บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 521 ปากผู้ชายมีแต่คำหลอกลวง
ตอนที่ 521: ปากผู้ชายมีแต่คำหลอกลวง
ตอนที่ 521: ปากผู้ชายมีแต่คำหลอกลวง
หยวนเหิงรู้สึกได้ว่า นายท่านของตัวเองไม่สนใจทำเนียบผู้ติดอันดับนี้จริง ๆ
คิด ๆ ดูแล้ว หยวนเหิงก็เข้าใจได้
ถึงแม้ผู้ร้ายกาจแห่งยุคโบราณกับผู้มีพรสวรรค์แก่กล้าเหล่านั้นจะมีความโดดเด่นสักแค่ไหน แต่ท้ายที่สุดก็เป็นเพียงแค่บุคคลระดับสุดยอดในระดับวิถีต้นกำเนิดเท่านั้น
สำหรับนายท่านของตัวเองผู้มีความสามารถฆ่าฮั่วเทียนตูผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นกลาง ไหนเลยจะยินดีที่ชื่อของตัวเองติดอันดับ ‘ทำเนียบดารา’ ได้?
“ที่น่าเสียดายก็คือชื่อของแม่นางซือฉานไม่ได้อยู่ในทำเนียบ”
หยวนเหิงถอนใจเบา ๆ
ซูอี้ถึงกับหัวเราะพลางกล่าว “เพียงแค่ทำเนียบเท่านั้น จะบันทึกชื่อของคนเก่งระดับสุดยอดในใต้หล้าได้ทุกคนรึ? เมื่องานชุมนุมมวลพฤกษาเริ่มขึ้น ผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมงานเหล่านั้นใครแกร่งใครอ่อนแอก็จะได้เห็นกัน”
ช่วงหลายวันมานี้ เขามีโอกาสได้พัก ดังนั้นนอกจากฝึกตนแล้วก็จะให้คำชี้แนะแก่เยว่ซือฉานเวลาที่นางฝึก ‘คัมภีร์ดาบดาราพินาศ’
ภายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ไม่กี่วัน ฝีมือของเยว่ซือฉานก็เปลี่ยนแปลงไปมาก!
หญิงสาวมีความเข้าใจในวิถีดาบเป็นอย่างดี ทำให้ซูอี้รู้สึกชื่นชมยิ่งนัก
คล้ายกับอาจารย์ที่พบกับศิษย์เก่ง เพียงแค่ชี้แนะก็สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ ในใจไหนเลยจะไม่รู้สึกยินดี?
ซูอี้คาดหวังไว้สูงว่าจะได้เห็นเยว่ซือฉานส่องประกายเจิดจ้าในงานชุมนุมมวลพฤกษา
แน่นอนว่าอันดับเป็นเรื่องรอง
ที่สำคัญก็คือสามารถถือโอกาสการประลองยุทธ์แย่งชิงความเป็นหนึ่งนี้ ให้เย่วซือฉานได้พัฒนาก้าวหน้าไปอีกขั้น ให้นางรับรู้ถึงระดับความสามารถของตัวเอง
“นายท่าน ข้าได้ยินมาว่าผู้แข็งแกร่งวิถีต้นกำเนิดที่สมัครเข้าร่วมงานชุมนุมมวลพฤกษาในครั้งนี้มีจำนวนหนึ่งหมื่นกว่าคน ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่แล้วมาจากอาณาจักรต้าเซี่ย ส่วนคนอื่น ๆ ล้วนมาจากอาณาจักรอื่น ๆ ในมหาทวีปคังชิง”
หยวนเหิงกล่าว “ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ ก็สามารถรู้ได้ว่าการแข่งขันนั้นมีความรุนแรงมากเพียงใด”
ซูอี้ชายตามองหยวนเหิง พลางกล่าวคำออก “เจ้ากลัวเช่นนั้นรึ?”
