บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 515 ซ่อนความสามารถและชื่อเสียงไว้อย่างลึกล้ำ
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 515 ซ่อนความสามารถและชื่อเสียงไว้อย่างลึกล้ำ
ตอนที่ 515: ซ่อนความสามารถและชื่อเสียงไว้อย่างลึกล้ำ
ตอนที่ 515: ซ่อนความสามารถและชื่อเสียงไว้อย่างลึกล้ำ
ผู้ฝึกตนในนครหลวงต่างตกตะลึง และตระหนักได้ว่าพลังของค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนดูเหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง!
“ลุงทวด!”
ชายหนุ่มผู้มีผมสีม่วงและสวมมงกุฎทองคำบนเรือล่องล้อเมฆาตะโกนลั่น ในที่สุดสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
“เป็นไปได้อย่างไรกัน…”
สตรีในชุดหงส์หยกตื่นตระหนก
“ท่าไม่ดีแล้ว ต้องมีผู้เชี่ยวชาญค่ายกลที่แข็งแกร่งคอยควบคุมอยู่แน่!”
น้ำเสียงของร่างเงาสีเลือดทั้งเยือกเย็นและเฉื่อยชา
ร่างกายเขาถูกปกคลุมไปด้วยเพลิงมาร ตอนที่พูดก็ถูกเตายักษ์ที่มีความสูงเกือบสิบจั้งจัดการเสียแล้ว
แม้เขาจะพยายามหลบสุดความสามารถ แต่ก็ยังถูกทุบจนศีรษะคว่ำลง เขาไม่สามารถสู้กับค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนได้อีกแล้ว
“สารเลว! ตระกูลเซี่ย พวกเจ้าต้องการเล่นอย่างนี้สินะ?”
ร่างเงาสีเลือดโกรธจัด เพลิงมารทั่วร่างโหมกระหน่ำขึ้นไปบนท้องฟ้า น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
ตูม!
แต่ในเวลาต่อมา ร่างกายของเขาก็ถูกของหนักกดทับอีกครั้งจนสั่นคลอนไปทั่วทั้งกาย
ร่างเงาสีเลือดตัวนี้เดิมทีคือจิตดั้งเดิม เมื่อรับการโจมตีซ้ำ ๆ ก็จะทำให้พลังจิตดั้งเดิมของตัวเขาได้รับความเสียหายไปด้วย
“เห็นแล้วหรือไม่ หากค่ายกลแห่งนี้ใช้ถูกวิธี การชำระล้างจิตดั้งเดิมตัวตนขอบเขตสยายวิญญาณก็ไม่ต่างอะไรไปจากแมวเล่นกับหนูเลย”
ขณะที่ซูอี้พูด ฝ่ามือของเขาก็ไม่หยุดเคลื่อนไหว และแสดงกลยุทธ์การควบคุมค่ายกลออกมา
เวิงจิ่วที่อยู่ข้าง ๆ มองอย่างฉงน เขามีสีหน้าละอายใจ
ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขาคิดว่าตนเองคุ้นเคยกับพลังของค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนแล้วเสียอีก
แต่เมื่อได้เห็นวิธีการของซูอี้ จึงตระหนักได้ว่าอะไรคือการเปลี่ยนขยะให้กลายเป็นของล้ำค่า อะไรคือความแตกต่างระหว่างแสงหิ่งห้อยและแสงสว่างของสุริยัน!
“หรือว่า นี่คือพลังที่แท้จริงของค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน?”
ชายวัยกลางคนที่อยู่ไม่ไกลกันนักตกตะลึง หัวใจเต้นระรัว
ยามนึกถึงสิ่งที่ซูอี้พูดก่อนหน้านี้ แม้แต่เขาก็ยังต้องยอมรับ ว่าพวกตนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความสามารถที่แท้จริงของค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนเลย…
แต่สิ่งนี้ไม่ได้สร้างความแปลกใจให้พวกเขาเท่าไร
ค่ายกลแห่งนี้คงอยู่มานับตั้งแต่ยุคโบราณ หลายพันปีไม่เคยเห็นว่าจะใช้งานเลยสักครั้ง และทุกครั้งที่ใช้งานมัน ก็แค่ปลดปล่อยพลังส่วนหนึ่งออกมา เท่านี้ก็สามารถสังหารศัตรูได้แล้ว
กอปรกับการสึกกร่อนจาก ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ เมื่อสามหมื่นปีก่อน ทำให้หลายส่วนของค่ายกลแห่งนี้ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง และเมื่ออยู่ในการควบคุมของพวกเขา จะแสดงความสามารถที่แท้จริงของค่ายกลแห่งนี้ได้อย่างไร?
