บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 514 ให้พวกเจ้าได้เปิดหูเปิดตา!
ตอนที่ 514: ให้พวกเจ้าได้เปิดหูเปิดตา!
ตอนที่ 514: ให้พวกเจ้าได้เปิดหูเปิดตา!
ด้านบนของนครหลวงจิ๋วติ่ง เกิดเสียงคำรามของค่ายกลเขตแดนและปรากฏแสงอักขระขนาดมหึมาออกมา
ชั่วพริบตานั้นผู้ฝึกตนที่กระจัดกระจายอยู่ในเมืองส่วนใหญ่รู้สึกหน้ามืด
ท้องฟ้าที่เดิมเคยสว่างสดใส ราวกับตกอยู่ในค่ำคืนอันมืดมิดที่แสนยาวนานในทันใด
มันบดบังไปทั่วท้องฟ้า!
อักขระควบคุมอันน่าสะพรึงกลัวได้กลายเป็นกลุ่มสายฟ้าสีดำอันปั่นป่วน แล้วรวมตัวบนฟ้าเหนือนครหลวงจิ๋วติ่ง เวลาเคลื่อนตัวจะส่งเสียงดังสั่นสะเทือนฟ้าดิน
“นี่คือ… ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน!!”
เสียงร้องตกใจดังขึ้น แล้วคนทั้งเมืองต่างก็ตกตะลึง
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ค่ายกลสังหารไร้สิ่งใดเปรียบที่คงอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณนี้ไม่เคยขยับมาก่อน และในตอนนี้ ค่ายกลวิเศษดังกล่าวก็ได้ปรากฏออกมาให้เห็นอีกครั้งบนท้องฟ้าเหนือนครหลวงจิ๋วติ่ง
“ความกล้าหาญของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยยิ่งใหญ่นัก!”
เฉิงผูที่กำลังเคลื่อนไหวอ้าปากค้าง
“ข้ายังคิดว่าราชวงศ์เซี่ยจะกลัวเสียอีก ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะไม่แม้แต่ทักทาย ทว่ากลับลงมือเลย… โหดเหี้ยมนัก!”
กู่ชางหนิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ไม่มีการเจรจา ไม่มีการตำหนิ แม้กระทั่งคำทักทายก็ยังไม่มี แต่ใช้ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนโดยตรง นี่เป็นการแสดงเจตนาต่อตระกูลหวนเผ่ามารที่ชัดเจนที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!
ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่และเหล่าผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณที่กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ของเมืองต่างก็ตระหนักเรื่องนี้ได้ขึ้นมา แล้วพากันตัวสั่นสะท้าน
ตระกูลหวนเผ่ามาร กองกำลังยุคโบราณนี้จะน่ากลัวเพียงใดกัน?
แต่วันนี้ ยามที่เรือล่องล้อเมฆามารนับพันของพวกเขาละเมิดกฎของนครหลวงจิ๋วติ่ง พวกเขาจะได้เจอกันการโจมตีที่รุนแรงที่สุดจากราชวงศ์เซี่ยในทันที!
และนี่เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่คาดไม่ถึง
ตู้ม!
ค่ายกลขยับเคลื่อน สายฟ้าสีดำราวกับทะเลบ้าคลั่งอันเดือดดาลโหมกระหน่ำ
บรรยากาศแห่งการทำลายล้างกระตุ้นหญิงงามในชุดหงส์หยก จนสีหน้าเปลี่ยนแปร จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังลั่น “นายน้อย รีบถอยก่อน!”
สีหน้าของชายหนุ่มรูปงามผู้มีผมสีม่วงและสวมมงกุฎทองคำเปลี่ยนไป ดวงตาของเขาเปล่งประกายอย่างโหดเหี้ยมและบ้าคลั่งออกมา “ถอยออกไป? เป็นไปไม่ได้! ข้าอยากจะดูว่าค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนจะทำลายพวกเราได้หรือไม่”
การตัดสินใจเช่นนี้เหมือนคนโง่เขลาที่ไม่กลัวความตายเลยจริง ๆ
แต่นี่เป็นลักษณะของตระกูลหวนเผ่ามาร สายเลือดที่แท้จริงของอสูรสวรรค์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของพวกเขา เมื่อบ้าคลั่งขึ้นมาก็จะกลายเป็นคนไม่กลัวตาย
ตูม!
