บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 512 เตรียมการเป็นอย่างดี
ตอนที่ 512: เตรียมการเป็นอย่างดี
ตอนที่ 512: เตรียมการเป็นอย่างดี
เจียงหลีรู้สึกรังเกียจและเกลียดชังเถาอวิ๋นฉือเข้ากระดูกดำ
ครั้งเมื่อตอนอยู่ที่เมืองผี มันเป็นเพราะการยั่วยุจากเถาอวิ๋นฉือที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับซูอี้
และวันนี้ในโรงหลอมอาวุธ เถาอวิ๋นฉือผู้นี้ก็ยังเป็นต้นเหตุชักจูงศิษย์พี่ของนางอวี่เหวินซู่ขัดแย้งกับซูอี้อีกครา
จนถึงตอนนี้ ชายน่ารังเกียจผู้นี้ก็ยังคงวางแผนที่จะจัดการกับชิวเหิงคง!
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเป็นคนสำนักเดียวกัน ป่านนี้เจียงหลีคงตวัดดาบบั่นคออีกฝ่ายให้ตายไปให้พ้นหูพ้นตาแล้ว
ในเวลาเดียวกัน อวี่เหวินซู่เริ่มไม่พอใจเช่นกันและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ศิษย์น้องเถา! เจ้าอ้างชื่อสำนักเพื่อหาเรื่องศิษย์น้องชิวอยู่บ่อย ๆ เช่นนี้ เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าวันใดวันหนึ่งหากศิษย์น้องชิวทนความไร้สาระของเจ้าไม่ไหว เขาอาจขอร้องให้สหายซูอี้ของเขามาจัดการกับเจ้า?”
หลังจากตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ เถาอวิ๋นฉือก็สั่นเทาและพูดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ศิษย์พี่อวี่เหวินข้าเพียงแค่…”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งใดให้ข้าฟังทั้งนั้น! จงจำไว้ในครั้งต่อไปหากยังประพฤติตนไม่เหมาะสมเช่นนี้อีก ข้าจะเป็นคนแรกที่ลงโทษเจ้า!”
อวี่เหวินซู่กล่าวอย่างเย็นชา
ในฐานะนักดาบ เขาเกลียดผู้ที่มีนิสัยเช่นเถาอวิ๋นฉือมากที่สุด นิสัยดั่งจิ้งจอกตัวร้ายปลิ้นปล้อนหลอกลวงและไม่อาจเชื่อถือได้
เถาอวิ๋นฉือรู้สึกหนาวไปถึงกระดูก สีหน้าของเขาซีดขาวราวกับปลาตาย
เขาตระหนักว่าขณะนี้ได้ทำให้ทั้งเจียงหลีและอวี่เหวินซู่ขุ่นเคืองแล้ว ซึ่งเขาเดาได้เลยว่านับจากนี้ การใช้ชีวิตอยู่ในสำนักดาบเทียนชูของเขาในอนาคตย่อมไม่ราบรื่นอย่างแน่นอน…
ทว่าขณะที่อวี่เหวินซู่ เจียงหลี และกลุ่มของพวกเขากำลังจะจากไป ร่างของชายผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในม่านฝนระยะไกล
ชายผู้นี้สวมชุดคล้ายนักปราชญ์ ผิวพรรณขาวผ่องใบหน้าไร้หนวดเครา จากรูปลักษณ์ ชายผู้นี้น่าจะมีอายุราวสามหรือไม่เกินสี่สิบปี ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายแข็งแกร่งลึกล้ำอย่างที่ผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณควรจะเป็น
แม้เดินผ่านฝนอันกระหน่ำหนัก ทว่าร่างกายและเสื้อผ้าของเขากลับแห้งและสะอาดราวกับไม่มีเม็ดฝนสักเม็ดที่เล็ดลอดถึงกายเขาเลย
“ท่านพ่อ? ท่าน… ทำไมท่านถึงมาที่นี่?”
เจียงหลีตกตะลึง ดวงตาอันสวยงามของนางเบิกกว้าง
ชายผู้มาใหม่ผู้นี้คือเจียงเซียวเชิง ผู้นำตระกูลเจียงซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ที่สุดของต้าเซี่ย!
อวี่เหวินซู่ และคนอื่น ๆ ต่างก็แสดงความเคารพชายผู้มาใหม่
ด้วยฐานะผู้นำของตระกูลเจียง เจียงเซียวเชิงมีศักดิ์อันยิ่งใหญ่เท่าเทียมกับเจ้าสำนักดาบเทียนชู!
