บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 52 หลิงปัวฝ่าคลื่นน้ำ หนึ่งหมัดตื่นตะลึง
ตอนที่ 52 หลิงปัวฝ่าคลื่นน้ำ หนึ่งหมัดตื่นตะลึง
บนสังเวียน
เหวินเจวี๋ยหยวนกล่าวเย็นชา “ความแข็งแกร่งของเจ้าพัฒนาขึ้นมากก็จริง แต่ต่อหน้าข้าแล้ว มันยังไม่เพียงพอหรอก!”
หวงเฉียนจวินเช็ดเลือดตรงมุมปาก ก่อนจะฝืนลุกขึ้นพูดด้วยเสียงแหบแห้งแต่มุ่งมั่น “ข้ามั่นใจว่าอีกไม่เกินหนึ่งปีนับจากนี้ ข้าจะนำเหนือเจ้า!”
จากนั้นเขาก็หันกลับเดินออกจากสังเวียนไป
เหวินเจวี๋ยหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย และส่ายหน้าด้วยอาการไม่พอใจ
ก็แค่คำพูดห้าวหาญจากคนแพ้
หาได้มีค่าแต่อย่างใด
หวงเฉียนจวินเดินโซเซไปที่ข้างหวงอวิ๋นชง ก่อนจะประสานมือพร้อมกับโค้งตัว “ท่านพ่อ ข้าทำได้แค่นี้ หวังว่าท่านจะไม่ผิดหวัง”
หวงอวิ๋นชงลุกขึ้นกอดไหล่ของหวงเฉียนจวินไว้แน่น ใบหน้ามีแต่ความโล่งอกและภาคภูมิ พลางเอ่ยคำออก
“ไม่นึกว่าลูกจะอยู่รอดจนถึงตอนนี้ ถึงพ่ายแพ้ เกียรติก็ยังคงมีอยู่!”
หวงเฉียนจวินยิ้มรับ
เขามองไปรอบด้าน แต่ก็ต้องผิดหวังที่ไม่เจอคนที่อยากพบเจอมากที่สุดในขณะนี้
ทั้งในและนอกสนามประลอง เสียงโห่ร้องยังคงดังให้เหวินเจวี๋ยหยวนต่อไป
ในฝั่งนี้ของเมืองกว่างหลิง ไม่ว่าจะเป็นคนที่ชมการต่อสู้จากบนเรือในแม่น้ำ หรือคนทั่วไปที่ยืนริมฝั่งแม่น้ำเพื่อชมฉากที่มีชีวิตชีวา ทั้งหมดต่างพูดคุยกันอย่างเผ็ดร้อน
เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ต่างถอนหายใจ “ด้วยรูปการณ์แบบนี้ อันดับหนึ่งในงานประลองประตูมังกร คงต้องตกเป็นของตระกูลเหวิน”
บางคนลูบเคราพลางหัวเราะ “เรื่องปกติ อย่างไรเขาก็เป็นศิษย์สายในของสำนักดาบชิงเหอ หากชนะเป็นที่หนึ่งไม่ได้ก็เป็นเรื่องน่าขำ!”
“ศิษย์พี่หนี ท่านคิดเห็นอย่างไรต่อศิษย์พี่เหวิน? แม้วันนี้เขาช่างโดดเด่น แต่ในความคิดของข้า ท่านไม่ได้ด้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย”
ดวงตางามของหนานอิ่งแนบใกล้หูของหนีเฮ่าก่อนกระซิบเบา ลมหายใจประหนึ่งกลิ่นกล้วยไม้
เมื่อมองรูปโฉมงดงามตรงหน้า ได้กลิ่นหอมจากสาวงาม ใจของหนีเฮ่าก็ลุกเป็นไฟ
สีหน้าของเขาแสดงความภาคภูมิในตนเอง “เหวินเจวี๋ยหยวนเป็นศิษย์ของตำหนักตะวันตก ส่วนข้าเป็นศิษย์ของตำหนักตะวันออก ศิษย์น้องจะเทียบข้ากับเขาได้อย่างไร? หากข้าลงไปประลองก็คงจะล้มเขาโดยง่ายดาย”
หนานอิ่งยิ้มเล็กน้อย สายตาเต็มไปด้วยความเสน่หา “ที่ข้าชอบมากที่สุดก็คือความมั่นใจในตัวของศิษย์พี่หนี มันคือความกล้าหาญที่บุรุษพึงมี”
หนีเฮ่าเผยท่าทีผ่อนคลาย แต่ก็ทอดใจ “น่าเสียดายที่ในครั้งนี้เราเป็นแค่แขก ตามกฎแล้วคนที่ไม่ได้มาจากเมืองกว่างหลิงกับเมืองลั่วอวิ๋นจะเข้าร่วมไม่ได้ หากไม่ใช่ข้าจะแสดงให้ศิษย์น้องดูเองว่าในสิบกระบวนท่านั้น ข้าจะเอาชนะเหวินเจวี๋ยหยวนได้อย่างไร!”