หากพวกเขาเข้าใจความลึกลับและความลึกซึ้งของมันอย่างถ่องแท้แล้วล่ะก็ แล้วจะไม่รู้วิธีการซ่อมแซมมันได้อย่างไรกัน?
ว่ากันตามหลักแล้ว ค่ายกลขนาดใหญ่แห่งนี้เก่าแก่และเสียหายมากเกินไป หากไม่ใช่ซูอี้ คงเป็นเรื่องยากสำหรับคนอื่นในโลกที่จะควบคุมพลังของค่ายกลดังกล่าวได้
ตูม!
เหนือนครหลวงจิ๋วติ่งแต่ใต้ผืนฟ้ากว้างใหญ่ มีร่างเงาสีเลือดถูกโจมตีอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าอ่อนล้ามาก ทั้งยังทำให้เกิดเสียงตะโกนร้องตกใจมากมายในเมือง
ถึงกระนั้นร่างเงาสีเลือดก็ไม่มีความคิดที่จะหลบหนีหรือยอมแพ้สักนิด
ทันใดนั้นเขาก็ตะโกนเสียงดัง “รั่วเหวิน เอาร่มอสูรกาชิงรื่อออกมา!”
สตรีในชุดหงส์หยกที่อยู่บนเรือล่องล้อเมฆายกมือขึ้น
ร่มกระดูกสีเขียวลอยขึ้นไปด้านบน ก่อนจะตกไปในมือของร่างเงาสีเลือด
ร่มสมบัติชิ้นนี้เปรียบเสมือนดอกลำโพงสีเขียวของปีศาจดอกหนึ่ง ตัวด้ามทำมาจากกระดูกสีแดงสดดุจสีของโลหิต สว่างใสและเปล่งประกาย
ในตอนที่ร่มถูกร่างเงาสีเลือดกางออก—
ตูม!
ในความว่างเปล่าดูเหมือนจะมีสุริยันสีแดงอ่อน จากนั้นดวงโตอันน่ากลัวก็ปรากฏออกมา ก่อนระเบิดออกเป็นแสงสีฟ้าขนาดมหึมา ส่งคลื่นไอมารปีศาจอันไร้ขอบเขตให้พรั่งพรูและแพร่กระจายออกไป
ท้องฟ้าผืนนั้นถูกย้อมด้วยสีแดงเข้มอันน่าสะพรึงกลัว ไอมารหนาแน่น
พลังอันน่าหวาดหวั่นขัดขวางเตายักษ์ที่โจมตีมาจากระยะไกล!
“หนึ่งในเก้าสมบัติอสูรของตระกูลหวนเผ่ามาร ร่มอสูรกาชิงรื่อ!”
ชายวัยกลางคนจ้องมองนิ่งงัน
นี่คือสมบัติอสูรโบราณ แม้ว่าจะอยู่ในวิถีวิญญาณเท่านั้น แต่พลังของมันก็ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก
และเมื่อใช้งาน ‘เพลิงมารชิงรื่อ’ ที่ปล่อยออกมาจากร่มคันนี้ก็สามารถเผาภูเขาและต้มทะเลให้เดือดได้!
แม้ว่าจะเป็นมหาปราชญ์สวรรค์ตัวตนวิถีวิญญาณ หากโดนเพลิงมารชิงรื่อเพียงเล็กน้อย เลือดเนื้อและชีวิตก็จะถูกมันแผดเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านในทันที!
