บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 518 ทลายค่ายกล
ตอนที่ 518: ทลายค่ายกล
ตอนที่ 518: ทลายค่ายกล
ซูอี้มองรอบสี่ทิศ ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าหมายความว่า ครานี้มีผู้อื่นสั่งให้กระทำเยี่ยงนี้หรือ?”
เซียนเล่อเฟิงส่ายหน้าอย่างขมขื่น พลางกล่าวว่า “จะว่าเป็นคำสั่งคงมิได้ ศิษย์น้องทิงเฮ่อและข้าเพียงถูกหลอกใช้…”
ซูอี้เลิกคิ้วกล่าว “เล่าให้ข้าฟังซิ”
“คืนก่อน มีชายนามฉู่ซิวมาหาข้าและศิษย์น้องทิงเฮ่อ…”
เซียนเล่อเฟิงสูดหายใจลึก ๆ ทว่าในยามที่เขากำลังจะเล่าเรื่องทั้งหมด เสียงแค่นหัวเราะเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นไกลออกไปท่ามกลางค่ำคืนมืดมิด
“พวกเจ้า ยอดฝีมือในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแห่งสำนักเต๋าชิงอี่ช่างขี้ขลาดเพียงนี้เองหรือ?” เสียงนั้นยังคงดังก้อง…
ก่อนตามมาด้วยเสียงคำรามดังลั่นสะท้านฟ้าดิน!
หลังจากนั้นในทันใด ค่ายกลจองจำสีเลือดก็ผุดขึ้นจากทิวเขารอบทิศ แปรเปลี่ยนเป็นแท่นปทุมโลหิตมารขนาดยักษ์
ร่างผอมบางร่างหนึ่งยืนอย่างภาคภูมิบนแท่นปทุมสีโลหิต สวมอาภรณ์หยกและเข็มขัดกว้าง ใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาเจิดจ้าดุจเพลิงวิญญาณ
“ฉู่ซิว! เจ้าหลบอยู่ที่นี่เอง!”
ดวงตาของเซียนเล่อเฟิงเบิกกว้าง
“หากข้ามิจัดเตรียมสิ่งนี้ไว้ก่อน เจ้าและศิษย์น้องจะจัดการกับซูอี้ได้เช่นไร?”
ฉู่ซิวยิ้มเยาะ
กล่าวพลาง ดวงตาสีเขียวของเขาก็จ้องซูอี้ด้วยรอยยิ้ม “ซูอี้เอ๋ย หลังบอกลากันในทะเลวิญญาณโกลาหล ในที่สุดก็ได้พบพานอีกครา”
“ที่แท้ก็เป็นเจ้า ผู้สิงสถิต” ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย
คราก่อน ในหอเซียนดาบลึกเข้าไปในทะเลวิญญาณโกลาหล ฉู่ซิวเคยนำกลุ่มผู้สิงสถิตเข้ามาจัดเทศกาลละเลงเลือด พยายามสังหารซูอี้และผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ในต้าฉิน
ผลก็คือ ซูอี้สังหารฉู่ซิวและพวกในรวดเดียวโดยใช้ค่ายกลของหอเซียนดาบ
ทว่าหลังจากนั้น ซูอี้จึงรู้ว่าผู้ที่ตนสังหารไปนั้นเป็นเพียงหุ่นเชิดศพ มิใช่ร่างแท้ของฉู่ซิว
แต่ถึงอย่างไร ซูอี้ก็มิได้คาดคิดจะได้พบพานฉู่ซิวอีกคราในที่นี่ยามนี้
หลังจากมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “หุ่นเชิดศพอีกแล้ว ร่างเจ้าอยู่หนใดเล่า ไยจึงเอาแต่ซ่อนมิกล้าออกมาเสียที?”
แววตาของฉู่ซิววูบไหว พลางกล่าวว่า “แค่ฆ่าเจ้า ไยจึงต้องให้ข้ามา? จำต้องใช้ร่างแท้ลงมือด้วยหรือ?”