ฝั่งเมืองลั่วอวิ๋นเองก็มีการพูดคุยไม่น้อยเช่นกัน
“เหวินเจวี๋ยหยวนแข็งแกร่งขนาดนี้เลยงั้นหรือ?”
“ทั้ง ๆ ที่เป็นศิษย์สายในแห่งสำนักดาบชิงเหอแล้ว แต่ยังมาเข้าร่วมงานประลองประตูมังกรแบบนี้ ไม่นับเป็นการรังแกหรือไร?”
“เฮ้อ… หรือว่าอันดับหนึ่งในงานประลองประตูมังกรนี้จะโดนพวกเมืองกว่างหลิงชิงไปจริง ๆ?”
…ในขณะที่ฝั่งเมืองกว่างหลิงกำลังตื่นเต้น ฝั่งเมืองลั่วอวิ๋นต่างถอนหายใจ
บรรดาคนหนุ่มสาวหลายคนที่เดิมตั้งใจมาร่วมประลองเริ่มถอนตัว และไม่กล้าก้าวมาด้านหน้า
“เมืองลั่วอวิ๋นไร้ผู้ใดกล้าท้าประลองแล้วงั้นหรือ? อย่างนั้นอันดับหนึ่งตกแก่เหวินเจวี๋ยหยวนจากเมืองกว่างหลิงของเราแล้ว!”
ในฝั่งเมืองกว่างหลิง ผู้ยิ่งใหญ่บางคนเอ่ยคำ
เสียงฮือฮาดังตามมา
เป็นผลให้ใบหน้าผู้ยิ่งใหญ่จากเมืองลั่วอวิ๋นปั้นยาก
มีเพียงเจ้าเมืองลี่เจี้ยนอวี่ผู้เดียวที่ยังคงอาการสงบ
กระนั้นแล้ว เมื่อพบเห็นเรื่องราวฉากนี้ เขาครุ่นคิดไปครู่ ก่อนจะเอ่ยคำกับโม่เฮ่าหลงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลโม่ที่ข้างกาย
“พี่โม่ นี่ก็ผ่านมาพักหนึ่งแล้ว เหตุใดไม่ให้ฟู่ซานกับผู้อื่นได้เบิกหูเบิกตากันเสียบ้าง?”
โม่เฮ่าหลงยิ้มและพยักหน้า “ตามแต่ท่านเจ้าเมืองต้องการ”
เขาสูดหายใจเข้าลึกก่อนตะโกนออกไป “เทียนหลิงอยู่ที่ใด เหตุใดยังไม่ออกไปอีก?”
เสียงดังราวฟ้าคำราม สะกดข่มทุกการพูดคุยโดยรอบเวทีประลอง
ผู้คนเกิดสงสัย ลี่เจี้ยนอวี่คิดจะส่งผู้ท้าชิงที่แข็งแกร่งแล้วอย่างนั้นหรือ?
ผู้คนต่างยังไม่ทราบเรื่องราว
หาได้มีผู้ใดสังเกตเห็น ฟู่ซานกำหมัดแน่นเงียบงัน พร้อมดวงตาที่ทอประกาย
มีเพียงเขาที่ทราบ ลี่เจี้ยนอวี่กำลังเผยไพ่พลิกสถานการณ์ เพื่อเอาชนะเกาะไผ่วิญญาณ!
“เพียงออกมาต่อสู้ยังเกียจคร้าน ทั้งยังถือตัว”
ขณะนี้เอง ราวกับรับรู้ถึงบางสิ่ง ซูอี้หันมองไปทางอีกฝั่งของแม่น้ำก่อนจะส่ายศีรษะ
“หืม?”