หยวนเหิงรีบส่ายหน้า ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงกระอักกระอ่วนขึ้นมา “ข้าเพียงแต่เป็นห่วงว่าอันดับที่ได้ในท้ายสุดจะทำให้นายท่านต้องผิดหวัง…”
เขาก็สมัครเข้าร่วมงานเช่นกัน วันมะรืนที่จะถึงนี้ก็ต้องเข้าร่วมการประลองรอบที่หนึ่ง
“อันดับไม่สำคัญ ขอเพียงต่อสู้เต็มกำลังก็เพียงพอแล้ว”
ซูอี้มองเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา
หยวนเหิงติดตามฝึกตนอยู่ข้างกายเขามาตลอด ถึงแม้พรสวรรค์ในตัวไม่ถึงกับล้ำเลิศ ทว่าวิชาที่ฝึกคือ ‘คัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริง’ ซึ่งเป็นการถ่ายทอดขั้นสูง
กอปรกับได้รับคำชี้แนะจากเขา ความแข็งแกร่งของหยวนเหิงในตอนนี้ คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจเทียมเทียบได้
ในคืนวันเดียวกัน
เวิงจิ่วนำเทียบเชิญมามอบให้
“สหายเต๋า นี่คือเทียบเชิญของงานชุมนุมมวลพฤกษา ถึงเวลานั้นหากสหายเต๋าสนใจเข้าร่วมงาน สามารถถือเทียบเชิญฉบับนี้ไปร่วมงานได้”
เวิงจิ่วยิ้มพลางกล่าว
เขารู้แต่แรกแล้วว่าซูอี้ไม่ได้ลงชื่อสมัครงานชุมนุมมวลพฤกษา ด้วยเหตุนี้จึงนำเทียบเชิญมาให้ เช่นนี้ซูอี้ก็สามารถนั่งในตำแหน่งแขกผู้มีเกียรติของงานเพื่อชมการประลองกำลังของผู้แข็งแกร่งได้
“รบกวนแล้ว”
ซูอี้รับเทียบเชิญมา
“สหายเต๋า งานชุมนุมมวลพฤกษาจัดให้มีขึ้นทั้งสิ้นห้าวัน ในวันสุดท้าย ผู้ที่ได้รับชัยชนะหนึ่งร้อยคนแรกจะทำการแข่งขันกันเพื่อชิงตำแหน่งสุดท้าย”
เวิงจิ่วกล่าว “หลังจากที่งานชุมนุมมวลพฤกษาสิ้นสุดไปเป็นวันที่สอง ซึ่งก็คือวันที่หนึ่งเดือนสิบ ราชวงศ์แห่งอาณาจักรต้าเซี่ยจะเปิดแท่นบูชาถ่ายส่งเพื่อส่งผู้แข็งแกร่งที่มียันต์พระสุเมรุไปยังเกาะเซียนพระสุเมรุซึ่งอยู่บนถ้ำอุกกาบาต”
“ถึงเวลานั้นหากว่าสหายเต๋าต้องการจะไป โปรดเตรียมตัวก่อนล่วงหน้า”
ซูอี้พยักหน้า
พูดคุยกันต่ออีกสักครู่เวิงจิ่วจึงขอตัวลากลับ
——
“นายน้อย คนหกสิบสามคนที่อยู่ในทำเนียบดารา ส่วนใหญ่มาจากขุมกำลังในอาณาเขตของอาณาจักรต้าเซี่ย มีเพียงแต่สิบกว่าคนเท่านั้นที่มาจากอาณาจักรอื่นในโลกสามัญ”
ในห้องโถงใหญ่โอ่อ่าแห่งหนึ่ง หญิงสาวในชุดลวดลายนกหงส์หยกกล่าวเบา ๆ “ในคนกลุ่มนี้ มีแต่เพียงคนหนุ่มที่ชื่อว่าซูอี้คนเดียวเท่านั้นที่มีข้อมูลน้อยที่สุด จึงสมควรจับตามองเป็นที่สุด”
หวนเฉ่าโหยวผู้มีผมสีม่วงเกล้าสีทองแสดงสีหน้าสนใจใคร่รู้ออกมา “หมายความเช่นใด?”
“คนหกสิบสามคนที่อยู่ในทำเนียบดารา ห้าสิบเจ็ดคนมีระดับการฝึกตนอยู่ในขอบเขตรวบรวมดารา อีกหกคนล้วนอยู่ในขอบเขตเปิดทวาร ซึ่งในจำนวนนี้มีห้าคนมาจากกลุ่มขุมกำลังวิถีปราชญ์ของอาณาจักรต้าเซี่ย เป็นผู้สืบทอดคนสำคัญในสายวิถีแต่ละสาย มีแต่เพียงซูอี้คนนี้คนเดียวเท่านั้น ที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนในอาณาจักรต้าเซี่ย แต่มาจากอาณาจักรเล็ก ๆ และห่างไกลนามว่าอาณาจักรต้าโจว”
หญิงสาวในชุดลวดลายนกหงส์หยกส่อแววตาประหลาดขึ้นมา “นายน้อยรู้สึกหรือไม่ว่าเรื่องนี้มีความผิดปกติ?”