หากโจวเฟิงจื่อหรือผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของสำนักดาบเทียนชูอยู่ที่นี่ด้วยแล้ว พวกเขาเองก็จำเป็นต้องเคารพเจียงเซียวเชิงอยู่สามส่วนเช่นกัน!
“หากข้าไม่มา คืนนี้ทุกอย่างคงไม่จบลงด้วยดี”
เจียงเซียวเชิงถอนหายใจ สีหน้าของเขาดูซับซ้อนเล็กน้อย
เจียงหลีประหลาดใจและถามกลับ “ท่านพ่อหมายความว่าอย่างไร?”
เจียงเซียวเชิง เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “คืนนี้ถือว่าโชคดีสำหรับพวกเจ้าที่ไม่ได้ทำให้คุณชายซูขุ่นเคือง ไม่เช่นนั้นต่อให้พวกเจ้าทั้งหมดถูกคุณชายซูกุดหัวจนสิ้น พรุ่งนี้เขาก็จะยังสามารถเดินเตร่ไปไหนต่อไหนได้ตามปกติโดยที่ไม่ได้รับผลกระทบจากตระกูลหรือว่าสำนักใดเลยแม้แต่ปลายเล็บ!”
เมื่อได้ยินเจียงเซียวเชิงพูดประโยคนี้ เจียงหลี อวี่เหวินซู่ และคนอื่น ๆ ต่างตัวสั่น สีหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนไป
สิ่งนี้หมายความว่า?
ซูอี้ไม่เพียงแต่ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ยังมีภูมิหลังที่เหนือจินตนาการอีกด้วย!
ไม่เช่นนั้นผู้ที่มีสถานะสูงส่งเช่นเจียงเซียวเชิงคงไม่พูดคำเหล่านี้จริงหรือไม่?
“ท่านพ่อ…”
เจียงหลีกำลังจะอ้าปากถามอะไรบางอย่าง แต่เจียงเซียวเชิงกลับขัดจังหวะด้วยการโบกมือและเอ่ยออก “อย่าแพร่งพรายสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้แม้แต่ครึ่งคำ!”
เสียงนั้นเด็ดขาดและทรงพลัง
ใบหน้าอันงดงามของเจียงหลีแปรเปลี่ยนไป นางรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อวี่เหวินซู่และคนอื่น ๆ ต่างพากันเงียบกริบ
เจียงเซียวเชิงกล่าวขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะโง่แค่ไหน พวกเขาก็พอตระหนักได้ว่าซูอี้ไม่เพียงมีความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาอยู่อย่างสิ้นหวัง แม้กระทั่งสถานะของตัวตนเช่นซูอี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถทำให้ขุ่นเคืองได้!
คิดได้ดังนั้น…
เถาอวิ๋นฉือ กู่เถิงอิง และผู้อื่นต่างก็รู้สึกหวาดกลัวถึงแก่นแท้
มีเพียงชิวเหิงคงที่เต็มไปด้วยความสับสน
สหายเต๋าซู เขา… มีภูมิหลังอื่นที่เป็นความลับอีกเช่นนั้นหรือ?
ไม่อย่างนั้นเหตุใดคนอย่างผู้นำตระกูลเจียงจึงเอ่ยถึงซูอี้อย่างเป็นปริศนาเช่นนี้?
“ท่านพ่อ แต่การตายของผู้อาวุโสโจวคงไม่สามารถปิดบัง…”
เจียงหลีกล่าวด้วยเสียงต่ำ
สีหน้าของเจียงเซียวเชิงซับซ้อนขึ้นก่อนจะกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรา เดี๋ยวจะมีผู้อื่นมาสะสางปัญหานี้เอง!”
…
ฝนในฤดูใบไม้ร่วงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ กระหน่ำลงมาประหนึ่งน้ำตก
“วันที่สิบห้าเดือนเก้า หลังจากซูอี้เข้ามาในเมือง ในคืนเดียวกันนั้นในหอโคมเขียวฮ่วนซีชา เขาได้ฆ่าซือคงเป้าแห่งสำนักอสูรเทียนเยียน และเฒ่าปีศาจฮว่าถู”
“ในคืนวันที่สิบหกเดือนเก้า เหนือทะเลสาบชูอวิ๋น ผู้อาวุโสใหญ่ฮั่วเทียนตูแห่งวังเทพสวรรค์เมฆาก็ได้ถูกซูอี้สังหาร”
“และคืนนี้ที่แอ่งเกล็ดทอง โจวเฟิงจื่อผู้อาวุโสคนใหม่ของสำนักดาบเทียนชูยังถูกซูอี้สังหารโดยใช้เพียงสามดาบ”
“ในเวลาเพียงสามวัน ตัวตนขั้นวิถีวิญญาณขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเหล่านี้ล้วนตกตายด้วยน้ำมือของซูอี้เพียงผู้เดียว ไม่ต้องพูดถึงระดับการฝึกตนที่ห่างชั้น เอาแค่เพียงมองว่ามีตัวตนใดบ้างที่สามารถสังหารผู้ฝึกตนขั้นวิถีวิญญาณได้ถึงสี่คนเช่นนี้ยังหาได้มีไม่ในรอบสามร้อยปีที่ผ่านมา!”
