บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 519 หยุดหายนะก่อนทันอุบัติ
ตอนที่ 519: หยุดหายนะก่อนทันอุบัติ
ตอนที่ 519: หยุดหายนะก่อนทันอุบัติ
นครหลวงจิ๋วติ่ง
นอกสวนน้อยนภาเมฆ
ราชองครักษ์ผู้ฝึกตนแห่งราชวงศ์เซี่ยกลุ่มหนึ่งประจำการอยู่ที่นี่ ปิดกั้นบริเวณโดยรอบอย่างสมบูรณ์
“ดูสิ สหายเต๋า นี่คือเศษซากจากศพของศัตรู มันดู… ไม่เหมือนมนุษย์จริง ๆ”
เวิงจิ่วยกหัวกะโหลกแตกร้าวชิ้นหนึ่งมาตรงหน้าซูอี้
ซูอี้มอง จากนั้นกล่าวว่า “นี่คือเศษหุ่นเชิดศพ ข้ารู้แล้วว่าศัตรูคือผู้ใด”
ก่อนหน้านี้ เขาเพิ่งกลับมาจากนอกเมือง จากนั้นจึงพบเวิงจิ่วและกลุ่มราชองครักษ์ประจำการที่นี่
หลังจากสอบถามเล็กน้อย เขาก็ได้รับรู้ว่าเมื่อคืน ยามที่ออกจากสวนน้อยนภาเมฆได้ไม่นาน ชายชุดดำผู้หนึ่งได้เข้ามาใกล้สวนน้อยนภาเมฆ พยายามปีนกำแพงเข้ามา ทว่าเวิงจิ่วจับเขาไว้ได้
หลังจากประมือกันช่วงสั้น ๆ ชายชุดดำก็ถูกสังหารทันที
ยามนี้ เมื่อได้เห็นซากศพที่หลงเหลือของชายชุดดำ ซูอี้จะไม่รู้ได้เช่นไรว่าอีกฝ่ายเป็นหุ่นเชิดศพของฉู่ซิว?
กล่าวอีกนัย แผนในคืนนี้ของฉู่ซิวก็คือลวงเสือออกจากถ้ำเพื่อรอดักกระต่าย เจตนาของเขาอำมหิตยิ่ง
หากไม่ใช่เพราะซูอี้เตรียมการไว้ล่วงหน้า ขอให้เวิงจิ่วมาช่วยดูแลสวนน้อยนภาเมฆ เกรงว่าลำพังความแข็งแกร่งของหยวนเหิงและเยว่ซือฉานคงไม่อาจต่อกรหุ่นเชิดศพของฉู่ซิวได้เลย!
“ที่แท้ก็เป็นหุ่นเชิดศพ”
เวิงจิ่วอดสะเทือนใจไม่ได้
ซูอี้กล่าวว่า “นามของเขาคือฉู่ซิว ผู้สิงสถิตจาก ‘ตำหนักมารเทียนอวี้’ แห่งมหาทวีปเทียนตู ระดับฝึกฝนของเขาน่าจะอยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ”
เวิงจิ่วแสดงสีหน้าจริงจัง กล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นเขา”
ซูอี้กล่าวอย่างแปลกใจ “เจ้าก็รู้จักคนผู้นี้หรือ?”
เวิงจิ่วกล่าว “ยามนี้ ราชวงศ์แห่งต้าเซี่ยกำลังรวบรวมผู้คนเพื่อจัดสร้างทำเนียบผู้สิงสถิต ซึ่งมีนามของฉู่ซิวรวมอยู่ด้วย ทว่าเรามีข้อมูลเกี่ยวกับคนผู้นี้น้อยนัก หากไม่ใช่เพราะสหายเต๋าเอ่ยเตือนสติ ข้าคงไม่มีวันคิดฝันว่าฉู่ซิวจะแข็งแกร่งเพียงนี้”
“แข็งแกร่ง? อย่าใช้คำเช่นนั้นเลย เขาก็แค่สารเลวที่ชอบเร้นกายในเงาเท่านั้น”
ซูอี้กล่าวอย่างรังเกียจ
เวิงจิ่วครุ่นคิด จากนั้นจึงกล่าวว่า “สหายเต๋า การซ่อนจากอาวุธลับนั้นง่าย ทว่าเจ้าอยากเปลี่ยนที่พำนักหรือไม่?”
