บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 522 เบาะแส
ตอนที่ 522: เบาะแส
ตอนที่ 522: เบาะแส
ชายวัยกลางคนหัวเราะเสียงดัง พลางกล่าว “แม่หนู เจ้าเป็นคนโกหกข้าก่อน ข้าเพียงแต่พูดเสริมเท่านั้น”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีเขียวงอนตุ๊บป่อง “ไม่สน รีบบอกข้ามาเสียโดยดี เหตุใดอยู่ ๆ ผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่านพ่อจึงถามถึงซูอี้ขึ้นมา?”
ชายวัยกลางคนนึกถึงครั้งแรกที่พบกับซูอี้ที่หน้าประตูเมืองจนถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันมานี้ แล้วสายตาก็เปลี่ยนไปราวกับมีเลศนัย ก่อนจะกล่าว “พูดขึ้นมาแล้วเรื่องมันยาว”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีเขียวกะพริบตากลมโตปริบ ๆ กล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ค่อย ๆ เล่า”
“ก็ดีเช่นกัน คืนนี้พวกเราสองคนพ่อลูกจะได้คุยกันให้เต็มที่”
ชายวัยกลางคนนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้าง ๆ พลางหยิบกาสุราออกมา
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีเขียวนั่งลงข้าง ๆ อย่างเชื่อฟัง
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว บนยอดเขาเทียนหมางแห่งนี้ ทะเลหมอกแผ่ปกคลุม สรรพสิ่งอยู่ในความสงบเงียบ
มีแต่เพียงเสียงถามตอบของพ่อลูกคู่นี้เท่านั้น
นานมาก หญิงสาวในชุดกระโปรงสีเขียวจึงรับทราบเรื่องต่าง ๆ นานาของซูอี้ระหว่างที่อยู่ในนครหลวงจิ๋วติ่ง บนใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ่มแจ้ง
ที่แท้คน ๆ นี้แข็งแกร่งจนถึงขั้นนี้แล้วเช่นนั้นหรือ?
อีกทั้ง แม้กระทั่งเวลาที่บิดาเอ่ยถึงเขา น้ำเสียงก็ยังแสดงความนับถืออยู่ไม่น้อย ไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย…
“ท่านพ่อ เหตุใดจึงเพิ่งบอกเรื่องเหล่านี้ให้ข้ารู้?”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีเขียวอดถามขึ้นมาไม่ได้
สายตาของชายวัยกลางคนส่อประกายแห่งความเอ็นดู กล่าว “ง่ายมาก ข้าอยากจะดูว่าที่แท้แล้วซูอี้คนนี้เป็นคนเช่นใด เหตุใดเจ้าจึงมอบหยกมังกรปักษาที่แม่ของเจ้าทิ้งไว้ให้แก่เขา”
สายตาของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีเขียวแลดูอึดอัดขึ้นมา พลางกล่าวเบา ๆ “ท่านพ่อคิดมากไปแล้วกระมัง ข้ากับศิษย์พี่ซูเป็นเพียงแค่สหายเท่านั้น เคยร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน และเคยดื่มสุราพูดคุยสนุกสนานร่วมกัน ที่ข้ามอบหยกให้เขา ก็เพียงแค่เป็นห่วงว่าหลังจากที่เขามาถึงอาณาจักรต้าเซี่ยแล้วจะถูกคนอื่นรังแก…”
เมื่อเห็นบุตรสาวของตัวเองก้มหน้าต่ำ พร้อมกับทำท่าทางราวกับทำความผิดไว้ สายตาของชายวัยกลางคนก็ดูแปลกไป แววตาดูสับสน
ดูอย่างไรก็ดูราวกับกำลังปิดบังอะไรอยู่?