“แค่สมบัติอสูรชิ้นเดียวเท่านั้น”
ซูอี้ส่ายหัวเล็กน้อย แล้วทำการเคลื่อนไหวต่อไป
ภายใต้ผืนฟ้ากว้าง เตายักษ์ที่มีความสูงพันจั้งพลันส่องสว่าง ก่อนแปรเป็นดาบยักษ์ความยาวพันจั้งพร้อมกับแสงขนาดมหึมาฟันลงด้วยความโกรธ
ตูม!!
เพลิงมารชิงรื่อที่ปกคลุมท้องฟ้าถูกดาบยักษ์บดขยี้
ท่ามกลางเปลวเพลิงลุกไหม้ จู่ ๆ ร่มอสูรกาชิงรื่อก็ส่งเสียงคร่ำครวญอย่างหนักออกมา ราวกับว่ามันเกือบไม่สามารถต้านทานการโจมตีของพลังอันน่าสะพรึงกลัวได้แล้ว
สีหน้าของร่างเงาสีเลือดเปลี่ยนไป ไม่กล้าห้าวหาญอีก และเลือกที่จะล่าถอย
ตูม!
แม้ว่าในท้ายที่สุดเขาจะสามารถหลบดาบทำลายล้างเล่มนี้ได้ แต่ร่างกายที่มีจิตดั้งเดิมคอยควบคุมอยู่นั้นได้ถูกเหวี่ยงไปมาอย่างรุนแรงจนเปลี่ยนไปพร่าเลือน
เห็นได้ชัดว่าเจ็บสาหัส!
“บัดซบ! ช่วงเวลาที่ข้าเคยรุ่งเรืองพวกเจ้ายังไม่หย่านมมารดาด้วยซ้ำ! จะเป็นไปได้อย่างไร…”
ร่างเงาสีเลือดโกรธจัด พลางส่งเสียงคำรามลั่นออกมา
แต่เอ่ยได้เพียงครึ่งประโยค พลังของค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของซูอี้ได้เปลี่ยนเป็นแส้ยาวพันจั้ง ก่อนจะโจมตีใส่ซ้ำ!
โครม!!
ราวกับอากาศถูกผ่าออกมาเป็นรอยแตกเล็กแคบ
พลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่มีใครเทียบเทียมได้ ยามที่มันกระแทกลงมา… ก็ได้ทำให้ร่างเงาสีเลือดตื่นตกใจอย่างหนัก!
เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ร่มอสูรกาชิงรื่อต่อต้าน
ตูม!!
ท่ามกลางแสงสว่างสาดส่อง ความโกลาหลได้พัดผ่าน
ร่มอสูรกาชิงรื่อส่งเสียงครวญครางกึกก้องออกมา ผิวร่มที่เหมือนกับดอกลำโพงสีเขียว เกือบขาดออกจากกัน
ร่างเงาสีเลือดที่ถูกการโจมตีเริ่มซวนเซและเลือนราง
“ไป!”
ในที่สุดร่างเงาสีเลือดก็เปล่งเสียงคำรามด้วยความโกรธจัดออกมา ก่อนจะหันหลังกลับไปพร้อมกับร่มอสูรกาชิงรื่อ แล้วหายไปจากนครหลวงจิ๋วติ่งในชั่วพริบตา
ผู้ฝึกตนในเมืองตะลึงงัน
ก่อนหน้านี้ร่างเงาสีเลือดทั้งหยิ่งผยองและทำตัวยิ่งใหญ่ได้แบกเรือล่องล้อเมฆาข้ามฟ้า แสดงอำนาจบาตรใหญ่ไปตลอดทาง
ไม่คิดว่าจะใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น ร่างเงาสีเลือดก็ร่วงหล่นและถูกจัดการจนอับอาย ทั้งยังบาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนทนดูไม่ได้
“หนีหรือ? เมื่อไรกันที่ตระกูลหวนเผ่ามารซึ่งเป็นที่รู้จักในเรื่องใช้อำนาจกดขี่ ชอบอาละวาด จะถูกบังคับให้หนีเอาชีวิตรอด?”
ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่กลัวจนตัวสั่น แทบไม่อยากเชื่อ
“ตระกูลหวนเผ่ามารงั้นหรือ?! โลกเราในทุกวันนี้เทียบไม่ได้กับเมื่อสามหมื่นปีก่อนอีกต่อไปแล้ว และในตอนที่ราชวงศ์แห่งต้าเซี่ยยังคอยดูแลนครหลวงจิ๋วติ่งอยู่ ใครก็ตามที่คิดต่อต้านจะต้องคิดให้หนัก!”
เฉิงผูถอนหายใจ
การต่อสู้ในครั้งนี้ได้ทำให้เขาตระหนัก ไม่ว่ากองกำลังยุคโบราณและผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณจะแข็งแกร่งมากเพียงใด ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงที่ว่า——
โลกในตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนอีกแล้ว!
“แม้แต่ตระกูลหวนเผ่ามารก็ยังถูกขัดขวางและโดนโจมตี หลังจากนี้หากใครคิดจะงัดข้อกับราชวงศ์เซี่ยเหมือนตระกูลหวน คงต้องชั่งน้ำหนักผลที่จะตามมาอีกที”
กู่ชางหนิงกล่าวเบา ๆ
ต้นกำเนิดของราชวงศ์เซี่ย สามารถเท้าความกลับไปเมื่อสามหมื่นปีก่อนได้
ราชวงศ์เซี่ยในเวลานั้นเป็นหนึ่งในสามตระกูลหลักของมหาทวีปคังชิง และบรรพบุรุษอย่าง ‘ราชันย์จิ๋วติ่งอวี่” ก็เป็นหนึ่งใน ‘เก้าราชันย์แห่งคังชิง’!
แม้ว่าเมื่อสามหมื่นปีก่อนมรดกและพลังของตระกูลเซี่ยอาจด้อยกว่าตระกูลหวนเผ่ามารเล็กน้อย แต่บนมหาทวีปคังชิงตอนนี้ ตระกูลเซี่ยได้ขึ้นเป็นผู้ปกครองที่สมควรได้รับเกียรติแล้ว!
สิ่งนี้จึงเรียกได้ว่ากาลเวลาผันผ่าน!
ช่วงเวลาอันมืดมิดและแสนวุ่นวายเมื่อสามหมื่นปีก่อนได้เปลี่ยนไปแล้ว แบบแผนของโลกไม่เหมือนเช่นเคยอีกต่อไป
“จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยในวันนี้สมควรที่จะเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่กล้าหาญที่สุดในโลก! การต่อสู้ครั้งนี้นับว่าทำได้ดียิ่ง!”
หญิงชราทอดถอนใจ “ยิ่งวันที่จัดชุมนุมมวลพฤกษาใกล้เข้ามา นครหลวงจิ๋วติ่งก็ยิ่งมีมวลกระแสน้ำก่อตัวขึ้นสูง ผู้แข็งแกร่งต่างรวมตัว ไม่รู้ว่าตัวตนผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณและผู้เก่งกล้าในยุคปัจจุบันจะรวมตัวกันมากเพียงใด”
“หากคราวนี้ไม่สามารถกดความทะนงตนของตระกูลหวนเผ่ามารได้ เกรงว่าคงทำให้เหล่าผู้อาวุโสและกองกำลังจำนวนไม่น้อยเลิกเคารพและดูแคลนราชวงศ์แห่งต้าเซี่ยได้ หากเป็นเช่นนี้จะต้องทำให้เกิดภัยคุกคามมากมายเป็นแน่”
“ทว่าตอนนี้มันแตกต่างออกไป แม้แต่ตระกูลหวนเผ่ามารก็พบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ ช่วงเวลาต่อจากนี้ไปจะมีใครกล้าสร้างปัญหาในนครหลวงจิ๋วติ่งได้อีกเล่า?”
พอได้ยินเช่นนั้น กู่ชางหนิงก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า
เคาะภูเขาเขย่าพยัคฆ์*[1]
“ตระกูลหวนเผ่ามาร… หลบหนี!”
แววตาของเวิงจิ่วแปลกไป
สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาประหลาดใจ
ร่างเงาสีเลือดตนนั้นทรงพลังมาก แต่เมื่อค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนอยู่ต่อหน้าซูอี้ที่คอยควบคุม มันพลันง่ายดายราวกับไปตบตีเด็กอวดดีบ้านอื่น
“หลังจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าอยากเห็นนักว่าผู้ใดกล้าทำเรื่องไร้สาระในนครหลวงจิ๋วติ่งอีก!”