บนยอดเขาของภูเขาเทียนหมาง ในเรือนแห่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมผู้หนึ่งกำลังนั่งอ่านรายงานในมือพร้อมแย้มยิ้มอย่างมีนัยยะ
เวิงจิ่วแสดงสีหน้าแปลกประหลาดและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ซับซ้อน “การฆ่าหาใช่เรื่องใหญ่ แต่ทุกครั้งที่เราต้องตามเช็ดล้างให้เขา มันช่างดูน่าอายเกินไป”
ชายวัยกลางคนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขาขมวดคิ้วและพูดว่า “แต่ถ้าหากทบทวนคิดให้ดี เราไม่สามารถตำหนิซูอี้สำหรับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้”
เวิงจิ่วพยักหน้าและพูดว่า “หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น และคนผู้นั้นตกเป็นเป้าของกลุ่มกำลังยิ่งใหญ่ทั้งหลายเช่นสำนักอสูรเทียนเยียน วังเทพสวรรค์เมฆา และสำนักดาบเทียนชู ผู้น้อยเกรงว่าคนผู้นั้นคงจะตายไปหลายสิบครั้งแล้วระหว่างสองสามวันที่ผ่านมา อีกทั้งการตายนั้นจะเงียบเชียบราวกับไม่มีสิ่งใดเคยเกิดขึ้น แต่น่าเสียดายที่ซูอี้หาใช่คนธรรมดา ถ้าจะโทษ… ก็โทษได้เฉพาะกลุ่มกำลังใหญ่เหล่านั้นที่คิดอ่านพลาด คิดว่าตนเองกำลังรับมือกับผู้ฝึกตนเล็กจ้อยจากอาณาจักรที่ห่างไกล ซึ่งท้ายที่สุดกลับกลายเป็นว่าพวกเขากลับเตะแผ่นเหล็กหนาเข้าให้เสียเอง”
ชายวัยกลางคนโบกมือและกล่าวว่า “ช่วงนี้อาจมีปัญหาวุ่นวายมากเสียหน่อย และเราคงต้องลำบากลำบนตามล้างตามเช็ดให้ซูอี้ต่อไปอีกสักพักหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับการตามเช็ดล้างเพียงเท่านี้กับการซ่อมแซมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน อย่างหลังย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”
เวิงจิ่วหรี่ตาและพยักหน้า
“ทว่า เจียงเซียวเชิงไม่พอใจกับการจัดการของเราหรือไม่?”
ชายวัยกลางคนถาม
เวิงจิ่วส่ายหัวและกล่าวว่า “ผู้นำเจียงเป็นคนที่มีสติปัญญาและไหวพริบเฉียบแหลม เนื่องจากฝ่าบาทได้ทรงรับสั่งว่าต้องการปกป้องซูอี้ ผู้นำเจียงจึงย่อมรู้ว่าต้องทำอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่แอ่งเกล็ดทองในคืนนี้ ตระกูลเจียงไม่ได้สูญเสียแต่อย่างใด ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่ผู้นำเจียงจะมีความขุ่นเคืองใดได้”
ชายวัยกลางคนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “เจ้าจงเขียนจดหมายไปถึงเจ้าสำนักดาบเทียนชู กล่าวกับเขาว่าตราบใดที่ไม่เคลื่อนไหว ข้าสามารถชดเชยให้สำนักดาบเทียนชูด้วย ‘ศิลาแก่นแท้ปราณขั้นวิถีวิญญาณ’ แต่หากพวกเขาปฏิเสธไม่เชื่อฟัง จงเอ่ยย้ำให้ชัดเจนว่าข้าจะจัดการกับผู้ที่กระด้างกระเดื่องไม่รับฟังคำสั่งของข้าจนถึงที่สุด”
ประโยคนี้เอ่ยออกอย่างราบเรียบ ทว่าแฝงด้วยความดูถูกอย่างเปี่ยมล้น
เวิงจิ่วตกใจและพูดว่า “ฝ่าบาท! ศิลาแก่นแท้ปราณขั้นวิถีวิญญาณมีค่าสูงล้ำ มันเพียงพอให้สำนักดาบเทียนชูฝึกฝนผู้ใดก็ได้อีกหนึ่งคนก้าวไปสู่ขั้นวิถีวิญญาณขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ! ตอนนี้เพื่อช่วยซูอี้ปัดกวาด… มันคุ้มค่าแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ชายวัยกลางคนหัวเราะ “มันก็แค่เพียงศิลาแก่นแท้ปราณขั้นวิถีวิญญาณ จะเทียบกับการซ่อมแซมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนได้อย่างไร อีกทั้งมันยิ่งกว่าคุ้มค่าหากเราสามารถใช้มันแลกเปลี่ยนในการผูกสัมพันธ์กับซูอี้ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น!”