คิดสักครู่ ชายวัยกลางคนก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน “แม่หนู ไม่ว่าเจ้าจะมองซูอี้เช่นใด ในฐานะที่ข้าเป็นพ่อของเจ้า ข้าเพียงแต่อยากจะบอกเจ้าว่า ในบางด้าน ซูอี้กับมารดาของเจ้าเป็นคนประเภทเดียวกัน ล้วนมีที่มาที่ไม่มีใครล่วงรู้ และมีพลังที่ไม่ธรรมดา…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ความโศกเศร้าและเดียวดายได้ผุดขึ้นบนหน้าของเขา น้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้นมา “แต่เจ้าก็มองเห็นแล้วว่า ข้ากับแม่ของเจ้า… ไม่ได้อยู่ครองคู่กันตลอดชีวิต”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีเขียวตะลึง จากนั้นจึงกล่าวขึ้น “ท่านพ่อเคยบอกไว้ไม่ใช่หรือว่า ที่ท่านแม่จากไปในตอนนั้นก็เพราะสุขภาพไม่เอื้ออำนวย?”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าพลางกล่าว “ไม่ผิด แต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า ด้วยพรสวรรค์และความสามารถที่ซูอี้แสดงออกมาในตอนนี้ เพื่อเสาะแสวงหามหาวิถียิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า จะเป็นไปได้หรือที่จะอยู่ในมหาทวีปคังชินได้ชั่วชีวิต?”
ขนตางอนงามของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีเขียวสั่นไหว นิ่งเงียบพูดไม่ออก
ชายวัยกลางคนตบไหล่ของบุตรสาวเบา ๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “สำหรับเรื่องนี้แล้ว ข้าไม่ต้องการให้เจ้าต้องเป็นเหมือนกับข้า”
“ท่านพ่อ ข้าเข้าใจ”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีเขียวพยักหน้า
“เจ้าไม่เข้าใจ แต่… วันข้างหน้าเข้าใจก็ยังไม่สาย ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในฐานะที่ข้าเป็นพ่อของเจ้า ชั่วชีวิตนี้ข้าจะคอยปกป้องคุ้มครองเจ้า”
ชายวัยกลางคนยิ้มพลางกล่าว
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีเขียวยิ้มหวานพลางกล่าวเสียงใส “รู้อยู่แล้วว่าท่านพ่อรักเอ็นดูข้าที่สุด!”
——
ดึกสงัด
ในโรงสุราแห่งหนึ่งของนครหลวงจิ๋วติ่ง
ดึกมากแล้ว แขกทยอยกลับกันไปตั้งนานแล้ว เหลือแต่เพียงขี้เมาไม่กี่คนที่ยังคงแข่งกันดื่ม
เก๋อเฉียนผู้แต่งกายในชุดเสี่ยวเอ้อนั่งเหม่อใจลอยอยู่ตรงนั้น
“ตาเฒ่า ถึงแม้ข้าจะปลอมตัวและใช้ชื่อปลอม แต่เมื่อเข้าร่วมงานชุมนุมมวลพฤกษาแล้ว พวกคนเก่าคนแก่ที่อยู่ในงานเหล่านั้นจะต้องจดจำใบหน้าที่แท้จริงได้เป็นแน่”
เก๋อเฉียนบ่นพึมพำ “หากเพียงแค่นี้ก็ยังไม่เป็นไร หากว่ามีคนรู้สึกได้ว่าเจ้ายังอยู่ เช่นนั้นคงจะแย่”
หลังจากนั้นสักครู่ น้ำเสียงซึ่งแฝงด้วยความโกรธดังขึ้นในสมองของเก๋อเฉียน “เรื่องดำเนินมาถึงตอนนี้แล้ว เจ้ากลัวขึ้นมาอีกแล้วเช่นนั้นหรือ?”
เก๋อเฉียนขมวดคิ้ว “อย่าได้พูดจาไม่น่าฟังเช่นนั้น ที่ข้าพูดไม่ใช่เพราะเป็นห่วงเจ้าหรอกรึ?”
“อย่าพูดมาก!”
