บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 516 จดหมายประหลาด
ตอนที่ 516: จดหมายประหลาด
ตอนที่ 516: จดหมายประหลาด
ห่างจากนครหลวงจิ๋วติ่งไปหลายร้อยลี้
ริมแม่น้ำใหญ่
ชายหนุ่มผมสีม่วงสวมมงกุฎทองมีสีหน้ามืดมนและโกรธจัด เขากัดฟันกล่าวว่า “ตระกูลเซี่ยกล้าดีอย่างไรถึงปฎิบัติกับพวกเราเช่นนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้พวกเราไม่อาจทำเป็นลืมได้!!”
ใบหน้าอันงดงามของหญิงสาวที่สวมชุดหงส์ซีดเผือด หว่างคิ้วของนางมีร่องรอยตื่นตระหนก ก่อนจะเอ่ย “เป็นที่รู้กันว่าในต้าเซี่ยว่า ไพ่ตายที่ทรงพลังที่สุดของตระกูลเซี่ยก็คือค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน แต่ใครจะคิดว่าค่ายกลสังหารซึ่งได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจะยังสามารถปลดปล่อยพลังที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ออกมา…”
มีเสียงอันเยือกเย็นของเงาร่างสีเลือดดังออกมาจากจี้หยกที่ห้อยอยู่ที่คอของชายหนุ่มผมม่วงสวมมงกุฎทอง
“ข้ายืนยันได้ว่าค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนได้รับความเสียหายอย่างหนักจริง ๆ หลังจากใช้อีกไม่กี่ครั้งมันก็ต้องสลายหายไปอย่างแน่นอน ครานี้พวกเราเสียหน้าครั้งใหญ่ ความเกลียดชังนี้ต้องตอบแทนคืนเป็นสิบเท่าร้อยเท่า!”
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความอาฆาตและกระหายเลือด
ในขณะนี้เองพลันมีเสียงแตกของอากาศดังมาจากไกล ๆ
ร่างของเวิงจิ่วพลันปรากฏขึ้นในอากาศ
เขาเหลือบมองไปยังชายหนุ่มที่มีผมสีม่วงและสวมมงกุฎทองและหญิงสาวในชุดหงส์ ก่อนพูดอย่างไร้อารมณ์ว่า “ชายชราผู้นี้มาที่นี่เพื่อถ่ายทอดท่าทีของราชวงศ์เซี่ย”
หลังกล่าวเช่นนั้น เขาก็พูดทวนถ้อยคำของชายวัยกลางคนสวมผ้าดิบ
ในน้ำเสียงของเขาซึ่งไร้ความผันผวน
หลังจากฟังแล้ว หญิงสาวในชุดหงส์ก็มองดูชายหนุ่มผมสีม่วงสวมมงกุฎทองอย่างเป็นกังวล เกรงว่าอีกฝ่ายจะทนต่อการกระตุ้นดังกล่าวไม่ได้และเกิดคลั่งขึ้นมา
ทว่าใครจะคิด! ชายหนุ่มผมม่วงสวมมงกุฎทองเพียงถูแก้มของเขาอย่างแรง จากนั้นจัดเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วโค้งคำนับอย่างให้เกียรติ ก่อนพูดว่า “ข้าวานผู้อาวุโสกลับไปรายงานด้วยว่า หวนเฉ่าโหยว ผู้เป็นทายาทของตระกูลหวนได้จดจำบทเรียนเอาไว้แล้ว!”
แม้แต่น้ำเสียงก็ยังแสดงถึงความเคารพ
แต่เมื่อเห็นท่าทีที่อ่อนน้อมถ่อมตนของหวนเฉ่าโหยว ม่านตาของเวิงจิ่วก็พลันแข็งค้างไปในทันใด
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เวิงจิ่วก็กล่าวขึ้นว่า “ชายชราจะนำคำกล่าวของคุณชายกลับไปทูลให้ทราบ”
หวนเฉ่าโหยวเงยหน้าขึ้น ก่อนเผยสีหน้าซาบซึ้งขึ้นบนใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาและกล่าวว่า “รบกวนผู้อาวุโสเดินทางมาแล้ว หากในอนาคตมีโอกาสข้าจะต้องตอบแทนผู้อาวุโสอย่างแน่นอน!”