ซูอี้โบกมือ พลางกล่าวว่า “ไม่ล่ะ ข้าอยากให้ฉู่ซิวกล้าพอจะมาหาข้าถึงที่อีกครา แต่จากลักษณะนิสัยของคนผู้นี้ หลังจากประสบเรื่องที่เกิดขึ้นชั่วคืน ข้าเกรงว่าคงหนีออกจากนครหลวงจิ๋วติ่งไปแล้ว”
หลังชะงักไปครู่หนึ่ง ซูอี้ก็มองเวิงจิ่วและกล่าวว่า “ขอบคุณมากสำหรับคืนนี้”
เวิงจิ่วรีบตอบรับว่า “การบรรเทาทุกข์ของสหายเต๋าคืองานของตาเฒ่าผู้นี้”
ซูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด “ข้ามีบางสิ่งต้องรบกวนเจ้า”
เวิงจิ่วสะดุ้ง กล่าวอย่างใจกล้าทันควัน “ขอสหายเต๋าแจ้งให้กระจ่าง ตราบใดที่ตาเฒ่าผู้นี้ทำได้ ข้าสัญญาจะไม่ปฏิเสธ”
ซูอี้ถาม “ด้วยระดับฝึกฝนของเจ้า จะส่งข่าวถึงต้าโจวต้องใช้เวลาเท่าใด?”
เวิงจิ่วครุ่นคิดสักพัก จึงตอบว่า “หากใช้เคล็ดวิชาลับบ้าง สามวันคงพอจะส่งข่าวของสหายเต๋าสู่ที่ใดก็ตามในเขตต้าโจวได้”
“สามวัน?”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย
เวิงจิ่วอธิบาย “ต้าโจวห่างไกลเกินไป ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณรีบเร่งสุดฝีเท้า พวกเขาก็คงมิอาจไปถึงได้ในสิบวันหรือครึ่งเดือน ตาเฒ่าผู้นี้มิได้กำลังโอ้อวด หากเป็นขุมอำนาจใด ๆ ในต้าเซี่ย แม้จะเป็นเพียงการถ่ายทอดข้อความ สามวันก็คงจะไม่พอ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะกระจายข่าวสู่ต้าโจวในสามวัน”
ซูอี้ครุ่นคิด หยิบม้วนหยกโบราณว่างเปล่าขึ้นมาหนึ่งม้วน จารึกมันด้วยจิตสัมผัส ไม่นานนัก เขาก็ส่งม้วนหยกแก่เวิงจิ่ว แล้วกล่าวว่า “เริ่มส่งข่าววันนี้ มอบมันให้เจ้าตำหนักเทียนหยวนหนิงซือฮวาให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้”
หลังจากได้รับข่าว พวกเขาก็คงพาญาติสนิทมิตรสหายเดินทางไปยังหอเซียนดาบซึ่งลึกเข้าไปในทะเลวิญญาณโกลาหล
ที่แห่งนั้นเป็นโลกด้วยตัวมันเอง ซึ่งถูกปกคลุมด้วย ‘ค่ายกลผนึกเก้าสวรรค์’ ซึ่งจักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียน บรรพชนแห่งหอเซียนดาบจัดตั้งไว้
เมื่อซูอี้ออกจากต้าโจว เขาก็ส่งตราประทับกระดูกขาว ซึ่งใช้ควบคุมค่ายกลแก่หนิงซือฮวา
ขอเพียงเหล่าญาติสนิทมิตรสหายซ่อนตัวในซากปรักหังพังของหอเซียนดาบ จะเป็นไปไม่ได้เลยหากศัตรูจะใช้พวกเขามาข่มขู่ในภายหน้า
“ได้!” เวิงจิ่วยื่นมือออกไปรับมัน
ทันใดนั้น ซูอี้ก็หยิบม้วนหยกโบราณว่างเปล่าขึ้นมาอีกหนึ่งม้วน จารึกภาพของฉู่ซิวลงไป ส่งให้เวิงจิ่ว “นี่คือโฉมหน้าของฉู่ซิว หากพบเขา ข้าจะปูนบำเหน็จอย่างงาม”
ฉู่ซิวกล้าใช้ญาติมิตรของเขาในต้าโจวมาขู่ และล่วงเกินบรรทัดฐานของซูอี้ เขาย่อมไม่ปล่อยอีกฝ่ายไป
เวิงจิ่วกล่าวอย่างเคร่งขรึม “สหายเต๋า ขอเพียงพบตัวฉู่ซิวผู้นี้ได้ ตาเฒ่าจะเอาหัวของเขามาให้แน่!”