ทันใดนั้นสายฟ้าสีดำที่ปะทุออกมา ด้วยพลังอันดุดัน มันได้ฟาดใส่เรือล่องล้อเมฆามารนับพันอย่างดุเดือด!
ราวกับแส้สายฟ้าเส้นยาวที่ร่ายรำอยู่ในพระหัตถ์ของเทพเซียน ก่อนฟาดฟันโลก!
พลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวทำให้ผู้ฝึกตนหลายคนในเมืองสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว สีหน้าเปลี่ยนเป็นตื่นกลัว
ฮึ่ม!
ก่อนมองเห็นแสงสว่างที่ปรากฏรอบ ๆ เรือล่องล้อเมฆามารนับพัน นั่นคือค่ายกลแนวป้องกันที่มาจากตัวเรือ มีเป็นชั้น ๆ มากถึงสิบแปดชั้น
ตูม!!!
ภายใต้พลังสังหารของค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน ความแข็งแกร่งของแนวป้องกันเหล่านี้กลับเหมือนกระดาษซ้อนกันเป็นชั้น ๆ มันระเบิดออกราวกับสายฝนโปรยปราย เศษซากกระจายราวกับน้ำ
เรือที่ยาวกว่าร้อยจั้งเหมือนลูกข่างที่โดนตีด้วยแส้ มันสั่นอย่างรุนแรงในอากาศ บนตัวเรือที่แข็งแกร่งพอจะทนต่อแรงของมหาปราชญ์สวรรค์ขั้นวิถีวิญญาณปรากฏรอยแตกอันน่าตกใจขึ้นมา
ร่างของชายหนุ่มและหญิงสาวที่อยู่หัวเรือแกว่งไปมา สั่นสะเทือนจนเกือบตกลงไป
ภายในห้องโดยสารยังมีเสียงตกใจดังออกมา
“นายน้อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เรือเราต้องถูกทำลายแน่!”
สีหน้าของชายหนุ่มผู้มีผมสีม่วงและสวมมงกุฎทองคำแทบดูไม่ได้ ดวงตาเป็นสีแดง แล้วพูดด้วยเสียงอันดังว่า “น้าเหวิน เอา ‘ร่มอสูรกาชิงรื่อ’ ออกมา ข้าไม่เชื่อว่าค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนจะแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น!”
หญิงสาวข้างกายสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ กำลังจะลงมือ
ในตอนนั้นเองที่จี้หยกสีเลือดซึ่งห้อยอยู่บนคอของชายหนุ่มส่งเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ออกมา
“ไอ้เด็กโง่เขลา! เพิ่งมาถึงนครหลวงจิ๋วติ่ง ก็ถูกบังคับให้ใช้ร่มอสูรกาชิงรื่อเสียแล้ว เจ้ากำลังพยายามทำให้ใบหน้าแก่ ๆ ของบรรพบุรุษเจ้าอับอายหรืออย่างไร!?”
ร่างของชายหนุ่มแข็งทื่อ
ใบหน้างดงามของหญิงสาวเปลี่ยนไปอย่างมาก
ในตอนนั้นเองที่ความแข็งแกร่งของค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนกลับมาอีกครั้ง มันได้ก่อตัวเป็นสายฟ้าสีดำที่รุนแรงและน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม!
“ไร้ประโยชน์ ดูเสีย!”
ทันทีที่เสียงเย็นชาไร้อารมณ์ดังขึ้น มือสีเลือดขนาดใหญ่ก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ในมือมีเพลิงมารสีเลือด ก่อนจะฟาดไปในอากาศ
ตูม!!!