คำพูดนั้นดูจริงจังและจริงใจยิ่ง แต่เวิงจิ่วกลับรู้สึกเหน็บหนาวในใจขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล เขามองหวนเฉ่าโหยวอย่างลึกล้ำและกล่าวว่า “นายน้อยโปรดดูแลตนเองด้วย”
หลังจากนั้นเขาก็หันหลังจากไป
เมื่อเห็นเวิงจิ่วหายไป หวนเฉ่าโหยวพลันหัวเราะออกมาและพูดว่า “ดูสิ เห็นได้ชัดว่าตระกูลเซี่ยไม่กล้าต่อกรพวกเรา ไม่เช่นนั้นเหตุใดพวกเขาถึงต้องส่งคนมาชี้แจงเรื่องนี้ด้วย”
“โง่เง่า!”
เสียงด่าทออย่างโกรธเคืองดังออกมาจากจี้หยก “หากพวกผู้อาวุโสในตระกูลเห็นว่าเจ้าหนูเช่นเจ้าเป็นตัวไร้ประโยชน์เพียงใด เกรงว่าพวกเขาคงไม่ทุ่มเทในการสนับสนุนเจ้าหนูเช่นเจ้าขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนายน้อยถึงเพียงนั้น!”
หวนเฉ่าโหยวเงียบไปครู่หนึ่งแล้วหัวเราะ “โลกรู้เพียงว่าตระกูลหวนของเราทรงอำนาจ เอาแต่ใจ และลงมือโดยขาดการยับยั้งชั่งใจ เมื่อคลั่งขึ้นมาก็จะไม่สนใจสิ่งใด แต่ลุงทวดไม่เข้าใจหรือว่าสิ่งที่เรียกกันว่าความคลุ้มคลั่งนั้นไม่ใช่ไม่มีสมอง!”
เสียงในจี้หยกเงียบไปอย่างหาได้ยาก
เห็นเช่นนั้นหวนเฉ่าโหยวก็กล่าวต่อ “ร่างกายของคนตระกูลหวนของเรามี ‘สายเลือดที่แท้จริงของอสูรสวรรค์’ ไหลเวียนอยู่ ทำให้เราอยู่เหนือผู้มีพรสวรรค์ทั่วไป พลังการสังหารฝืนสวรรค์ แต่มันไม่ได้หมายความว่าคนคลั่งในสายตาของผู้คนทั่วโลกอย่างเราจะไร้สมอง บ้าบิ่น หรือโง่เขลา!”
“การคลั่งที่แท้จริงหมายความว่าอย่างไร? มันหมายถึงกล้าทำได้ทุกอย่าง!”
ใบหน้าหล่อเหลาของหวนเฉ่าโหยวเผยความเคร่งขรึม “เมื่อข้าพ่ายแพ้ ตราบเท่าที่อีกฝ่ายไม่สังหารข้า จะให้ข้าคุกเข่าเรียกบรรพบุรุษก็ย่อมได้”
“แต่ตราบใดที่ข้ารอด ข้าสัญญาว่าในอนาคต ไม่เพียงจะให้คนเหล่านั้นคุกเข่าเรียกข้าเป็นบรรพบุรุษ แต่ยังจะสังหารพวกเขาทิ้งอย่างไร้ปรานี!”