พูดจบประโยค ชายวัยกลางคนก็หันมองไปที่เวิงจิ่ว และพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “เฒ่าจิ่ว เจ้ารับใช้ข้ามานานมากแล้ว เจ้าเคยเห็นคนเช่นซูอี้ที่ไม่สามารถตัดสินได้ด้วยตรรกะสามัญอย่างนี้มาก่อนอย่างนั้นหรือ?”
เวิงจิ่วส่ายหัว
“ผู้น้อยไม่เคยเห็นมาก่อน และก็ไม่เคยได้ยินแม้แต่น้อย”
ดวงตาของชายวัยกลางคนหรี่ลงและเสียงของเขาลุ่มลึกขึ้น “คนหนุ่มผู้ที่อยู่เพียงแค่ขอบเขตเปิดทวาร ไม่เพียงแต่มีพลังการต่อสู้ที่ท้าทายฟ้าดิน ซึ่งสามารถสังหารฆ่าผู้ฝึกตนขั้นวิถีวิญญาณได้ อีกทั้งยังมีวิธีซ่อมแซมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน และวันนี้เมื่อตอนอยู่ในโรงหลอมอาวุธ ด้วยทักษะการหลอมสร้างดาบอันน่าอัศจรรย์ แม้แต่อวี๋ซูเหยาและพวกตาเฒ่าที่แสนจะหยิ่งผยองต่างก็พากันก้มหัวด้วยความชื่นชม ความสำเร็จทั้งหมดนี้… ต่อให้นับย้อนไปสามหมื่นปียังไม่รู้ว่าจะเจอหรือไม่”
จากนั้นชายวัยกลางคนก็มองขึ้นไปดูท้องฟ้ายามค่ำคืนอันไกลโพ้นและกล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้นหากปรากฏการณ์แสงสว่างแห่งโลกกว้างนั้นมาถึง ตัวตนเช่นซูอี้จะยิ่งเจิดจรัส ผู้ใดในหมู่พวกเราสามารถเทียบเคียงพรสวรรค์ของเขาได้? เฉิงผูผู้นั้นเคยกล่าวเอาไว้ โลกอนาคตจะเป็นเวทีให้สำหรับคนรุ่นเยาว์แข่งขันกัน ส่วนตัวตนเฒ่าชราที่ตอนนี้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกนั้นถูกกำหนดให้ถูกก้าวข้ามอย่างไม่ต้องสงสัย!”
เวิงจิ่วเลิกคิ้วเล็กน้อยและพอเข้าใจได้บ้างแล้วว่าเหตุใดชายวัยกลางคนจึงประเมินซูอี้ไว้สูงนัก
…
ยามดึก
สวนน้อยนภาเมฆ
ภายนอกฝนตก ลมกระหน่ำพัด
ในห้องหลัก แสงสว่างจากเทียนไหววูบวาบสร้างบรรยากาศให้อบอุ่น
“เสร็จแล้ว”
ซูอี้เอามือออกจากหน้าท้องที่เรียบเนียนไร้ที่ติของเยว่ซือฉานก่อนจะถอนหายใจยาว
จากนั้นชิงหว่านจึงช่วยนำผ้านวมมาห่มร่างเยว่ซือฉานอย่างเรียบร้อย
เมื่อมองไปที่ใบหน้าอันแดงระเรื่อของเยว่ซือฉาน ซึ่งมันยิ่งทำให้นางดูงดงามยิ่งกว่าเดิม ชิงหว่านก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและเอ่ยชม “พี่สาว เจ้าสวยมากยามที่เจ้าอาย”
เยว่ซือฉานเอียงอาย ขนตานางสั่นเล็กน้อยและพูดว่า “ถ… ถ้าเป็นท่านบ้างจะไม่อายหรือ…”
ชิงหว่านเบิกตากว้างไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าความคิดนางโลดแล่นไปถึงที่ใด แต่ทว่าหน้าเล็ก ๆ ของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับแอปเปิ้ลสุกลูกใหญ่ กระทั่งใบหูของนางก็ยังเปลี่ยนเป็นสีแดง มือทั้งสองข้างจิกกระโปรงอย่างไม่รู้ตัว นางไม่รู้ว่าจะตอบอีกฝ่ายอย่างไร
การกระทำที่เอียงอายยิ่งกว่าของอีกฝ่ายทำให้เยว่ซือฉานตกตะลึงจนพูดไม่ออก สาวสวยคนนี้ที่มีเสน่ห์น่าหลงใหลอย่างหาที่เปรียบไม่ได้… เขินอายได้ขนาดนี้เลยหรือ?
