บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 517 ดีดนิ้ว
ตอนที่ 517: ดีดนิ้ว
ตอนที่ 517: ดีดนิ้ว
ถนนและตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยโคมไฟที่ดูมีชีวิตชีวาและเจริญรุ่งเรือง
ในเพิงน้ำชา ชายวัยกลางคนในชุดสีเทาที่มีผิวสีเข้มกำลังนั่งดื่มชาอยู่
ทันใดนั้น ซูอี้ในชุดคลุมสีเขียวก็เดินมาที่โต๊ะของวัยกลางคนคนนั้น และพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ว่า “บอกเวิงจิ่วให้ส่งคนมาช่วยข้าดูสวนน้อยนภาเมฆคืนนี้ด้วย”
ร่างชายชุดเทาแข็งทื่อไป เขารีบลุกขึ้นและกล่าวด้วยอาการตกใจว่า “ใต้เท้าซูมองเห็นฐานะของข้าแล้วหรือ?”
“ตั้งแต่วันที่ข้ามาอาศัยอยู่ในสวนน้อยนภาเมฆนี้ เจ้าก็คอยสะกดรอยตามอยู่ที่เพิงน้ำชานี้ ถ้าข้าไม่รู้ว่าเวิงจิ่วส่งเจ้ามา เจ้าคิดว่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ได้รึ?”
ซูอี้พูดจบก็หมุนตัวจากไป
เมื่อเห็นซูอี้หายตัวไป ชายวัยกลางคนในชุดสีเทาจึงไม่กล้าลังเลอีกต่อไปและรีบจากไปทันที
…
“คิดล่อเสือออกจากถ้ำหรือนั่งเฝ้ารอกระต่ายก็ดี กล้าทำลายความสงบสุขของซูผู้นี้ เช่นนั้นก็ต้องทนรับโทสะจากซูผู้นี้ให้ได้!”
ซูอี้เดินไปบนท้องถนนด้วยท่าทางสบาย ๆ และใจเย็นเหมือนเคย
ทว่าในส่วนลึกของนัยน์ตาของเขามีร่องรอยเย็นเยียบอยู่
ในจดหมายที่ส่งถึงเขาในคืนนี้มีข้อความว่า
‘แปดร้อยลี้ทางตะวันออกของนครหลวงจิ๋วติ่ง ลึกเข้าไปในเขาว่านเฮ่อ ขอเชิญสหายน้อยซูมาที่นี่ตามนัดหมายเพียงลำพัง หากเจ้าไม่มา ข้าจะไปเดินเล่นที่ต้าโจวสักรอบ จำไว้ว่าสหายน้อยซูต้องมาคนเดียว’
ในถ้อยคำแฝงไว้ด้วยการข่มขู่และจิตสังหาร!
สำหรับซูอี้ในปัจจุบัน ในโลกนี้ตัวตนที่สามารถนำมาข่มขู่เขาได้จริง ๆ มีเพียงญาติและสหายในต้าโจว
เช่น เหวินหลิงเสวี่ย ฉาจิ่น และคนอื่น ๆ
นี่ถือได้ว่าเป็นเกล็ดย้อนและขีดจำกัดล่างสุดของเขา
ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคนที่เขียนจดหมายฉบับนี้รู้ดีว่ามีเพียงการใช้เรื่องนี้มาข่มขู่จึงจะสามารถทำให้เขาไปตามนัดหมายได้!
ต้องบอกว่าคนที่เขียนจดหมายประสบความสำเร็จแล้ว
ซูอี้สามารถไม่สนใจเรื่องใด ๆ ได้ แต่เขายังต้องใส่ใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของญาติและบรรดาสหายในต้าโจว
ส่วนการที่เขาให้เวิงจิ่วไปดูแลที่สวนน้อยนภาเมฆ เพราะชายหนุ่มกังวลว่าศัตรูคิดใช้กลอุบายเพื่อล่อเสือออกจากถ้ำ ซึ่งจะทำให้หยวนเหิงกับคนอื่น ๆ ตกอยู่ในอันตรายขณะที่ตัวเขาออกไป
‘เหตุการณ์วันนี้ทำให้ข้าคิดได้ เนื่องจากข้ามีศัตรูในต้าเซี่ยมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกมันอาจไม่สามารถทำอะไรกับข้าได้ แต่ก็อาจคิดเริ่มจากคนรอบข้างข้าแทน’
‘หลังจากจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้จบ ข้าต้องคิดหาวิธีกำจัดอันตรายที่ซ่อนอยู่อย่างเบ็ดเสร็จเสียแล้ว’
ซูอี้คิดเกี่ยวกับมันขณะเดินออกจากประตูเมืองของนครหลวงจิ๋วติ่งไป
ฟ้าว!