หญิงสาวตกตะลึงไปชั่วขณะ นางรู้สึกคล้ายว่าต้องประเมินหวนเฉ่าโหยวเบื้องหน้าใหม่อีกครั้ง
“ฮึ่ม เจ้าหนูอย่างเจ้ายังนับว่าฉลาดอยู่บ้าง”
ในจี้หยก น้ำเสียงที่ไม่แยแสเผยความรู้สึกโล่งใจ “คราวนี้แม้ว่าเราจะล้มเหลวในการบุกเข้านครหลวงจิ๋วติ่ง แต่ข้าเดาว่าในใจเจ้าคงรู้อยู่ก่อนแล้วว่าด้วยภูมิหลังของตระกูลเซี่ย มันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เราจะบุกรุกเข้าไปยังภูเขาเทียนหมาง”
“ไม่ผิด”
หวนเฉ่าโหยวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าแค่อยากลองดูว่าพลังของค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนจะทนไปได้อีกนานแค่ไหน? สุดท้ายนี้ ตระกูลหวนของเราจะมีโอกาสครอบครองนครหลวงจิ๋วติ่งและยึดภูเขาเทียนหมางซึ่งเป็นดินแดนที่ได้รับพรของโลกนี้หรือไม่?”
พูดถึงตรงนี้เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ “แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า… ข้ายังต้องรออีกสักพัก…”
น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเสียใจ
ครอบครองนครหลวงจิ๋วติ่งและยึดภูเขาเทียนหมาง!
หญิงสาวในชุดหงส์ตระหนักในทันใดว่า เบื้องหลังความตั้งใจที่จะบุกเข้าไปในนครหลวงจิ๋วติ่งในวันนี้ของหวนเฉ่าโหยว ยังมีความคิดอื่นแฝงอยู่อีก!
เสียงในจี้หยกดังขึ้น “หยุดพูดเรื่องไร้สาระเสียที ข้าอยากถามแค่ว่าเจ้าจะทำอะไรต่อไป?”
หวนเฉ่าโหยวลูบคาง แววตาของเขาลุ่มลึกขณะพูดว่า “เพื่อไปที่เกาะเซียนพระสุเมรุ พวกเราจะต้องเข้าร่วมชุมนุมมวลพฤกษา ใช่ นอกจากนั้น ข้ายังจำเป็นต้องเลือกผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถจากเหล่าตัวตนยุคโบราณและอัจฉริยะในยุคนี้…”
พูดถึงเรื่องนี้ เขาก็แสดงท่าทางจนใจพลางกล่าว “ช่วยไม่ได้ โลกปัจจุบันกับเมื่อสามหมื่นปีที่แล้วไม่เหมือนกัน มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้แต่ลุงทวดก็เกือบถูก ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ สังหารไปจนเหลือเพียงจิตดั้งเดิม ในอนาคตเมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึง หากตระกูลหวนจะฟื้นคืนความรุ่งโรจน์และทำการครอบครองโลกแต่มีลูกน้องไม่เพียงพอจะทำอย่างไร?”
ผัวะ!
หวนเฉ่าโหยวถูกตบเข้าที่ศีรษะ
เสียงหัวเราะและการดุด่าดังมาจากจี้หยก “ถึงแม้ข้าจะเหลือแค่จิตดั้งเดิม ตราบใดที่ข้าชิงร่างของมหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณมาก็ยังคงสามารถฟื้นฟูพลังกลับไปสู่จุดสูงสุดได้!”