ทันใดนั้น เขาก็กล่าวขึ้นยิ้ม ๆ “ทว่า เหตุที่ทำไมข้าจึงตั้งค่ายกลในครานี้ ไม่ใช่เพราะข้าต้องการสังหารสหายเต๋าแต่อย่างใด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าใคร่ปรึกษากับเจ้า”
ซูอี้กล่าว “ว่ามา”
ฉู่ซิวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “สหายเต๋าก็ทราบว่าข้าเป็นผู้สิงสถิต หาใช่คนของมหาทวีปคังชิงไม่ และขุมอำนาจที่ข้าสังกัดหวังจะหากลุ่มยอดฝีมือเช่นสหายเต๋าเพื่อร่วมมือกัน”
“ร่วมมือ?”
ซูอี้เลิกคิ้ว
ฉู่ซิวพยักหน้า พลางกล่าวคำออก “ใช่แล้ว ตราบใดที่สหายเต๋าช่วยเรากระทำการ เราจะมิเพียงได้รับผลประโยชน์สม่ำเสมอ ทว่าเมื่ออำนาจของเราขยายข้ามเขตแดนเข้าสู่มหาทวีปคังชิง เรายังสามารถแบกรับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ ครอบครองอำนาจมหาศาลอีกด้วย!”
“ด้วยความสามารถและภูมิหลังของสหายเต๋า การพยายามฝึกฝนเต็มที่ ในภายหน้า อย่าว่าแต่ก้าวสู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณ การจะเอื้อมสู่ขอบเขตจักรพรรดิยังเป็นไปได้!”
ได้ยินเช่นนั้น ซูอี้ก็เอ่ยถาม “ขุมพลังของเจ้าคือที่แห่งใด?”
ฉู่ซิวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “เรื่องนี้บอกเจ้าได้ ขุมอำนาจที่ข้าสังกัดมีนามว่า ‘ตำหนักมารเทียนอวี้’ แห่งมหาทวีปเทียนตู เป็นขุมอำนาจอันดับหนึ่งผู้ทรงอำนาจแห่งมหาทวีปเทียนตูนับแต่โบราณ!”
ในยามเอื้อนเอ่ย น้ำเสียงของเขาเจือไปด้วยความภาคภูมิ
ซูอี้แค่นเสียงหึ ก่อนถามอีกครั้ง “ตำหนักเจ้ามีผู้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิบ้างหรือไม่?”
ฉู่ซิว “…”
ซูอี้ขมวดคิ้วน้อย ๆ ถามว่า “เจ้าปกครองมหาทวีปได้โดยไม่มีกระทั่งผู้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิหรือ?”
มุมปากของฉู่ซิวกระตุกเล็กน้อยจนมิอาจรับรู้ เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าใดนัก ผู้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิคือสิ่งใด? ขุมพลังใดคิดจะมีก็มีได้หรือ?
ฉู่ซิวสูดหายใจลึก ๆ พลางกล่าวว่า “ขอบเขตจักรพรรดิคือสิ่งใด? ทะลวงผ่านสวรรค์ ละล่องเล่นตามแดนดิน หากเทพเซียนที่แท้จริงมีอำนาจทะลุสวรรค์ทะลวงใต้หล้า ตัวตนเช่นนั้นจะหาได้ง่ายได้เช่นไร? ดูมหาทวีปคังชิงทุกวันนี้สิ ลองตอบดูว่ามีผู้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิหรือไม่?”