หวนเฉ่าโหยวพยักหน้าพลางกล่าว “ทำเนียบดาราถูกจัดทำขึ้นโดยพวกผู้เฒ่าในราชวงศ์อาณาจักรต้าเซี่ย ในเมื่อใส่ชื่อของซูอี้ลงไปในนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าคน ๆ นี้มีพรสวรรค์กับพื้นฐานที่ไม่ธรรมดาเลย”
“และคนเช่นนี้เป็นคนที่พวกเราต้องการ”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาก็กล่าวขึ้นมา “เอาเช่นนี้ เมื่องานชุมนุมมวลพฤกษาเริ่มขึ้นแล้ว ลองดูการแสดงออกของซูอี้ หากไม่ใช่บุคคลธรรมดาจริง ให้รับเขามาอยู่ใต้การบัญชาของตระกูลหวน”
สีหน้าของหญิงสาวชุดลวดลายนกหงส์หยกเปลี่ยนไปจนแลดูประหลาด ก่อนจะกล่าวคำออก “นายน้อย จากข้อมูลที่ข้าสืบมาได้ ในบรรดาผู้แข็งแกร่งที่ลงสมัครเข้าร่วมงานชุมนุมมวลพฤกษาในครั้งนี้ ไม่มีชื่อของซูอี้”
หวนเฉ่าโหยวนิ่งตะลึงด้วยความคาดไม่ถึง กล่าว “คน ๆ นี้… ไม่ชอบมาพากลเอาเสียเลย!”
คิดสักครู่ เขาก็โบกมือพลางกล่าว “ช่างเถิด เทียบกับซูอี้คนนี้แล้ว คนเก่ง ๆ ที่เข้าร่วมงานชุมนุมมวลพฤกษาเหล่านั้นต่างหากจึงจะเป็นคนที่พวกเราต้องการ”
หญิงสาวในชุดลวดลายนกหงส์หยกยิ้มพลางกล่าว “ข้าหวังจะได้เห็นนายน้อยแสดงฝีมือภายในงานนี้”
“เช่นนั้นรึ ถ้าเช่นนั้นข้าจะแสดงฝีมือให้เจ้าได้เห็นในตอนนี้!”
หวนเฉ่าโหยวหัวเราะเสียงดัง เอื้อมมือโอบรัดเอวคอดของหญิงสาวในชุดลวดลายนกหงส์หยกแล้วเดินไปที่ห้องโถงด้านข้าง
“นายน้อยจะทำอะไรเจ้าค่ะ?”
หญิงสาวในชุดลวดลายนกหงส์หยกหายใจรัวเร็ว ดวงตางดงามเป็นประกาย
เพียะ!
หญิงสาวในชุดลวดลายนกหงส์หยกถูกตีก้น
“รู้แล้วยังจะถามอีก!”
——
“แม่เฒ่าบอกว่าซูอี้ไม่ได้สมัครเข้าร่วมงานชุมนุมมวลพฤกษาเช่นนั้นหรือ?”
ภายในห้องพิเศษแห่งหนึ่ง กู่ชางหนิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไม่ผิด การรับสมัครสิ้นสุดไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว อีกทั้งในทำเนียบที่ประกาศยังไม่มีชื่อของซูอี้”
ยายเฒ่ากล่าวเบา ๆ
“เขาไม่คิดจะไปเกาะเซียนพระสุเมรุแล้วเช่นนั้นหรือ?”
กู่ชางหนิงย่นคิ้ว
ฉับพลัน เขาจึงกล่าวด้วยความเสียดาย “ข้ายังหวังจะคอยดูว่าในงานชุมนุมมวลพฤกษา ซูอี้จะสามารถสยบคนทั้งหลาย เอาชนะบุคคลระดับสุดยอดในกลุ่มผู้ร้ายกาจแห่งยุคโบราณอย่างเฉิงผู หวนเฉ่าโหยว ฉือเจี่ยนซู่ สุดท้ายจะขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดได้หรือไม่ แต่ตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว…”
หญิงเฒ่าส่ายหน้าเบา ๆ พลางกล่าวคำออก “ตัวร้ายกาจแห่งยุคโบราณอย่างเฉิงผูกับหวนเฉ่าโหยวล้วนมีกำลังการต่อสู้ที่สามารถสยบผู้ฝึกตนแห่งขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ต่อให้ซูอี้เข้าร่วมการประลองในงานชุมนุมมวลพฤกษา แต่หากต้องการจะเอาชนะพวกเขา… เกรงว่าคงจะมีความหวังไม่มาก”
กู่ชางหนิงยิ้ม พลางกล่าว “คงจะเป็นเช่นนั้นกระมัง”
——
“ซูอี้ไม่เข้าร่วมประลองในงานชุมนุมมวลพฤกษาเช่นนั้นรึ?”