…
สวนน้อยนภาเมฆ
ซูอี้กำลังนั่งขัดสมาธิเข้าฌาณอยู่
ยามที่เขาไปสังหารโจวเฟิงจื่อที่แอ่งเกล็ดทองเมื่อคืนนี้ การฝึกฝนของชายหนุ่มได้มาถึงขั้นกลางของขอบเขตเปิดทวารแล้ว
นอกจากนี้… ตอนนี้เขาไม่มีปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรการฝึกฝน แม้ว่ารากฐานของเขาจะแข็งแกร่งมาก แต่ความก้าวหน้าของการฝึกฝนก็ไม่ได้เชื่องช้าลง
ตามการคาดการณ์ของซูอี้ ด้วยความคืบหน้าเช่นนี้ ภายในเจ็ดวันก็เพียงพอที่จะพัฒนาไปสู่ขอบเขตเปิดทวารขั้นปลายได้
การวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย จากขอบเขตทั้งสามของวิถีต้นกำเนิด ขอบเขตเปิดทวารเป็นเพียงขอบเขตการเปลี่ยนผ่าน การก่อตัวของถ้ำเปิดทวารก็มีไว้เพียงแค่รองรับเมล็ดพันธุ์เต๋าสุดขั้วที่ก่อขึ้นในขอบเขตไร้เบญจธัญ
ด้วยวิธีนี้ เมล็ดพันธุ์เต๋าสุดขั้วจึงจะสามารถรวบรวม ‘ดาราปฐมญาณ’ ได้ในขอบเขตรวบรวมดาราได้
กล่าวโดยสรุปคือ ขอบเขตนี้คือการเชื่อมโยงอดีตและอนาคต
สำหรับการขัดเกลาขอบเขตนี้ แก่นสำคัญอยู่ที่การสะสมของมหาวิถี ซึ่งไม่ได้ยากเย็นอะไร เพียงพยายามฝึกฝนให้หนักก็พอ
ตกเย็น
มีผู้มาเยี่ยมเยือน
อวี๋ซูเหยา เจียงหลี และชิวเหิงคงมาเยือนพร้อมกัน
อวี๋ซูเหยาถือไหสุราเก่าที่ปิดผนึกไว้นับร้อยปีมาด้วย ซึ่งเมื่อเห็นซูอี้ เขาก็ปฏิบัติต่อชายหนุ่มด้วยความเคารพราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ของตน
แน่นอนว่าเขามาคราวนี้ย่อมเพื่อขอคำชี้แนะจากซูอี้
นี่คือสิ่งที่ซูอี้สัญญาไว้ที่โรงหลอมอาวุธ ณ หอมรกตเมื่อวาน
ทว่าการที่เจียงหลีมาที่นี่… เป็นเรื่องที่ซูอี้ไม่คาดคิด
นางมีนัยน์ตาหงส์ที่งดงามและท่วงท่าอันสูงส่งสง่างาม
แต่หญิงสาวในชุดสีม่วงผู้นี้ ยามเผชิญหน้ากับซูอี้ ท่าทีของนางกลับเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
แทนที่ท่าทีหยิ่งหยองและภาคภูมิใจก่อนนี้ นางมีร่องรอยหวาดกลัวและเคารพ
ส่วนชิวเหิงคง…
นักดาบไร้คนเทียบเทียมผู้นี้เคยมีชื่อเสียงในต้าเว่ย แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างหนักที่จะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน
แต่เมื่อเขาได้พบกับซูอี้จริง ๆ เขากลับข่มตัวเองไว้อย่างเมื่อก่อนโดยไม่รู้ตัว
พอตกกลางคืนทั้งสามก็บอกลาและจากไป
อวี๋ซูเหยามีความสุขมาก เขาได้ประโยชน์มากมายจากคำชี้แนะของซูอี้เกี่ยวกับศิลปะการหลอมอาวุธ
เจียงหลีก็โล่งใจเช่นกัน นางมาหาซูอี้เพราะกังวลว่าเรื่องของโจวเฟิงจื่อกับโจวจือเฉียนจะทำให้ซูอี้ถือตระกูลเจียงเป็นศัตรู
แต่หลังจากพูดคุยกัน นางก็ตระหนักได้ว่าซูอี้ไม่ได้คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้เลย…
มีเพียงชิวเหิงคงเท่านั้นที่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
แม้ว่าซูอี้ยังคงถือว่าเขาเป็นสหาย และไม่มีเจตนาที่จะเมินเฉย
แต่ชิวเหิงคงรู้ว่าช่องว่างระหว่างตนเองกับซูอี้นั้นห่างชั้นกันเกินไป… จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกลับไปใกล้ชิดเหมือนเมื่อก่อน!