ซูอี้กล่าวอย่างขุ่นเคือง “ขอบเขตจักรพรรดิแข็งแกร่งเพียงไร ข้ารู้ดีกว่าเจ้า ข้าเพียงไม่คิดว่าขุมอำนาจอันไร้แม้แต่ผู้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิจะกล้าประกาศว่าตนครอบครองมหาทวีปคังชิง การครองโลกช่าง… น่าขัน”
“เจ้า…”
ฉู่ซิวแทบหัวเราะอย่างโกรธเคือง ก่อนจะกล่าวว่า “ซูอี้ เจ้ามีระดับการฝึกฝนอยู่เพียงแค่ขอบเขตเปิดทวาร จะรู้เกี่ยวกับความแข็งแกร่งและลักษณะของขอบเขตจักรพรรดิได้เช่นไร? ยิ่งกว่านั้น แม้นตำหนักมารเทียนอวี้ของข้าจะไร้ผู้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิ ข้าก็ยังมีผู้อยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณ จะมีขุมอำนาจใดในมหาทวีปคังชิงทุกวันนี้เทียบได้บ้าง?”
ซูอี้ถาม “เช่นนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้น ในความคิดเจ้า เทียบกับขุมอำนาจจากมหาทวีปอื่น ๆ ระดับอำนาจของตำหนักมารเทียนอวี้ของเจ้าอยู่ในระดับใด?”
ซูอี้รู้นานแล้วว่าผนังกั้นมิติของมหาทวีปคังชิงติดต่อกับแดนดินอื่น ๆ เกินหนึ่งแห่ง
เหมือนเช่นลัทธิปีศาจแปลงดารา ที่ตั้งอยู่บนดินแดนอื่น ซึ่งมีนามว่ามหาทวีปเทียนหมิง
ฉู่ซิวขมวดคิ้วกล่าว “ข้าไม่รู้เกี่ยวกับขุมอำนาจผู้ฝึกตนแห่งโลกอื่นมากนัก ข้ารู้เพียงว่าจนถึงยามนี้ มีเส้นทางเก้าเส้นสู่มหาทวีปคังชิง ซึ่งหมายความว่าอย่างน้อยที่สุดก็จะมีขุมอำนาจเก้าแห่งจากดินแดนอื่น ๆ และหลังจากแนวกั้นแดนของมหาทวีปคังชิงหายไป พวกเขาจะสบโอกาสข้ามเขตแดนมา”
“เก้า?”
ซูอี้ครุ่นคิด
มันเป็นสิ่งทำนายได้ว่าหากแสงสว่างแห่งโลกกว้างสาดส่องลงมา ผู้ฝึกตนในโลกทุกวันนี้จะไม่อาจต่อกรกับสัตว์ประหลาดโบราณเหล่านั้นได้เลย และยังต้องรับมือกับการรุกรานจากผู้ฝึกตนจากดินแดนอื่น ๆ มากมาย!
เท่านี้ก็จินตนาการได้แล้วว่าสถานการณ์จะอลหม่านเพียงใด
“ซูอี้ ข้ากล่าวในสิ่งที่ควรกล่าวจบสิ้นแล้ว ขอเพียงเจ้ายินยอมร่วมมือกับตำหนักมารเทียนอวี้ของข้า ข้าสัญญาว่าในภายหน้า จะมีวันที่เจ้าจะได้ครองโลก!”
ฉู่ซิวพูดอย่างจริงจัง
ซูอี้กล่าว “หากข้าไม่เห็นด้วยเล่า?”
ฉู่ซิวพูดอย่างจริงจัง “เช่นนั้น คืนนี้จะเป็นคืนฝังกระดูกของเจ้า”
“แค่เพราะค่ายกลจองจำนี้หรือ?”
ซูอี้เลิกคิ้ว
ฉู่ซิวหัวเราะพลางกล่าวคำออก “ซูอี้เอ๋ย ซูอี้ ข้าควรพูดว่าเจ้าช่างอวดดีหรือไม่รู้อันใดแน่หนอ? หนึ่งในค่ายกลสังหารหลักในตำหนักมารเทียนอวี้ของข้าอาจไม่เลิศเลอเทียบเท่าค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนแห่งนครหลวงจิ๋วติ่ง แต่การสังหารผู้ฝึกตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณนั้นแสนง่ายดาย เจ้าคิดว่า… จะยังรอดออกไปได้หรือไร?”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “ใช่”
ฉู่ซิว “…”
เพียงหนึ่งวจี ทว่าเขากลับจุกในลำคอเสียจนแทบพูดไม่ออก
สีหน้าของเขาหม่นคล้ำ จากนั้นก็สะบัดโบกแขนเสื้อ “สุราคารวะไม่ดื่ม คิดดื่มสุราลงทัณฑ์! บอกให้เจ้ารู้ก่อนแล้วกันว่าค่ายกลสังหารมังกรโลหิตนั้นแข็งแกร่งยิ่ง!”