ในไม่ช้า โจวฮวายชิว หลี่เทียนหาน หวงอวิ๋นชงและผู้ยิ่งใหญ่ท่านอื่น ต่างก็หันหน้ามองไปยังจุดเดียวกัน
ครั้งนี้ ผู้อื่นต่างสังเกตว่ามีสิ่งผิดปกติไป ก่อนที่เสียงพูดคุยจะลดเลือน
ในตอนนี้ ที่อีกฝั่งของแม่น้ำครามใหญ่ เสียงอันดังเสียงหนึ่งได้ปรากฏขึ้น
ในห้วงลึกของแสงไฟนับพัน คลื่นน้ำเชี่ยวกรากพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ราวกับมังกรแหวกคลื่นในแม่น้ำ
ระหว่างทางนั้น ไม่ทราบว่ามีเรือกี่ลำที่ถูกซัดถอยออกข้างไป ดวงไฟนับไม่ถ้วนส่ายอย่างรุนแรง มันเป็นประหนึ่งมังกรอัคคี
การเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่ ดึงดูดความสนใจนับไม่ถ้วน
ผู้คนต่างพบเห็นกันชัด บนคลื่นน้ำมีผู้ซึ่งเหยียบย่ำผืนน้ำเดินทางรวดเร็ว ประหนึ่งลอยตัวเหนือผิวน้ำ
ภายใต้แสงจากดวงไฟพร่างพราย อีกฝ่ายปรากฏตัวประหนึ่งราวกับทวยเทพที่มาบนเกลียวคลื่น!
“นั่น…นั่นคนใช่หรือไม่?”
บางคนเผยเสียงอุทานออกมา
ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายต่างได้ตระหนัก พร้อมเผยท่าทีนึกทึ่งออกมา
หลิงปัวเหยียบย่ำ ก้าวเดินบนผืนน้ำ?
มันคือความสามารถที่จะทำได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในขอบเขตที่สองของวิถียุทธ์ ขอบเขตรวบรวมลมปราณ!
ในบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่กำลังรับชม มีเพียงโจวฮวายชิวผู้เดียวที่มีความสามารถดังกล่าว
หรือก็คือ เขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สำเร็จขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นปลาย
ภายใต้สายตาประหลาดใจของผู้คน บุรุษผู้ซึ่งย่ำผืนน้ำราวเทพ ได้เผยร่างให้พบเห็น ก่อนจะกระโดดลงบนสะพานประตูมังกร
พบเห็นสีหน้าแตกตื่นผู้คน อีกฝ่ายหัวเราะออก ประหนึ่งต้องการดึงความสนใจ ก่อนที่ถ้อยคำจะเอ่ยขึ้น
“อย่าได้คิดจนเกินไป ข้าเพียงเหยียบบนแผ่นไม้โต้คลื่นมา ไม่ใช่ขอบเขตรวบรวมลมปราณแต่อย่างใด”
เขามีผิวสีสัมฤทธิ์ ชุดเครื่องแบบสีดำ สะพายดาบอยู่ที่หลัง รอยแผลเป็นแคบยาวปรากฏตรงระหว่างคิ้ว มีกลิ่นสาบเหล็กและเลือดรุนแรง
หลังจากได้ยินคำเอ่ย ทุกคนค่อยได้เห็นว่าบนผิวน้ำ มันปรากฏแผ่นกระดานไม้ลอยล่อง
เห็นชัดว่าอีกฝ่ายเหยียบย่ำมันเดินทางข้ามมา ประหนึ่งวิ่งบนผิวน้ำ
ผู้คนต่างนึกโล่งใจ ทว่าก็ยังตกใจ
แม้เหยียบแผ่นกระดานโต้สายน้ำมา ทว่าก็ต้องใช้การฝึกฝนเคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน
การกระทำนี้ด้วยขอบเขตโคจรโลหิต มันจึงมากพอที่จะจินตนาการได้ถึงเบื้องหลังว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งและชวนสะพรึงเพียงใด!
“ที่แท้ก็เป็นวายร้ายผู้นี้!”
บริเวณที่นั่ง โจวฮวายชิวขมวดคิ้ว สีหน้าหม่นลง
หนีเฮ่าและหนานอิ่งจดจำคนผู้นี้ได้ ทั้งสองแสดงความตกใจออกมา
โม่เทียนหลิง!