ในสวนแห่งหนึ่ง เจียงหลีถึงกับตะลึง
“ด้วยระดับวิถีของเขา เพียงแค่สองกระบวนดาบก็สามารถเอาชนะโจวเฟิงจื่อได้อย่างสบาย ไหนเลยจะสนใจเข้าร่วมประลองในงานชุมนุมมวลพฤกษาอีก?”
อวี่เหวินซู่มีสีหน้าสับสน “อย่างไรเสีย งานประลองเช่นนี้คงไม่เข้าตาของซูอี้…”
เจียงหลีฟังแล้วได้แต่ผิดหวัง
นางกับอวี่เหวินซู่ล้วนเป็นผู้เก่งกล้าที่ส่องประกายเฉิดฉายที่สุดในตอนนี้ เป็นคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ฝีมือล้ำเลิศบนหนทางวิถีต้นกำเนิด
ทว่ามีแต่พวกเขาเท่านั้นที่รู้ดีกว่า ในโลกนี้ยังมีบุคคลอย่างซูอี้ที่สลัดพวกเขาอยู่ข้างหลังไกล ๆ!
ฉับพลันเจียงหลีก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จากนั้นสายตาจึงเปลี่ยนไป ก่อนจะกล่าวขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่อย่าได้ลืม ซูอี้เคยกล่าวไว้ว่า หากศิษย์พี่สามารถเอาชนะเยว่ซือฉานในงานชุมนุมมวลพฤกษาได้ เขาจะขอโทษต่อศิษย์พี่ด้วยตัวเอง”
แววตาของอวี่เหวินซู่เป็นประกาย ก่อนจะกล่าว “ข้าจะสู้อย่างเต็มที่”
——
“อาจารย์ ในทำเนียบผู้แข็งแกร่งในงานชุมนุมมวลพฤกษาไม่มีชื่อของสหายเต๋าซู”
ดวงตาใสสว่างของเหวินซินจ้าวส่อแววแห่งความสงสัย “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?”
หลายวันมานี้ นางกับเซียนหานเยียนผู้เป็นอาจารย์ของนางอยู่ในเมืองคอยสืบข่าวของซูอี้มาโดยตลอด ทว่าจนปัญญายิ่งนัก จนถึงตอนนี้แล้วก็ยังสืบไม่ได้ความว่าซูอี้พักอยู่ที่ใด
“เวลาใดกันแล้ว มัวสนใจกับเรื่องเหล่านี้มีประโยชน์อันใด”
เซียนหานเยียนกล่าวอ่อนโยน “วันพรุ่งนี้ พวกเจ้าสำนักก็จะมาถึงนครหลวงจิ๋วติ่ง สิ่งที่เจ้าต้องทำในตอนนี้ก็คือสงบจิตใจ เตรียมตัวให้พร้อมเพื่อการประลองในงานชุมนุมมวลพฤกษา”
เหวินซินจ้าวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม “ข้าคิดว่าก่อนจะถึงวันงานชุมนุมมวลพฤกษาจะได้พบกับสหายเต๋าซูสักครั้ง ใครเลยจะคาดคิดว่ากลับไม่มีวาสนาได้พบเจอ”
เซียนหานเยียนแอบถอนใจ ในช่วงเวลาหลายวันมานี้ เพื่อให้ได้พบกับซูอี้แม่นางน้อยแทบจะคลั่งไปแล้ว…
สงบสติอารมณ์ได้บ้างแล้ว เซียนหานเยียนก็กล่าวขึ้นมาว่า “ตามความเห็นของข้า ถึงแม้ซูอี้จะไม่ได้เข้าร่วมการประลองในงานชุมนุมมวลพฤกษา แต่ไม่แน่ว่าเขาอาจจะให้ความสนใจเกี่ยวกับข่าวคราวในงานครั้งนี้ เพราะอย่างไรเสียก็เป็นงานใหญ่โตที่คนในใต้หล้าต่างก็จับตามอง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าผู้ฝึกตนอย่างซูอี้จะไม่สนใจ”
เหวินซินจ้าวตาลุกวาว ก่อนจะกล่าวขึ้นมา “เช่นนั้นรึ ถ้าเช่นนั้นหากว่าในงานชุมนุมมวลพฤกษาข้าแสดงฝีมือโดดเด่นสักหน่อย สหายเต๋าซูอาจจะเห็นก็ได้ใช่หรือไม่?”