ตู้ม!
แสงมารสีแดงเลือดสาดส่องสู่นภา มวลคีรีสะท้านไหว
พลังอักขระหนาแน่นผุดขึ้นจนเห็นได้ชัด เปลี่ยนโลกาให้ดูราวแดนอเวจี ชางหลงสีชาดพุ่งทะยาน เชิดคอกู่คำราม แผ่คลื่นพลังกระเพื่อมทลายสวรรค์กระเทือนโลกา
ร่างของฉู่ซิวหายลับไปจากค่ายกลจองจำก่อนแล้วหนึ่งก้าว เหลือเพียงซูอี้และเซียนเล่อเฟิง
“จบแล้ว!”
เซียนเล่อเฟิงหน้าซีดเซียว นัยน์ตาเปี่ยมความกลัว
ซูอี้เหลือบมองเซียนเล่อเฟิง เมินเขา ก่อนจะสาวเท้ายาว ๆ ห่างออกไป
ตู้ม!
ชางหลงสีชาดซึ่งก่อร่างจากค่ายกลจองจำพุ่งเข้าใส่ ดุร้ายถมึงทึง นำพาพลังมารโลหิตอันน่าหวาดสะพรึงมากับมัน ง่ายนักหากต้องการสยบผู้ที่อยู่ในวิถีวิญญาณ
ซูอี้ไม่ลังเล
มันก็แค่ค่ายกลจองจำ ไม่จำเป็นต้องทุ่มพลังต่อสู้สุดแรง
ชิ้ง!
เห็นเช่นนั้น ร่างของซูอี้ก็วูบไหว เขาใช้วิชาหลบหนีทะยานเวหาหลบการโจมตีอย่างง่ายดาย และยังคงพุ่งไปเบื้องหน้าอย่างต่อเนื่อง
ตู้ม!
เกิดเสียงคำรามลั่นราวเดือดดาล ชางหลงสีชาดพุ่งเข้าใส่ซูอี้อย่างกระชั้นชิด
ภาพเหล่านั้นมากพอจะทำให้ผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณสั่นเทา
ด้วยความเร็วการเคลื่อนร่างของซูอี้ เมื่อเขาขยับไปเบื้องหน้า เขาจะหลบทุกการกระหน่ำโจมตีได้เสมอในยามต้านรับไม่ได้
เมื่อมองจากไกล ๆ ร่างของเขาดูราวกับคลื่นสายฟ้าไร้ลักษณ์ บางครั้งขยับมาเบื้องหน้า บางคราถอยหลบ เลี้ยวอ้อม จนมิอาจประมาณทิศทางได้
อันที่จริง สำหรับซูอี้ อำนาจของค่ายกลจองจำเช่นนี้ไม่ได้แข็งแกร่งมากเกินไปอันใดเลย ขอเพียงเขาจับจุดแรกของมันได้ เขาก็จะหลบมันอย่างง่ายดายราวเป็นเพียงสิ่งของตกแต่ง
ไม่นานนัก ซูอี้ก็โบกแขนเสื้อ
ตู้ม!
แสงกระจ่างจ้าเปลี่ยนเป็นปราณดาบไร้เทียมทาน ฟาดฟันอำนาจพันธนาการสีแดงเลือดไกลออกไป
ท่ามกลางแสงสว่างและสายฝนที่ระเบิดออก หนึ่งรอยร้าวพลันปรากฏขึ้นบนค่ายกลจองจำสีเลือด
ร่างของซูอี้วูบไหว พุ่งออกไปจากรอยร้าว
“ไม่—!”