ร่างของเขาวูบหาย ซูอี้ทะยานขึ้นบนท้องฟ้าแล้วพุ่งตัวออกไปไกล
แม้ว่าค่ำคืนนี้ฝนจะไม่ได้ตก แต่บรรยากาศเย็นเยือกของฤดูใบไม้ร่วงก็ยังคงรุนแรงนัก ดวงจันทร์อันใสกระจ่างที่แขวนอยู่สูงได้ส่องแสงเจิดจ้าลงมา นำพามาซึ่งอากาศเย็นเยียบ
ร่างของซูอี้ท่องผ่านหมู่เมฆา
“ส่งสัตว์อสูรขนล้านเช่นนี้มาจับตาข้า กำลังกังวลว่าข้าจะขอความช่วยเหลืองั้นรึ?”
จิตสัมผัสของซูอี้จับได้อย่างว่องไวว่านับตั้งแต่เขาออกจากนครหลวงจิ๋วติ่งก็ถูกเหยี่ยวอัสนีหิมะติดตามมาห่าง ๆ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เหยี่ยวอัสนีหิมะนี้ถูกส่งมาโดยศัตรู
ซูอี้เพิกเฉยและบินออกไปตามลำพัง
…
ห่างออกไปแปดร้อยลี้
ลึกเข้าไปในเขาว่านเฮ่อ
ณ ยอดเขาที่อยู่ถัดจากหุบเขาลึก
ชายชราร่างอวบอ้วนในชุดเต๋ากล่าวว่า “ศิษย์น้อง เจ้าคิดว่าซูอี้จะมาหรือไม่?”
“ถ้าเขากล้ามา เราจะเด็ดศีรษะของเขากลับไปที่สำนักเพื่อรายงานกับที่ปรึกษา แต่ถ้าเขาไม่มา… พวกเราเองก็ไม่อาจเสียเวลาอยู่ในนครหลวงจิ๋วติ่งอีกต่อไปเช่นกัน”
ข้าง ๆ เขา ชายร่างสูงผอมในชุดคลุมงูเหลือมพูดขึ้นเสียงเบา
“ก็จริง นครหลวงจิ๋วติ่งเวลานี้มีแต่คลื่นใต้น้ำ และสถานการณ์เองก็วุ่นวาย แม้แต่บุคคลที่อหังการเช่นฮั่วเทียนตูก็เสียชีวิตลงอย่างน่าสลดที่ทะเลสาบชูอวิ๋น สิ่งที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือตระกูลฮั่วกลับกล้ำกลืนความโกรธลงไปและลงมือไม่ได้แก้แค้นจริง ๆ นี่มันผิดปกติเกินไปแล้ว!”
ชายชราร่างอ้วนกล่าว “โชคดีที่คนที่เราจะจัดการครั้งนี้เป็นเพียงชายหนุ่มในขอบเขตเปิดทวาร ตราบใดที่เขามาคนเดียวและไม่มียอดฝีมือตามมา ด้วยความแข็งแกร่งของเราสองคนย่อมสามารถสังหารเขาทิ้งได้ตามใจ”
ชายร่างผอมสูงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดผ่านการส่งกระแสเสียงว่า “ศิษย์พี่ แม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่นครหลวงจิ๋วติ่ง แต่เราควรจะระมัดระวังไว้ อย่าได้ไปเชื่อใจคำพูดของฉู่ซิวเสียหมด”
ดวงตาของชายชราอ้วนกะพริบไหว ก่อนพยักหน้า
ในเวลานี้ บนท้องฟ้ายามราตรีอันไกลโพ้น สายรุ้งสีทองก็พลันพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและระเบิดออกราวกับแสงจากดอกไม้โปรยปรายลงมา
“เจ้าหนุ่มนั่นมาตัวคนเดียวจริง ๆ!”