ซูอี้นั่งอยู่ที่นั่นอย่างเกียจคร้าน มองดูเยว่ซือฉานและชิงหว่านภายใต้แสงเงาของตะเกียง เขารู้สึกว่าแม้คืนนี้จะเป็นคืนฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวเหน็บ แต่ทว่าภาพที่ปรากฏตรงหน้ามันช่างสวยงามราวกับเต็มไปด้วยสีสันของฤดูใบไม้ผลิที่สวยงาม
เมื่อเห็นว่าซูอี้ไม่มีทีท่าที่จะออกไป เยว่ซือฉานก็อดทนต่อความเขินอายของนางและสวมใส่เสื้อผ้าของนางภายใต้การห่มคลุมของผ้านวมจนเรียบร้อยก่อนที่จะลุกออกจากเตียงโดยตั้งใจจะจากไป
ซูอี้หยิบแผ่นหยกออกมาแล้วยื่นให้ “สิ่งที่สลักอยู่ในแผ่นหยกนี้คือ ‘คัมภีร์ดาบดาราพินาศ’ มันเหมาะกับเจ้าซึ่งมี ‘กายวิญญาณหยั่งเห็นลึกล้ำ’ ที่สุดและเมื่อใช้เคล็ดวิชานี้ร่วมกับดาบที่ข้าสร้างให้เจ้า ต่อให้เจ้าต้องต่อสู้กับตัวตนเช่นอวี่เหวินซู่ในงานชุมนุมมวลพฤกษาที่กำลังจะถึง มันก็เพียงพอที่เจ้าจะไม่พ่ายแพ้ต่อเขา”
เยว่ซือฉานตกตะลึง
ตอนนี้เองที่นางตระหนักว่าซูอี้ได้วางแผนทุกอย่างล่วงหน้าไว้ราวกับคิดเกี่ยวกับนางมานานแล้ว เริ่มตั้งแต่การหลอมดาบในวันนี้จนถึงการมอบเคล็ดวิชาให้นาง และช่วยให้นางได้มีอวี่เหวินซู่เป็นหินลับคมดาบของนาง!
หัวใจของหญิงสาวเต้นระรัว และดวงตาที่เย็นชาของนางเริ่มอ่อนลงและฉายแววอันไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อเห็นว่านางกำลังจะกล่าวขอบคุณ ซูอี้จึงยกมือขึ้นหยุดและเอ่ยว่า “อย่าขอบคุณข้า ข้าไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อให้เจ้ารู้สึกซาบซึ้งหรือต้องเอ่ยคำขอบคุณ ข้าเพียงแค่อยากเห็นเจ้าผู้ที่ได้รับคำชี้แนะจากข้าสามารถเจิดจรัสได้เหนือผู้อื่นและยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในโลกหล้านี้”
เยว่ซือฉานตะลึงงันก่อนจะกัดริมฝีปากสีชมพูของนางเบา ๆ และพยักหน้า “เข้าใจแล้ว!”
ขณะนี้ใบหน้าเล็ก ๆ อันงดงามของนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความสงบ
เช้าวันรุ่งขึ้น
ท่ามกลางแสงรุ่งอรุณ
นอกนครหลวงจิ๋วติ่งมีเรือเหาะขนาดใหญ่ที่มีความยาวกว่าหนึ่งร้อยฉื่อปรากฏขึ้นพร้อมกับแสงอันแพรวพราวจากระยะไกล
ที่ดาดฟ้าหัวเรือ
ชายหนุ่มรูปงามที่มีผมสีม่วงและมงกุฎทองคำและสวมชุดสีหยกยกมือขึ้นชี้ไปยังทิศทางของเมืองจิ๋วติ่งและตะโกนว่า
“มุ่งตรงไปที่ภูเขาเทียนหมาง ข้าจะไปพบกับจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยโดยตรง!”