เสียงของตาเฒ่าดังขึ้น “ในงานชุมนุมมวลพฤกษาในครั้งนี้ คนที่มีความลับติดตัวมีอยู่ไม่น้อย เหมือนดั่งผู้ร้ายกาจในยุคโบราณกับคนเก่งมีความสามารถเหล่านั้น ผู้ใดบ้างที่ไม่มีความลับกัน? ต่อให้มีคนรู้สึกได้ถึงการดำรงอยู่ของเจ้า ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องใดไป”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ตาเฒ่าจึงกล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น โอกาสในครั้งนี้เป็นโอกาสหายาก หากสามารถไปที่เกาะเซียนพระสุเมรุได้ ไม่แน่ ยังอาจหาโชคชะตายิ่งใหญ่ที่สามารถรักษาบาดแผลของข้าได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องได้ยันต์พระสุเมรุมา!”
เก๋อเฉียนรู้สึกปวดหัวขึ้นมา “ข้า… ไม่ไปได้หรือไม่?”
“ไม่ได้!”
“ไม่ได้จริง ๆ หรือ?”
“ตีให้ตายก็ไม่ได้!”
“ก็ได้”
ท้ายที่สุด เก๋อเฉียนก็ทำหน้าสลดบีบจมูกยอม
——
วันที่ยี่สิบห้าเดือนเก้า
เช้ารุ่งขึ้น
วันนี้เป็นวันแรกของงานชุมนุมมวลพฤกษา
ฟ้ายังไม่ทันสว่าง บนถนนใหญ่น้อยในนครหลวงจิ๋วติ่งก็มีผู้ฝึกตนเดินพลุกพล่านแน่นขนัด ทุกคนล้วนมุ่งหน้าไปรวมตัวกันทางฝั่งตะวันออกของเมือง
เวทีมวลพฤกษา เป็นลานวิถีที่ใหญ่ที่สุดในนครหลวงจิ๋วติ่ง นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันล้วนอยู่ในการควบคุมของราชวงศ์แห่งอาณาจักรต้าเซี่ย สามารถรองรับคนได้จำนวนหลายหมื่น
เล่าขานกันว่าในอดีตเมื่อนานมากแล้ว เวทีมวลพฤกษาถูกสร้างขึ้นโดย ‘ราชันย์จิ๋วติ่งอวี่’ บรรพชนของราชวงศ์แห่งอาณาจักรต้าเซี่ย สร้างขึ้นเพื่อให้บุตรหลานในตระกูลใช้สำหรับฝึกตนและต่อสู้
และ ‘งานชุมนุมมวลพฤกษา’ ซึ่งเป็นที่จับตามองของคนในใต้หล้าก็จะถูกจัดขึ้นบนเวทีมวลพฤกษานี้เอง!
“ในที่สุดงานยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนนี้ก็กำลังจะเปิดฉากขึ้นแล้ว!”
บางคนรู้สึกตื่นเต้น
“เพียงแต่ไม่รู้ว่า สุดท้ายคนที่คว้าตำแหน่งอันดับหนึ่งได้จะเป็นตัวตนร้ายกาจแห่งยุคโบราณ หรือว่าผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบัน”
บางคนตั้งความหวัง
“การต่อสู้และแข่งขันที่มีผู้ฝึกตนจำนวนนับหมื่นเข้าร่วม สุดท้ายมีเพียงแค่หนึ่งร้อยคนเท่านั้นที่ได้รับยันต์พระสุเมรุ การแข่งขันเช่นนี้น่าหวาดกลัวยิ่งนัก!”