ดวงตาของชายชราร่างอ้วนเป็นประกาย
ชายร่างผอมสูงกล่าวว่า “แม้ว่าวิธีการของฉู่ซิวจะค่อนข้างน่ารังเกียจ แต่ข้าต้องยอมรับว่าวิธีนี้มีประโยชน์มากจริง ๆ”
“เขาอยู่ที่นี่แล้ว!”
ชายชราร่างอ้วนเตี้ยพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่อยู่ไกลออกไป ร่างสูงโผล่ออกมาจากท้องฟ้า เสื้อคลุมสีเขียวเหมือนหยกโบกสะบัด ผู้ที่มาคือซูอี้
เมื่อเขาเห็นคนแปลกหน้าอ้วนผอมสองคน ซูอี้ก็อดที่จะผงะไม่ได้และถามขึ้นว่า “เป็นพวกเจ้าที่วางแผนเชิญข้ามาที่นัดหมายในคืนนี้ใช่หรือไม่?”
ชายชราอ้วนยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “เจ้าไม่ต้องแปลกใจไป ให้ข้าแนะนำตัวเองก่อน ชายชราคือเล่อเฟิง ผู้อาวุโสจากสำนักเต๋าชิงอี่ ถัดจากข้าคือศิษย์น้องของข้า ทิงเฮ่อ ตอนนี้เจ้ารู้รึยังว่าเหตุใดพวกเราถึงเชิญเจ้ามาที่นี่?”
ซูอี้ครุ่นคิดครุ่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ที่แท้ก็เป็นพวกเจ้า”
ในที่สุดเขาก็เข้าใจ
ชายวัยกลางคนสวมผ้าดิบเคยกล่าวว่าในนครหลวงจิ๋วติ่งมีอยู่สามกองกำลังที่ต้องการจัดการกับเขา และหนึ่งในนั้นคือเซียนเล่อเฟิงและเซียนทิงเฮ่อจากสำนักเต๋าชิงอี่
ทั้งคู่มีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นต้นของขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ และเหตุผลที่ทั้งสองต้องจัดการกับเขานั้นก็สืบเนื่องมาจากการตายของลี่เมี่ยวหง!
เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้ ตนเองเคยขอให้ชายวัยกลางคนชุดผ้าดิบกับเวิงจิ่วช่วยปิดกั้นข่าวการสังหารฮั่วเทียนตู เพราะคาดหวังว่าศัตรูอีกสองกลุ่มที่เหลือจะเป็นฝ่ายเสนอส่งตัวเองมาที่ประตู
ไม่เคยคิดเลยว่าจะเรื่องดังกล่าวจะเกิดขึ้นในค่ำคืนนี้
“สหายตัวน้อยรู้ด้วยรึว่าเรากำลังมองหาเจ้าอยู่?”
เซียนเล่อเฟิงชายชราร่างอ้วนเตี้ยพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ถูกต้อง”
ซูอี้พยักหน้า
เซียนเล่อเฟิงขมวดคิ้ว รู้สึกงุนงงเล็กน้อย ก่อนเอ่ย “ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมเจ้าถึงส่งตนเองมาตายในคืนนี้เล่า?”
ดวงตาของซูอี้ดูประหลาดขณะกล่าว “ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่รู้ว่าฮั่วเทียนตูตายไปได้อย่างไรสินะ ก็ถูก ถ้าเจ้ารู้ คืนนี้เจ้าจะกล้าทำเรื่องโง่เง่าเช่นนี้ได้อย่างไร”
ท่าทีที่สงบนิ่งและใจเย็นของเขาทำให้เซียนเล่อเฟิงนึกสงสัยเล็กน้อย
แต่เซียนทิงเฮ่อพลันแค่นเสียงหยัน “เจ้าคงไม่คิดจะพูดว่าฮั่วเทียนตู ตาเฒ่าที่อยู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นกลาง ได้เสียชีวิตด้วยน้ำมือของตัวกระจ้อยในขอบเขตเปิดทวารเช่นเจ้าหรอกนะ?”