ภายใต้การจ้องมองของดวงตาที่คาดเดาไม่ได้อันนับไม่ถ้วน พลังของค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนที่ปลดปล่อยสายฟ้าสีดำอันรุนแรง ก็ถูกมือสีเลือดขนาดใหญ่ฟาดเป็นชิ้น ๆ พังทลายราวกับน้ำ
“นี่มัน…”
“ช่างเป็นพลังที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้!”
“บนเรือล่องล้อเมฆามารนับพันจะต้องมีตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวอยู่แน่!”
เกิดเสียงฮือฮาขึ้นในเมือง
ด้วยฝ่ามือเพียงข้างเดียวก็สามารถโจมตีค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนจนสลายในครั้งเดียวได้ ทำให้ผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณต่างสั่นสะท้าน
“วิเศษมาก! ข้ายังคิดว่าลุงทวดคงเหลือแต่จิตดั้งเดิมที่แตกสลายเสียอีก แล้วก็บอกไม่ได้ด้วยว่าจะตายเมื่อไร… ใครจะคาดคิดว่ากลับรุนแรงได้ถึงเพียงนี้!”
ชายหนุ่มที่อยู่บนเรือล่องล้อเมฆามารนับพันรู้สึกทึ่ง
ดวงตางดงามของหญิงสาวมีร่องรอยความกลัวอยู่ลึก ๆ
นางรู้ดีว่า ‘ลุงทวด’ ที่ชายหนุ่มเรียกนั้นเป็นแค่ตาเฒ่าบ้าคลั่งที่ทั้งบ้าและผิดปกติ!
“มารดาเจ้าสิ ไม่รู้จักเยินยอเสียเลยไอ้เด็กโง่!”
เสียงเย็นชาไร้อารมณ์ดังออกมาจากจี้หยกสีเลือด
ตูม!
ในระหว่างการสนทนา พลังค่ายกลเหนือนครหลวงจิ๋วติ่งดูเหมือนจะเดือดดาล สายฟ้าสีดำพุ่งออกมาทีละเส้น ๆ มุ่งเข้าหาเรือล่องล้อเมฆามารนับพันจากทุกสารทิศ!
พลังช่างน่ากลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจริง ๆ
“ไป รีบไปที่ภูเขาเทียนหมางก่อน ไปถามพวกผู้อาวุโสของตระกูลเซี่ย ว่าหมารับใช้ของใครกล้าทำเรื่องแบบนี้กับพวกเรา!”
จี้หยกสีเลือดเรืองแสง น้ำเสียงเย็นชาที่ดังออกมาดูโหดเหี้ยมและมีอำนาจ
ก่อนจะมองเห็นเรือล่องล้อเมฆามารนับพันหดตัว จนเหลือความยาวเพียงเก้าจั้ง ก่อนที่ร่างเงาสีเลือดจะโผล่ออกมาจากท้องฟ้า แบกเรือล่องล้อเมฆามารนับพันไว้บนไหล่ และก้าวไปข้างหน้า
เมื่อมองขึ้นไปจากพื้นดิน มันดูเหมือนกับเทพมารเงาสีเลือดกำลังแบกเรือลำใหญ่ บรรยากาศมารอันน่าสะพรึงกลัวที่ปล่อยออกมาจากร่างกายนั่น ทำให้คนจำนวนมากรู้สึกหวาดกลัว
ตูม!
ทันใดนั้นร่างเงาสีเลือดก็เหวี่ยงหมัดเข้าไปยังพลังของค่ายกลที่พุ่งเข้าเผชิญจนแหลก ก่อนที่ร่างเงาสีเลือดจะเดินไปข้างหน้าท่ามกลางสายฝนโปรยปราย
ไม่ว่าใครต่างก็เห็นได้ว่าพลังของค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนไม่สามารถทำอะไรร่างเงาสีเลือดได้เลย!
“น่ากลัวยิ่งนัก! นี่เป็นบรรพบุรุษท่านไหนของตระกูลหวนเผ่ามารกัน?”
“สมควรที่จะเป็นตระกูลหวนเผ่ามารที่เป็นที่รู้จักในฐานะกองกำลังมารอันดับหนึ่งของโลกตั้งแต่ยุคโบราณ…”
ความรู้สึกของผู้คนภายในนครหลวงจิ๋วติ่งล้วนเป็นไปได้ในทางเดียวกัน พวกเขาต่างก็ตกตะลึง!