“แน่นอน”
เซียนหานเยียนยิ้มพลางตอบ
——
บนยอดเขาเทียนหมาง
“นายท่าน วันสุดท้ายของงานชุมนุมมวลพฤกษา สี่เจ้าสำนักกับสามผู้นำตระกูลใหญ่ต่างก็จะมาชมการประลองด้วย”
เวิงจิ่วกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
ชายวัยกลางคนพยักหน้า พลันถามขึ้นมา “สหายเต๋าซูกล่าวเช่นใด เขาจะมาดูการประลองหรือไม่?”
เวิงจิ่วร้องเหวอขึ้นมาทีหนึ่งแล้วตอบเสียงเบา “สหายเต๋าซูได้รับเทียบเชิญแล้ว คงจะมาขอรับ”
ชายวัยกลางคนกล่าว “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จะต้องเว้นตำแหน่งที่นั่งไว้ให้เขา ถึงแม้ที่ตรงนั้นจะต้องว่างลง ก็ไม่อาจปล่อยให้คนอื่นมานั่งได้”
เวิงจิ่วกล่าว “แน่นอนขอรับ”
“ท่านพ่อ สุดท้ายก็ปล่อยให้ข้าออกมาจนได้!”
ไม่ไกลนัก เสียงหัวเราะใสแจ๋วก็ดังขึ้น ร่างอรชรกระฉับกระเฉงวิ่งเข้ามาหา
คนนี้คือหญิงสาวผู้มีหน้าตางดงาม ผิวพรรณขาวเนียน ผมดำยาวสลวยรวบไว้หลวม ๆ ปล่อยไว้ข้างหลัง สวมใส่ชุดกระโปรงสีเขียวใสประดุจน้ำ โผล่ใบหน้าเล็ก ๆ งดงามออกมา
นางมีฟันขาวสวย คิ้วดำโก่ง ดวงตากลมโตใสสว่างมีประกาย ราวกับนางฟ้าตัวน้อยน่ารักกระฉับกระเฉงคล่องแคล่วว่องไว
เวิงจิ่วเห็นเช่นนี้แล้วจึงถอยออกไป
ชายวัยกลางคนส่งเสียงถามเย็นชา “ต่อไปยังจะแอบหนีออกจากบ้านอีกหรือไม่?”
หญิงสาวชุดกระโปรงสีเขียวหัวเราะคิก ๆ พลางเดินมาคล้องแขนชายวัยกลางคน กล่าวออเซาะเอาใจ “ข้าไหนเลยจะกล้า”
มองเห็นรอยยิ้มชื่นบานบนใบหน้าของหญิงสาวแล้ว สายตาของชายวัยกลางก็อ่อนโยนลง พลางกล่าว “ลูกรัก เจ้ายังจำซูอี้ได้หรือไม่?”
“ซูอี้?”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีเขียวตะลึง ภาพของคนหนุ่มในชุดคลุมยาวสีเขียวปรากฏขึ้นมาในสมองอย่างควบคุมไม่อยู่
ฉับพลัน นางก็รีบส่ายหน้าพลางกล่าว “ไม่รู้จัก ท่านพ่อ เหตุใดจึงถามเช่นนี้?”
ชายวัยกลางคนร้องอ้อ จากนั้นกล่าว “ไม่มีอะไร ในเมื่อเจ้าไม่รู้จัก พูดถึงเขาไปจะมีประโยชน์อันใดอีก?”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีเขียวกลอกกลิ้งลูกนัยน์ตา พลางกล่าว “หรือว่าท่านพ่อต้องการจะ… ต่อสู้กับคน ๆ นี้?”
ชายวัยกลางคนตอบ “ไม่ผิด”
“ไม่ได้เป็นอันขาด!”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีเขียวร้องห้ามด้วยความตกใจในทันที
ชายวัยกลางคนอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีเขียวจึงรู้ตัวว่าหลงกลเข้าแล้ว ดวงตางดงามกลมโตฉายแววถมึงทึง กล่าวด้วยความเจ็บใจ “เหมือนที่คนอื่นว่าจริง ๆ ปากผู้ชายมีแต่คำหลอกลวง!”