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะขบขันและพูดว่า “ต้องขอโทษด้วย แต่ฮั่วเทียนตูถูกข้าสังหารไปจริง ๆ ส่วนเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่สำคัญ”
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดต่อ “ข้าแค่มีเรื่องหนึ่งที่นึกสงสัย ด้วยฐานะเช่นเจ้ากลับใช้วิธีที่น่ารังเกียจเช่นนี้เพื่อข่มขู่ข้าได้อย่างไร? หรือนี่คือ… พฤติกรรมของสำนักเต๋าชิงอี่งั้นหรือ?”
เซียนทิงเฮ่อกล่าวเสียงเย็น “ถ้าเจ้าตกตายลงในคืนนี้ การข่มขู่ที่ว่าย่อมไม่เคยเกิดขึ้นถูกหรือไม่?”
เซียนเล่อเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม “สหายน้อยซู ก่อนที่จะเริ่มลงมือ เจ้าช่วยบอกเราได้หรือไม่ว่าผู้ใดเป็นคนสังหารลี่เมี่ยวหงกัน?”
ซูอี้พูดอย่างไม่แยแส “ได้ เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ลี่เมี่ยวหงเสียชีวิตลงภายใต้เงื้อมมือของอิงเชวีย ผู้ฝึกปีศาจในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ”
ผู้ฝึกปีศาจอิงเชวีย?
ทั้งเซียนเล่อเฟิงและเซียนทิงเฮ่อต่างก็อดที่จะรู้สึกสับสนไม่ได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินนามนี้
“ว่าแล้ว ข้าก็ว่าอยู่ ชายหนุ่มในขอบเขตเปิดทวารจะสามารถฆ่าตัวตนเช่นลี่เมี่ยวหงในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้อย่างไรกัน…”
เซียนเล่อเฟิงแสดงสีหน้าเศร้าสร้อยแล้วถอนหายใจออกมา
“แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้สังหารคน แต่เขาก็ยังตกตายเพราะเจ้า ด้วยฐานะของเราไม่จำเป็นต้องทำให้รุ่นเยาว์อย่างเจ้าอับอาย ตราบใดที่เจ้าให้ความร่วมมือยอมจำนนและกลับไปยังสำนักกับพวกเราแต่โดยดี บางทีเจ้าอาจจะเก็บชีวิตไว้ได้”
เซียนทิงเฮ่อพูดอย่างเย็นชา “มิฉะนั้น อย่าโทษที่พวกเรารังแกเด็กน้อย!”
ซูอี้แค่นเสียง ก่อนพูดอย่างจริงจังว่า “คืนนี้ข้ามีช่วงเวลาผ่อนคลายที่หาได้ยากจึงนึกอยากกินหม้อไฟ แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่าความสนุกของข้าจะถูกทำลายเพราะเจ้า ซึ่งนี่ทำให้ข้าโกรธเคืองยิ่งนัก”
เซียนเล่อเฟิงกับเซียนทิงเฮ่อต่างนึกตกใจ ราวกับว่าพวกเขาไม่สามารถจินตนาการได้ว่าชายหนุ่มจากขอบเขตเปิดทวารกล้าพูดกับพวกเขาเช่นนี้ได้อย่างไร
“เจ้าโกรธแล้วอย่างไรเล่า? คืนนี้เจ้าสามารถพลิกฟ้าได้รึ?”
เซียนทิงเฮ่ออดหัวเราะไม่ได้
“พลิกฟ้าอาจไม่ได้ แต่กำจัดพวกเจ้าสองคนที่ไม่รู้จักที่ตายนั้นง่ายดายยิ่ง”
ซูอี้กล่าว ก่อนพลันทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
“รนหาที่ตาย!”
เซียนทิงเฮ่อแค่นเสียงเย็น เขาโบกแขนเสื้อ ส่งแสงสีเงินขาวศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกไป นำพาซึ่งพลังของขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอันพลุ่งพล่านราวกับว่าทางช้างเผือกที่ตกลงมาสวรรค์ชั้นเก้ามาด้วย
ทว่า พลังที่น่าสะพรึงกลัวที่เพียงพอจะสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตเปิดทวารในโลกนี้ได้สลายหายไปอย่างเงียบ ๆ ต่อหน้าซูอี้ โดยไม่ได้ทำร้ายชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย
ราวกับสายลมพัดผ่าน!