ทันทีที่ซูอี้ทลายค่ายกลสังหารมังกรโลหิต เสียงกรีดร้องแหลมสูงอันสิ้นหวังก็ดังออกมาจากค่ายกล
ซูอี้หันไปมอง และพบร่างของเซียนเล่อเฟิงที่ถูกร่างมหึมาของมังกรโลหิตบดขยี้ และสิ้นใจทันที
บุคคลผู้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นต้นได้สิ้นชีพลง!
“ทำตนเอง จะโทษผู้ใดได้?”
ซูอี้รำพึงในใจพลางส่ายหน้า
เขามองห่างออกไปไม่ไกลนัก
ใต้นภารัตติกาล ฉู่ซิวยืนอยู่เหนือหุบเขา ในมือถือยันต์กลไกสีดำแผ่นหนึ่ง โดยใช้มันควบคุมมหาค่ายกล
เมื่อเขาเห็นซูอี้ทลายมหาค่ายกลออกมา ฉู่ซิวพลันรู้สึกราวถูกอสนีบาตฟาด เสียงแหบหาย “เจ้า… เจ้าออกมาได้เยี่ยงไร?”
ซูอี้พูดอย่างไม่ยี่หระ “แน่นอน เดินออกมาสิ”
ฉู่ซิวเบิกตากว้าง สายตาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ “เป็นไปไม่ได้! ภายใต้เขตค่ายกลสังหารมังกรโลหิต กระทั่งบุคคลในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณยังไม่อาจหนีพ้น เจ้าจะออกมาได้เช่นไร?”
ซูอี้ยิ้ม พลางกล่าวว่า “แต่ข้าก็เดินออกมาได้ เจ้าว่ามันแปลกหรือ”
ว่าพลาง เขาก็เหยียบลงบนอากาศ เดินเข้าไปหาฉู่ซิว
ฉู่ซิวไม่กล้าลังเล จากนั้นเขาจึงหันหลังวิ่งหนีไป
สิ่งที่เขาพึ่งพามากที่สุดคือค่ายกลสังหารมังกรโลหิตนี้ ทว่ามันกลับไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับซูอี้ ดังนั้นสิ่งใดเล่าจะทำให้เขากล้าอยู่ต่อ?
“ก็แค่หุ่นเชิดศพ หาใช่ร่างจริงของเจ้าไม่ เจ้ายังกลัวตายอีกหรือ?”
ในขณะที่เสียงอันเฉยเมยของซูอี้ถูกเปล่งออก ปราณดาบก็ทะยานเมฆา ฉีกกระชากท้องนภาค่ำคืน ฟันใส่ฉู่ซิว
ตู้ม!
ปราณดาบแข็งแกร่ง ส่องสว่างพร่างพราวสู่ทิวเขา
คนเยี่ยงฮั่วเทียนตูและโจวเฟิงจื่อไม่ใช่คู่ต่อกรของซูอี้อีกต่อไป แล้วหุ่นเชิดศพอย่างฉู่ซิวเล่า?
เมื่อเขาเห็นปราณดาบฟาดลงใส่ เขาไม่มีกระทั่งเวลาจะขัดขืน ร่างของเขาจมลงไปท่ามกลางปราณดาบไพศาล ก่อนจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงราวถูกฉีกกระชาก
ร่างของซูอี้ลอยเข้ามาหา ยกมือขึ้นหยิบยันต์กลไกที่ร่วงหล่นลงบนอากาศ มองมันผ่าน ๆ ก่อนจะพยักหน้า
โชคดีที่ค่ายกลนี้ยังไม่พังทลาย
เรื่องในคืนนี้แม้จะแย่สักหน่อย แต่หากได้รับ ‘ค่ายกลสังหารมังกรโลหิต’ นี้มา ก็คงพอปลอบใจได้บ้าง
ในขณะที่ครุ่นคิดถึงมัน ซูอี้ก็เริ่มลงมือ