ไม่นาน เวิงจิ่วก็พาพรรคพวกจากไป
หลังจากซูอี้กลับมาถึงสวนน้อยนภาเมฆ เขาก็เรียกหยวนเหิงมาหา
“หยวนเหิง วันพรุ่ง เจ้านำดาบนี้ไปเดินแถว ๆ ผามังกรด้วนที”
ซูอี้ส่งดาบสุดแดนดินที่เขาตีขึ้นเมื่อกลับชาติให้แก่หยวนเหิง
“เมื่อพบอิงเชวีย บอกเขาให้นำดาบนี้เดินทางไปยังทะเลวิญญาณโกลาหลทันที และไปซุ่มอยู่แถวทางเข้าของหอเซียนดาบเสีย”
ซูอี้เอ่ยสั่ง “หากพบผู้ฝึกตนใดกล้าบุกรุกเข้ามาในบริเวณหอเซียนดาบ… ฆ่าทันที”
หยวนเหิงรับคำสั่งอย่างยำเกรง
เมื่อถึงจุดนี้ ซูอี้ก็ผ่อนคลายลงมาก
มังกรดำอิงเชวียแห่งผามังกรด้วนเคยติดหนี้เขาไว้ครั้งใหญ่
ครานี้ อิงเชวียถูกขอให้ไปยังต้าโจวและซ่อนตัวอยู่นอกหอเซียนดาบ ซึ่งมิต้องสงสัยว่าจะเป็นการเพิ่มการคุ้มกันให้หนิงซือฮวา ฉาจิ่น และพวกเหวินหลิงเสวี่ยอีกชั้น
ต่อไป ซูอี้ก็นำขบวนธงออกมาอีกชุด
ขบวนธงนี้มีธงทั้งหมดร้อยแปดผืน แต่ละด้านวาดอักขระต่าง ๆ กัน หากจะตั้งค่ายกลสังหารมังกรโลหิตก็ทำได้เพียงวางมันลง
มูลค่าของมหาค่ายกลซึ่งสามารถสังหารผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้นั้นย่อมเหนือธรรมดา
มีเพียงขุมอำนาจผู้ฝึกตนระดับสูงสุดในต้าเซี่ยเท่านั้นจึงจะสามารถจัดเรียงค่ายกลจองจำเยี่ยงนี้ได้
คืนนี้ ฉู่ซิวเสียหุ่นเชิดศพสองตัวและชุดค่ายกลสังหารเช่นนี้ ราคาอันหนักหนาอาจเพียงพอให้เขาทุกข์ทนอยู่นานแน่!
ไม่นานนัก ซูอี้ก็จัดเรียงค่ายกลรอบ ๆ สวนน้อยนภาเมฆสำเร็จ
การสร้างค่ายกลเช่นนี้ต้องใช้พลังใจ
ทว่าเรื่องนี้หยุดซูอี้ไม่ได้ เมื่อเขาจัดเรียงค่ายกล ชายหนุ่มก็ได้สับเปลี่ยนฐานค่ายกลของมันแล้ว คราแรกที่เขาใช้งานมัน เขาก็สามารถสื่อสารกับพลังในค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน ใช้มันเพื่อปลดปล่อยพลังของค่ายกลนี้
กล่าวสั้น ๆ คือ ซูอี้ใช้ ‘ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน’ เป็นแหล่งกำเนิดพลังเพื่อใช้งาน ‘ค่ายกลสังหารมังกรโลหิต’
แม้ไม่อยากทำนัก…
ทว่าไร้หนทางอื่น ซูอี้ไม่ต้องการเสียหินวิญญาณมากมายเพื่อค่ายกลอันใหญ่โตเพียงนี้
แม้ว่าพวกเวิงจิ่วอาจรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็คงไม่กล้าพูดอะไรอยู่ดี…
“แม่นางไป๋ การดูแลค่ายกลนี้ยกให้เจ้า หากข้าไม่อยู่แล้วมีผู้พยายามบุกรุกสวนน้อยนภาเมฆเพื่อก่อความโกลาหล จงใช้ค่ายกลนี้ฆ่าพวกเขาได้เลย”
ซูอี้ส่งค่ายกลให้กับไป๋เวิ่นฉิง
ไป๋เวิ่นฉิงรีบร้อนรับมันไปและพยักหน้า
“ศิษย์พี่ซู แล้วข้าเล่า ข้าช่วยอันใดท่านได้หรือไม่?”
เยว่ซือฉานอดถามไม่ได้
“ตามข้ามาที่ห้อง”
ซูอี้หันเดินไปยังกระท่อมน้อย
เยว่ซือฉานนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “ท่านจะทำอันใด?”
“แน่นอน รักษา”
ซูอี้ไม่เหลียวมองหลัง
“…”
ใบหน้าขาวดั่งหยกของเยว่ซือฉานร้อนผ่าวกะทันหัน ดวงตาเป็นประกายของนางแสดงความเขินอายออกมาอย่างไม่อาจควบคุม