เดิมทีเขาเป็นศิษย์ของสำนักดาบชิงเหอ แต่ด้วยนิสัยเย่อหยิ่งและก้าวร้าว เขาจึงตัดแขนเพื่อนร่วมสำนักขณะแข่งประลอง สร้างความโกรธเกรี้ยวแก่ผู้ใหญ่ในสำนักไม่ใช่น้อย สุดท้ายเขาก็ถูกขับไล่ออกไปจากสำนัก
ถัดมา เขาได้ออกจากเขตปกครองอวิ๋นเหอ และเข้าร่วมกองกำลังเกล็ดแดงภายใต้บัญชาการของท่านจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวง ได้ออกรบในศึกแนวหน้า
หาได้มีผู้ใดคาดคิดไม่ ว่าเขาจะปรากฏตัวที่นี่
“เป็นคนผู้นี้มีฉายา ‘บุรุษเหี้ยมโหด’ จากตระกูลโม่แห่งเมืองลั่วอวิ๋น!”
“ไม่ใช่ว่ารับใช้กองกำลังเกล็ดแดงหรือ เหตุใดจึงกลับมากะทันหันแบบนี้?”
ชั่วเวลานี้ เสียงพูดคุยมากมายปรากฏขึ้นรอบเวทีประลอง พวกเขาล้วนพูดคุยถึงโม่เทียนหลิงทั้งสิ้น
“จิตสังหารของชายผู้นี้เปี่ยมล้น ขณะอยู่กองกำลังเกล็ดแดง เขาคงฆ่าคนไปไม่ใช่น้อย…”
ฟู่ซานขมวดคิ้ว
ในตอนนี้ แม้แต่บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ของเมืองกว่างหลิง ต่างตระหนักว่าสถานการณ์อาจพลิกผันแล้ว
เดิมอันดับหนึ่งในงานประลองประตูมังกรนั้น น่าจะเป็นของเหวินเจวี๋ยหยวน
แต่ขณะนี้เรื่องราวแปรเปลี่ยน การมาถึงของโม่เทียนหลิง กำลังจะพลิกผลงานประลองครั้งนี้!
“เทียนหลิง อย่าได้เสียเวลา ไปสู้เสีย!”
ทางฝั่งเมืองลั่วอวิ๋น โม่เฮ่าหลงผู้นำตระกูลโม่เอ่ยคำด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
“แม้งานประลองนี้จะน่าเบื่อไปบ้าง แต่ในเมื่อท่านพ่อกล่าวเช่นนี้ ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร?” โม่เทียนหลิงหัวเราะ ก่อนจะก้าวขึ้นบนสังเวียน
ทุกสายตาต่างขยับเคลื่อนไหวมองตาม
“มา! ข้าให้โอกาสเจ้าออกกระบวนท่าก่อนหนึ่งครั้ง หากข้าเริ่มก่อน เจ้าคงไม่มีแม้โอกาสได้ขยับดาบ”
โม่เทียนหลิงมองยังเหวินเจวี๋ยหยวน กล่าวถ้อยคำด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเย้ยหยัน
ท่าทียืนเรื่อยเปื่อย กวาดตามองไปมา ประหนึ่งผู้อวดโอ่ความสามารถ
ทั้งท่าทีและน้ำเสียง เป็นผลให้ตัวเขาดูอหังการยิ่งใหญ่
เหวินเจวี๋ยหยวนขมวดคิ้ว ทว่าไม่ใช่เพราะถูกยั่วยุ แต่มันเป็นเพราะเขารู้สึกหวั่นต่อพลังของอีกฝ่าย
แต่ในขณะเดียวกัน มันก็กระตุ้นจิตแห่งการต่อสู้ในใจเขาขึ้นมา
ชิ้ง!
เหวินเจวี๋ยหยวนชักดาบออกจากฝักอย่างน่าเกรงขาม
“ชักดาบเจ้าออกมา!” เหวินเจวี๋ยหยวนดูเคร่งขรึม ถ้อยคำเย็นชากล่าวออก
“เจ้าไม่คู่ควรกับดาบข้า” โม่เทียนหลิงส่ายหน้า กล่าวคำเนิบนาม ประหนึ่งเอ่ยข้อเท็จจริงที่ไม่อาจแปรเปลี่ยน
เหวินเจวี๋ยหยวนทราบว่าตนกำลังถูกยั่วยุ
เขาไม่ลังเล ฝีเท้าก้าวออกซึ่งหน้า ร่างเป็นประหนึ่งลูกธนูอันรวดเร็วพุ่งทะยานออก
ฉึบ! ฉึบ! ฉึบ!
