่าซูอี้ทำเช่นนี้เพราะจะใช้อวี่เหวินซู่เป็นหินลับดาบให้กับตัวนาง…
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของซูอี้ เจียงหลีจึงรีบเอ่ยขึ้นปรามอวี่เหวินซู่ทันที “ศิษย์พี่ คืนนี้ไม่เหมาะสมจริง ๆ เราถอยกลับกันก่อนเถิด”
อวี่เหวินซู่เงียบ เขาลังเลและไม่แน่ใจ
ซูอี้หาได้มีใจที่จะรอคำตอบ จุดประสงค์ของเขาสำหรับคืนนี้สำเร็จแล้ว และไม่จำเป็นต้องเสียเวลาที่นี่อีกต่อไป
เขาหันไปหาเยว่ซือฉานและเอ่ยคำออก “เราไปกันเถิด”
“อืม”
ทั้งสองเดินฝ่าม่านฝนพร้อมกับร่มกระดาษน้ำมันในมือไปยังรถม้าที่จอดรออยู่อย่างเงียบงันในระยะไกล และในไม่ช้ารถม้าก็เคลื่อนตัวจากไป หายไปกับความมืดมิดของยามราตรีกาล
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีผู้ใดกล้าหยุดซูอี้
ในระยะไกล กลางอากาศเหนือทะเลสาบจินหลิน อวี่เหวินซู่ถอนหายใจยาวเก็บดาบวิญญาณของตนเองและบินกลับสู่ชายฝั่งอย่างเงียบ ๆ
ทุกคนสามารถเห็นได้ว่าผู้นำศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักดาบเทียนชูซึ่งเป็นอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงก้องโลก ได้รับความทุกข์ทรมานจากอารมณ์ของเขาอย่างรุนแรงหลังจากประสบกับเหตุการณ์ในคืนนี้!
“พี่อวี่เหวิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”
เจียงหลีขมวดคิ้วกังวลเกี่ยวกับสภาพจิตใจของอวี่เหวินซู่
อวี่เหวินซู่ส่ายหัวและกล่าวว่า “ศิษย์น้องไม่ต้องเป็นกังวล นักดาบเช่นข้ายิ่งเผชิญกับความสิ้นหวังมากเท่าใดก็ยิ่งกล้าหาญมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าผลลัพธ์จะรู้แจ้งอยู่แก่ใจว่าสำเร็จหรือล้มเหลวในตอนท้ายดวงใจเต๋าของข้าก็หาได้เสียหายไม่”
อวี่เหวินซู่กล่าวเช่นนี้ก่อนจะหันไปมองยังทิศทางที่ซูอี้จากไปและกล่าวว่า “ศิษย์เล็ก ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าผู้ใดคือชายหนุ่มชุดเขียวปริศนาที่สังหารฮั่วเทียนตู ผู้อาวุโสใหญ่แห่งวังเทพสวรรค์เมฆา ณ ทะเลสาบชูอวิ๋น”
สีหน้าของของอวี่เหวินซู่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
เหล่าศิษย์สำนักดาบเทียนชูบางคนตกตะลึง บางคนสับสนและงุนงง
“ชายหนุ่มชุดเขียว!?”
ดวงตาของเจียงหลีเบิกกว้าง นางพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “นี่…”
ชิวเหิงคง เถาอวิ๋นฉือและคนอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงไปแล้ว ซ… ซูอี้เป็นคนที่ฆ่าฮั่วเทียนตู?
“มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
อวี่เหวินซู่หัวเราะกับตัวเอง “ในนครหลวงจิ๋วติ่งมีข่าวลือหนาหู เกี่ยวกับชายหนุ่มชุดเขียวลึกลับผู้ซึ่งน่าสะพรึงกลัวอย่างสุดแสนจนถึงขนาดทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ภายในเมืองต่างพากันซื้อเสื้อคลุมสีเขียวมาใส่ตาม ๆ กันเพื่อหวังทำให้ตนเองดูน่าเกรงขาม แต่ทว่าไม่มีผู้ใดสักคนที่ทราบว่าชายหนุ่มเสื้อเขียวที่แท้จริงนั้นเป็นผู้ใดกันแน่”
สีหน้าของเจียงหลีดูสับสน ก่อนจะถอนหายใจ “อาจจะเป็นดังนั้น จากที่ข้าได้ยินมา บรรดาผู้ที่เห็นจากระยะไกลต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่าชายหนุ่มเสื้อเขียวลึกลับผู้นั้นยังดูอ่อนเยาว์ไม่น่ามีอายุเกินยี่สิบปี แต่วิถีดาบนั้นกล้าแกร่งล้ำเลิศอย่างน่าอัศจรรย์ซึ่งสอดคล้องกับซูอี้… ที่ใส่เสื้อคลุมสีเขียวตลอดเวลาและยังสามารถสังหารผู้อาวุโสโจวได้ภายในสามดาบ…”
หลังจากวิเคราะห์ทบทวนอีกรอบเกี่ยวกับชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเขียวลึกลับรวมกับภาพของการต่อสู้เมื่อครู่นี้ เจียงหลีมั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ซูอี้คือ ‘ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเขียว’ ที่ผู้คนร่ำลือกันอย่างแน่นอน!
“วันนี้ การกระทำของข้าไม่ต่างอะไรจากมดแมลงเขย่าต้นไม้ใหญ่ ข้าท้าทายตัวตนผู้ที่เหนือกว่าตนเองอย่างสิ้นเชิง”
อวี่เหวินซู่สูดหายใจเข้าลึก ๆ และการแสดงออกของเขาก็สงบลงอีกครั้ง “อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ทำให้ข้าชัดเจนในเส้นทางการบ่มเพาะขึ้นเช่นกัน เส้นทางของวิถีต้นกำเนิดและวิถีวิญญาณ กำแพงกั้นที่ข้าเคยคิดว่ามันไม่สามารถทำลายได้ขณะนี้ข้าเริ่มมองเห็นหนทางข้ามผ่านแล้ว หากเฉิงผูหรือแม้แต่ซูอี้ยังสามารถสำเร็จได้ ในไม่ช้าก็เร็วข้าก็สามารถทำได้เช่นกัน!”
ในตอนท้าย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เถาอวิ๋นฉืออดไม่ได้ที่จะเอ่ยว่า “ศิษย์พี่อวี่เหวิน… ผู้อาวุโสโจวและคนของสำนักเราถูกซูอี้สังหารเช่นนี้… เราจะทำอย่างไรต่อไปดี?”
อวี่เหวินซู่ตอบกลับอย่างเคร่งขรึม “เราจะทำสิ่งใดได้อีกด้วยความแข็งแกร่งของเรา? หลังจากนี้เราจะรายงานให้สำนักทราบและต่อจากนั้นท่านเจ้าสำนักจะเป็นผู้ตัดสินใจ”
เจียงหลีลอบพยักหน้าเห็นด้วย การตัดสินใจของอวี่เหวินซู่นั้นสมเหตุสมผลที่สุด
“แล้ว… เราจะจัดการกับผู้ทรยศชิวเหิงคงอย่างไร?”
เถาอวิ๋นฉือมองที่ชิวเหิงคงโดยไม่ปิดบังความรังเกียจแม้แต่น้อย
“คนทรยศ?”
เจียงหลีขมวดคิ้ว “ศิษย์น้องชิวทรยศสำนักอย่างไร?”
“ก็ก่อนหน้านี้…” ขณะที่เถาอวิ๋นฉือกำลังจะอธิบาย เจียงหลีก็ขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผู้อาวุโสโจวกระทำการแก้แค้นเป็นการส่วนตัว เขาไม่ได้กระทำในนามของสำนักเรา ดังนั้นแล้วการที่ศิษย์น้องชิวผู้ซึ่งเป็นสหายเก่าแก่ของซูอี้เอ่ยเตือนซูอี้ให้ระวังตัวไว้นั้นมันไม่ผิดแปลกไม่ใช่หรือ? เจ้ามีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้?”
เถาอวิ๋นฉือพูดไม่ออก สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์