แม้ไม่คาดคิดว่าค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนที่ตกไปอยู่ในมือของซูอี้จะแสดงพลังอันน่าเหลือเชื่อออกมาเช่นนี้ แต่ผลลัพธ์ก็นับว่าน่าพึงพอใจยิ่ง!
ขณะพูด สายตาก็เหลือบมองไปทางซูอี้ ก่อนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “วิธีการของสหายเต๋าที่เปลี่ยนขยะให้กลายเป็นของล้ำค่าทำให้ข้าได้เปิดโลกจริง ๆ หากในภายภาคหน้าสหายเต๋าปรารถนาสิ่งใด ข้าจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน!”
ซูอี้ส่ายหัว “ข้าแค่ไม่อาจทนดูสิ่งที่พวกเจ้าทำได้… จึงได้ลุกขึ้นมา”
อันที่จริงก่อนหน้านี้เขามีโอกาสสังหารคู่ต่อสู้ แต่ถูกชายวัยกลางคนผู้นี้พูดห้ามเอาไว้
เช่นนี้แล้วซูอี้ก็ไม่สามารถพูดได้ว่าเสียใจหรือไม่เต็มใจดี
อย่างไรก็ตามเขาก็แค่ช่วย ต่อให้ฆ่าหรือไม่ได้ฆ่าอีกฝ่ายก็ตาม
“เช่นนั้นก็พอแค่นี้เถิด ข้าต้องกลับไปพักสักหน่อย หากมีเรื่องอื่นอันใดไว้ค่อยมาวันหลัง”
ว่าจบ ซูอี้ก็หมุนตัวกลับแล้วเหินฟ้าจากไป
การใช้ค่ายกลจองจำขนาดยักษ์แห่งนี้ทำให้สิ้นเปลืองพลังของเขาไปมาก แล้วจะมีกะจิตกะใจมาคอยชี้แนะชายวัยกลางคนว่าควรซ่อมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนอย่างไรอีกหรือ?
ชายวัยกลางคนมองซูอี้ที่หายลับไปจากสายตา ก่อนเบนกลับมาที่เวิงจิ่ว
ในตอนนั้นที่ตัวเขาได้แผ่ความสง่างามอันยิ่งใหญ่ออกมา ดูราวกับกษัตริย์ที่สามารถสั่งเป็นสั่งตายได้ ก่อนจะกล่าว
“เจ้าจงไปบอกตระกูลหวนเผ่ามารเสีย หากพวกเขาเคารพกฎของนครหลวงจิ๋วติ่งได้ ข้าจะปล่อยผ่านเรื่องในอดีต แต่หากพวกเขายืนยันที่จะเป็นศัตรูของราชวงศ์เซี่ย เช่นนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเขาจะเป็นศัตรูของต้าเซี่ยทั้งหมด!”
เวิงจิ่วรับคำสั่งอย่างเกรงกลัว “ขอรับ!”
ในวันนั้นนครหลวงจิ๋วติ่งได้เกิดความเคลื่อนไหว… ล้วนถูกการต่อสู้ในครั้งนี้จุดชนวนขึ้น!
ท้องถนนและตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยหัวข้อสนทนาเกี่ยวกับเรื่องราวในวันนี้
ดุเดือดสะท้านฟ้า!
แต่ถึงอย่างนั้น มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าไม่ใช่ราชวงศ์เซี่ยที่ใช้ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนในการเอาชนะตระกูลหวนเผ่ามารผู้แข็งแกร่ง
แต่สำหรับซูอี้ สิ่งนี้เรียกว่าเสร็จงานแล้วก็จากไป ซ่อนความสามารถและชื่อเสียงไว้อย่างลึกล้ำ …ด้วยสิ่งเหล่านี้ไม่น่าสนใจแม้แต่น้อย!
[1] เคาะภูเขาเขย่าพยัคฆ์ หมายถึงการจงใจทำให้สั่นคลอน