สวนน้อยนภาเมฆ
“จิตดั้งเดิมที่ยังคงอยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณ!”
ใบหน้าของชายวัยกลางคนมืดลง
ซูอี้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายขมวดคิ้ว “แม้ว่าความแข็งแกร่งของค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนจะได้รับความเสียหาย แต่ความลึกลับที่อยู่ในค่ายกลนี้ก็ไม่ธรรมดายากเปรียบเทียบ ทว่าด้วยการควบคุมค่ายกลแห่งนี้ของเวิงจิ่ว… มันกลับทำให้เกิดปัญหาขึ้น…”
ชายวัยกลางคนหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “สหายเต๋าคิดว่าผู้เฒ่าจิ่วทำให้เกิดปัญหา?”
“มันเป็นมากกว่าปัญหา มันทำลายความแข็งแกร่งของค่ายกลแห่งนี้โดยสิ้นเชิง”
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกับเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งถือดาบศักดิ์สิทธิ์หายากแล้วกวัดแกว่งเล่นล้อกับใบหญ้า มันทั้งไร้กฎเกณฑ์ และรังแต่จะทำให้ดาบศักดิ์สิทธิ์ดูไร้ประโยชน์
สีหน้าของชายวัยกลางคนแข็งทื่อ มีความไม่มั่นใจอยู่บ้าง แล้วพูดอย่างพิจารณา
“หากเป็นข้าที่ขับเคลื่อนค่ายกลนี้ ย่อมเพียงพอที่จะดึงพลังออกมาได้เกือบสี่ส่วน… คาดว่าถึงแม้ข้าจะไม่สามารถสังหารจิตดั้งเดิมตนนั้นได้ ทว่าก็ย่อมสามารถทำให้อีกฝ่ายอยู่ในสถานการณ์ลำบากแน่นอน!”
“แค่สี่ส่วน?”
ดวงตาของซูอี้ฉายแววประหลาดใจออกมา ก่อนถอนหายใจทันที “ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนแห่งนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าแล้ว… ทำให้ข้ารู้สึกแย่กับมันจริง ๆ”
ชายวัยกลางคนลูบจมูกแล้วยิ้มอย่างขมขื่น เขาเมินเฉยต่อคำพูดประชดประชันของซูอี้ “สหายเต๋า หากเปลี่ยนเป็นเจ้ามาควบคุมค่ายกลแห่งนี้…”
“อยากรู้หรือ?” ซูอี้ถาม
อีกฝ่ายตอบอย่างไม่ลังเล “อยาก!”
ซูอี้ว่า “คิดจะติดหนี้บุญคุณข้าหรือไง?”
ชายวัยกลางคนพลันตอบรับอย่างมีความสุขด้วยการพยักหน้า
ไม่ใช่ว่าไม่มีทางที่เขาจะหยุดเรื่องทั้งหมดนี้ได้ แต่เขาอยากรู้นัก ว่าค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนที่ควบคุมโดยซูอี้จะสามารถปลดปล่อยพลังแบบใดได้บ้าง
จากนั้นซูอี้ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวาย บิดเอวอย่างเกียจคร้านหลังจากที่นั่งมาเป็นเวลานาน “บางครั้งเวลาที่ต้องเห็นบางสิ่งกำลังแย่ มันก็ไม่สบายใจจริง ๆ ที่จะนิ่งเฉย ครั้งนี้… จะให้พวกเจ้าได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อยแล้วกัน!”
เสียงยังคงดังอยู่ในอากาศ แต่ตัวคนได้หายไปแล้ว
ตูม! ตูม!
ภายใต้ท้องฟ้า เส้นสายฟ้าสีดำที่เกิดจากค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนแตกเป็นเสี่ยง ๆ และสลายหายไปขณะที่ร่างเงาสีเลือดกำลังมุ่งไปข้างหน้า
จนกระทั่งตอนนี้ ร่างเงาสีเลือดที่แบกเรือล่องล้อเมฆามารนับพันก็ยังมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งใจกลางนครหลวงจิ๋วติ่ง และห่างไม่ไกลจากภูเขาเทียนหมางอันเป็นจุดหมาย!