กลางคืนมืดดุจน้ำหมึก จันทร์กระจ่างล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า
ซูอี้ยากนักที่จะว่าง ดังนั้นเขาจึงสั่งให้หยวนเหิงเตรียมหม้อไฟในคืนนี้เพื่อผ่อนคลาย
เมื่อคิดดูแล้ว ซูอี้เองก็รู้สึกว่าช่วงนี้เขาเหมือนจะยุ่งเกินไป
ตั้งแต่เข้านครหลวงจิ๋วติ่งมาจนถึงตอนนี้ผ่านไปเพียงสี่วันเท่านั้น แต่กลับมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น
ในช่วงสามคืนแรก เขาได้ช่วยเยว่ซือฉานที่ฮ่วนซีชา สังหารฮั่วเทียนตูที่ทะเลสาบชูอวิ๋น และสังหารโจวเฟิงจื่อที่แอ่งเกล็ดทอง…
ในที่สุดคืนนี้ก็มีโอกาสผ่อนคลายอันหาได้ยาก ซูอี้ย่อมนึกอยากพักผ่อน
ในลานบ้าน ของสำหรับลวกต้มและเนื้อแล่บางส่วนถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว น้ำในหม้อบนกองไฟกำลังเดือดปุด ๆ น้ำสีแดงสดใสเผ็ดร้อนส่งกลิ่นหอมยั่วยวนใจออกมา
ซูอี้ เยว่ซือฉาน หยวนเหิง และไป๋เวิ่นฉิง ล้วนนั่งอยู่รอบกองไฟ
เหนือท้องฟ้ายามค่ำคืนขึ้นไปแสนไกลมีแสงจันทร์ส่องลงมาดุจสายน้ำ เป็นภาพที่เงียบสงบงดงามยิ่งนัก
ทว่า ก่อนที่ซูอี้จะได้ขยับตะเกียบก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากไกล ๆ
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยและสั่งการหยวนเหิง “ไม่ว่าเป็นผู้ใดมาก็ไม่ต้อนรับทั้งสิ้น”
หยวนเหิงพยักหน้าและรีบเดินออกไป
ซูอี้จับตะเกียบคีบเนื้อปลาสีขาวใส ขณะเพิ่งโยนมันลงใส่หม้อไฟ หยวนเหิงก็กลับมาแล้ว ก่อนมอบจดหมายปิดผนึกให้
“นายท่าน คนที่มาส่งจดหมายเป็นเพียงคนที่ได้รับการว่าจ้างให้มาทำธุระให้ ส่วนเจ้าของจดหมายฉบับนี้เป็นผู้ใด ตัวผู้ที่มาส่งจดหมายนั้นเองก็ไม่ชัดเจน”
หยวนเหิงกล่าวเสียงต่ำ
ซูอี้แค่นเสียง ก่อนวางตะเกียบลง เขาเปิดผนึกจดหมายอ่าน
หลังจากอ่านเนื้อหาบนจดหมายจบแล้ว คิ้วของเขาก็ขมวดเล็กน้อย ดวงตาลุ่มลึกเปล่งประกายเย็นยะเยือก
“กินกันไปก่อน ข้าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย”
ซูอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวายและเดินออกไปนอกลานเล็ก ๆ ของสวนน้อยนภาเมฆ
สีหน้าของหยวนเหิง เยว่ซือฉาน และไป๋เวิ่นฉิงต่างเปลี่ยนไป พวกเขาตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“นายท่าน ท่านต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?”
หยวนเหิงอดที่จะถามไม่ได้
“คืนนี้อย่าออกไปข้างนอก หากเกิดอะไรขึ้น… หยวนเหิง จงอย่าลืมยันต์ลับที่ข้าให้ไว้”
ซูอี้กล่าวโดยไม่หันศีรษะไปมอง ก่อนร่างของเขาจะเลือนหายไป
ไฟสีแดงที่ลุกโชนสะท้อนถึงให้เห็นสีหน้าสับสนของพวกหยวนเหิงทั้งสาม
นี่… เกิดอะไรขึ้นกันแน่?