เพียงชั่วอึดใจ เหวินเจวี๋ยหยวนแทงดาบออกสิบสองครั้งอย่างรวดเร็ว แต่ละดาบรวดเร็ว และยังเร็วขึ้น ทั้งยังดูเกรี้ยวกราด ประหนึ่งคิดกระชากวิญญาณ
สิบสองดาบเร็วคูณทวี!
นี่คือวิชาดาบของเหวินเจวี๋ยหยวน ที่เขาฝึกสำเร็จไปถึงขั้น ‘ระดับช่ำชอง’*[1]!
“ค่อยน่าสนใจขึ้นมาบ้าง” ริมฝีปากของโม่เทียนหลิงยกขึ้นเล็กน้อย
เขาไม่หลบหลีก สีหน้าดูสงบ และเมื่อคมดาบสังหารกวัดแกว่งใกล้มาถึงตัว ริมฝีปากเขาพลันเอ่ยคำหนึ่งขึ้น
“จัดการเจ้า หนึ่งหมัดก็มากพอ!”
จู่ ๆ พลังปะทุออกจากร่างอย่างรุนแรง จากท่าทีเกียจคร้าน โม่เทียนหลิงกลับกลายเป็นกราดเกรี้ยวดุร้าย ทั้งยังน่าเกรงขาม
พร้อมเสียงตะโกนดัง หมัดขวากำแน่น พร้อมชกออกรุนแรง
ท่ามกลางสายตาสับสนของผู้คน โม่เทียนหลิงเป็นประหนึ่งปีศาจร้ายที่อ้าปากหมายจะกลืนกินเหยื่อ กลิ่นอายความดุร้ายและนองเลือดทำให้ผู้คนตัวสั่น
เกิดเสียง ‘เคร้ง!’ จากการปะทะแรงกึกก้องในสังเวียน
หมัดและดาบปะทะต่อกัน ก่อนที่ดาบยาวในมือเหวินเจวี๋ยหยวนจะหลุดลอยและแตกร้าว ตามด้วยการถอยหลังอย่างไม่อาจคุมได้
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ผ่านไปห้าก้าว ใบหน้าของเหวินเจวี๋ยหยวนซีดเซียว อกนั้นสะเทือนรุนแรง ทั้งยังไม่อาจห้ามเลือดจนกระอักออก
อั่ก!
เลือดเปรอะเปื้อนเสื้อผ้า ทั้งร้อนและแดงฉาน
หนึ่งหมัด!
เหวินเจวี๋ยหยวนซึ่งเป็นที่โปรดปรานของทุกคนในเมืองกว่างหลิง และเป็นที่คาดว่าเขาจะคว้าตำแหน่งผู้ชนะเลิศ ขณะนี้พ่ายแพ้!
ดาบนั้นกระเด็น ร่างถอยเซห้าก้าว ริมฝีปากทะลักเลือดกระอัก!
ทั้งสนามประลองเงียบสนิท
ในที่นั่งของเหล่าผู้มีเกียรติ บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ถึงกับชะงักงัน ฝูงชนที่รับชมต่างเงียบเสียง
เพียงหนึ่งหมัด ผลกระทบกลับชัดเจนถึงเพียงนี้!
เป็นเรื่องราวชวนเหลือเชื่อจนเกินไป
ที่บนสังเวียน โม่เทียนหลิงส่ายศีรษะพร้อมกล่าวคำ “อ่อนแอเกินไป ผู้สืบทอดวิชาสำนักดาบชิงเหอยังปวกเปียกเช่นนี้จริง ๆ น่ะหรือ?”
สิ้นคำกล่าว เขาหันมองรอบด้าน จงใจมองยังโจวฮวายชิว หนีเฮ่า รวมถึงหนานอิ่งครู่หนึ่ง ก่อนที่มุมปากจะยกยิ้มเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบัง
[1] ลำดับบรรลุเคล็ดวิชามีสี่ระดับ ได้แก่ 1. ระดับพื้นฐาน 2.ระดับช่ำชอง 3. ระดับจุดสมบูรณ์ และ 4. ระดับเลิศล้ำ