พอเห็นฉากนี้ ผู้ฝึกตนในเมืองต่างก็ตกตะลึง และความคิดเดียวกันก็ผุดออกมา…
เป็นไปได้หรือไม่ว่า ราชวงศ์เซี่ยในวันนี้จะล้มต่อหน้าตระกูลหวนเผ่ามารจริง ๆ?
หากปล่อยให้ตระกูลหวนเผ่ามารเหยียบย่ำกฎเกณฑ์ และเดินทางไปถึงภูเขาเทียนหมาง …ราชวงศ์เซี่ยย่อมเสียหน้าเป็นแน่!
“ฮ่า ๆ ทันทีที่ข้าไปถึงภูเขาเทียนหมาง ข้าอยากถามตาแก่ที่เป็นจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยด้วยตนเองนัก ว่าเขาคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้กัน!”
ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสอย่างปิดไม่มิด
“บัดซบ! พวกเราใช้พลังมากมายเช่นนี้ อีกฝ่ายย่อมไม่ปีติยินดีอยู่แล้ว ทว่าหากไม่แสดงสิ่งดี ๆ ออกมาเช่นนี้ มีหรือที่คนจากต้าเซี่ยจะกล้าไม่เห็นหัวพวกเราอีก! ไป! ข้าจะไปยังภูเขาเทียนหมาง!”
ร่างเงาสีเลือดแผดเสียงเย็นเยียบ
“สมแล้วที่เป็นลุงทวด!”
ชายหนุ่มยิ้มด้วยความชื่นชม
ในตอนนั้นเองที่เสียงของการเคลื่อนไหวประหลาดดังขึ้น
ในความว่างเปล่านั้น ฉับพลันก็มีเตายักษ์ที่สูงเกือบพันจั้งผุดขึ้นมา ทั่วทั้งเตามีกลุ่มตะกอนพลังอันคลุมเครือแผ่ออก ส่วนตัวเตาหมุนวนไปด้วยสายฟ้าจำนวนมาก พร้อมกับอักขระที่เจิดจ้า
ตูม!
ทันทีที่เตาอันนั้นปรากฏออก ท้องฟ้าเหนือนครหลวงจิ๋วติ่งพลันถูกกลิ่นอายสังหารอันน่าอึดอัดปกคลุมไว้
…ทุกคนในเมืองต่างก็รู้สึกหนาวสั่น ขนกายลุกชัน ในฉับพลันนั้น พวกเขารู้สึกใจสั่นและหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก!
“เห็นแล้ว”
บริเวณหน้าเตาศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในเมือง ซูอี้วางมือลงบนนั้นอย่างสบาย ๆ
สายตาของเวิงจิ่วเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เตายักษ์ที่มีความสูงพันจั้งจนสามารถมองเห็นได้ทั่วท้องฟ้านั้น จู่ ๆ ก็ลอยสู่ฟ้า ก่อนจะมุ่งตรงไปยังร่างเงาสีเลือดตัวนั้น
ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ พลังที่เตายักษ์ได้ปล่อยออกมาประหนึ่งคลื่นใหญ่ถาโถมก็เข้าปิดล้อมร่างเงาสีเลือดเอาไว้ จนหลบไม่ได้ และหนีก็ไม่ได้!
“หืม?”
ร่างเงาสีเลือดหยุดชะงักในเฉียบพลัน ก่อนจะสัมผัสได้ถึงภัยคุกคาม ชั่วอึดใจนั้นจึงได้เหวี่ยงหมัดออกไป
เพียงชั่วพริบตา ท่ามกลางเสียงคำรามอันน่าสยดสยองของการปะทะกัน ร่างเงาสีเลือดก็เดินโซซัดโซเซราวกับเมาสุราก่อนถอยออกไปมากกว่าสิบจั้งในอากาศ และเกือบจะตกลงมา!