“นี่…”
ม่านตาของเซียนเล่อเฟิงและเซียนทิงเฮ่อพลันหดลง พวกเขาตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“เมื่อเทียบกับฮั่วเทียนตูแล้ว การโจมตีเช่นนี้ของเจ้าด้อยเสียยิ่งกว่าโจวเฟิงจื่อนัก”
ซูอี้เอ่ยอย่างเหยียดหยัน
เมื่อพูดจบ เขาก็เอื้อมมือจับขึ้นในอากาศทันที
ตูม!
ฝ่ามือสีใสขนาดใหญ่ก่อขึ้นบนท้องฟ้า เข้าปกคลุมระยะสิบจั้งรอบตัวเซียนทิงเฮ่อ
“เปิด!”
เซียนทิงเฮ่อแค่นเสียงเย็น ฝ่ามือของเขาฟาดไปยังอากาศอย่างแรง แสงสีเงินอันน่าสะพรึงตกลงมาจากท้องฟ้า จนสร้างความปั่นป่วนขึ้นบนฟ้า ทำให้ทะเลเมฆที่อยู่ใกล้เคียงกระจัดกระจายหายไป
แต่ทว่า พร้อมกับเสียงคำรามดังสนั่น รอยหมัดของเซียนทิงเฮ่อก็เสมือนกระดาษที่ถูกฝ่ามือสีใสขนาดใหญ่ของซูอี้บดขยี้ทิ้งไป
ตูม!!
ฝ่ามือสีใสขนาดใหญ่ยังคงไม่หายไป แต่คว้าจับตัวเซียนทิงเฮ่อไว้ด้วยมือข้างเดียว
ผู้ฝึกฝนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณของสำนักเต๋าชิงอี่ตกใจมากจนวิญญาณของเขาแทบหลุดลอย เซียนทิงเฮ่อพยายามขับเคลื่อนพลังปราณอย่างสุดกำลังในทันที!
แต่ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนขนาดไหนก็ไร้ประโยชน์ ในทางกลับกัน พลังป้องกันของร่างกายและอาวุธป้องกันตัวของเขาล้วนถูกฝ่ามือใหญ่สีใสบดขยี้จนเกิดเสียงปริแตก
ตูม!
หมอกโลหิตระเบิดออก และร่างกายของเซียนทิงเฮ่อก็ถูกบดขยี้ทิ้ง เศษเนื้อและเลือดของเขาสาดกระเซ็นไปทั่ว เช่นเดียวกับดวงวิญญาณของเขาก็แตกสลายและกระจัดกระจายหายไป
ด้วยการคว้าจับเพียงครั้งเดียว ชายหนุ่มสามารถฆ่าผู้ฝึกตนขั้นต้นของขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้อย่างง่ายดาย!
ฉากนองเลือดอันน่าสะพรึงกลัวทำให้ดวงตาของเซียนเล่อเฟิงเบิกกว้างอย่างตกตะลึง
นี่… นี่คือพลังที่ชายหนุ่มที่มีระดับการฝึกฝนอยู่ในขอบเขตเปิดทวารสามารถครอบครองได้อย่างนั้นรึ!?
ความเย็นที่อธิบายไม่ได้ค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปตามกระดูกสันหลังทำให้ร่างที่หมอบอยู่ของเซียนเล่อเฟิงสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม เขาตระหนักได้ว่า… ไม่ดีแล้ว!
ไม่ไกลนัก ซูอี้ดีดนิ้วแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ว่า “ตอนที่เขาลงมือก่อนหน้านี้ เขาประมาทและเสียชีวิตลงก่อนที่จะใช้กำลังทั้งหมด เจ้าอย่าได้ทำเช่นเขาเชียว ภายหลังยามลงมือต้องจำไว้ว่าให้ใช้กำลังทั้งหมดของเจ้าเสีย ไม่เช่นนั้น แม้ว่าข้าจะสังหารเจ้าไป มันก็จะน่าเบื่อยิ่งนัก”
สีหน้าของเซียนเล่อเฟิงเปลี่ยนไป และทันใดนั้นก็พูดขึ้นว่า “สหายเต๋า เจ้าไม่ได้อยากถามรึว่าเหตุใดเราจึงใช้วิธีนี้บีบให้เจ้ามาที่นัดหมาย ตราบใดที่เจ้าหยุดเพียงเท่านี้ ข้าจะบอกความจริงกับเจ้าเดี๋ยวนี้!”