…ในเมืองคึกคักมาก แม้ว่าจะเป็นเวลาเช้าตรู่ ทว่าทุกหนแห่งล้วนมีผู้คนเดินทางไปสู่เวทีมวลพฤกษาอย่างเนืองแน่น ราวกับกระแสน้ำที่คดเคี้ยวสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาจากตรอกซอยที่คล้ายกับใยแมงมุม จากนั้นมุ่งตรงไปในทิศทางเดียวกัน
ณ สวนน้อยนภาเมฆ
ซูอี้กินจนอิ่มดื่มจนสบายแล้ว เขาเอนกายนอนบนเก้าอี้หวาย
“ศิษย์พี่ซู เย็นนี้พี่อยากจะกินอะไร ข้าจะกลับมาทำให้กิน”
เยว่ซือฉานถามเสียงอ่อนโยน
หญิงสาวสวมชุดสีขาวประดุจหิมะ สะพายดาบวิญญาณ ยืนน่ารักภายใต้แสงแดดยามเช้า ร่างงดงามอรชรราวกับออกมาจากภาพวาด
ซูอี้ยิ้มพลางตอบ “มัวคิดถึงแต่เรื่องเหล่านี้ไปไย ตั้งใจต่อสู้ก็พอแล้ว”
“ทุกครั้งที่เจอเรื่องใหญ่ต้องรู้จักสงบ นี่คือคำที่ศิษย์พี่ซูมักจะพูดอยู่เสมอ”
เยว่ซือฉานกะพริบตาปริบ ๆ
ซูอี้ถึงกับอึ้ง
“นายท่าน ถ้าเช่นนั้นข้าออกเดินทางพร้อมกับแม่นางซือฉาน”
หยวนเหิงก็เตรียมตัวพร้อมแล้วเช่นกัน มีความมั่นใจอย่างเต็มที่
ซูอี้โบกมือพลางกล่าว “ไปเถิด”
มองดูคนทั้งสองจากไปแล้ว ซูอี้พักผ่อนต่อสักครู่จึงกลับเข้าไปในห้องเพื่อฝึกสงบใจเหมือนที่เคยทำเป็นประจำ
งานชุมนุมมวลพฤกษาเป็นงานยิ่งใหญ่ของมหาทวีปคังชิง ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
ผู้ที่เข้าร่วมงานยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ มีทั้งผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันซึ่งมีอยู่ทั่วไปในใต้หล้า มีทั้งผู้ร้ายกาจยุคโบราณที่มีพื้นฐานน่ากลัวและมีที่มาไม่ธรรมดา มีทั้งบุคคลผู้มีอิทธิพลน่ายำเกรง…
แม้กระทั่งผู้ฝึกตนที่ไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมงานก็ยังตั้งตารอ
ทว่าซูอี้กลับไม่สนใจในเรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย
ทั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพราะเย่อหยิ่งทะนงตน รู้สึกว่าใคร ๆ ต่างก็ลุ่มหลงมีเพียงข้าเท่านั้นที่ตื่นอยู่
ซูอี้เพียงแค่รู้สึกว่างานยิ่งใหญ่เช่นนี้ค่อนข้างน่าเบื่อ สู้สงบใจฝึกตนอยู่เงียบ ๆ ยังจะมีความหมายยิ่งกว่า
ขณะที่ใกล้เที่ยง
ซูอี้เดินออกมาจากสวนน้อยนภาเมฆ เข้าไปในหอดอกชิ่งซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สั่งบะหมี่เจมากินอย่างเอร็ดอร่อย
แขกในร้านมีน้อยมาก
เถ้าแก่ก็ทำท่าซังกะตายเช่นกัน
เป็นเพราะในเมืองวันนี้ คนส่วนใหญ่ล้วนแห่กันไปดูการประลอง
กินบะหมี่เจเสร็จ ตอนที่ซูอี้จะจ่ายเงิน เก้าแก่อดถามขึ้นมาไม่ได้ “ดูท่าทางคุณชายก็เป็นผู้ฝึกตนเช่นกัน เหตุใดจึงไม่ไปร่วมชมงานชุมนุมมวลพฤกษา?”
ซูอี้ยิ้มพลางตอบ “งานเช่นนั้นสู้บะหมี่เจของร้านเจ้าไม่ได้”
พูดจบก็เดินมือไพล่หลังออกไป
เถ้าแก่นิ่งตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นคิดดูแคลน บะหมี่เจชามเดียวก็พอใจแล้วเช่นนั้นหรือ? คนหนุ่มคนนี้ ไม่มีความใฝ่ฝันเลยสักนิด!
ตอนเย็นยามโพล้เพล้ แสงตะวันประดุจไฟสีแดง
นครหลวงจิ๋วติ่งคึกคักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ว่าโรงน้ำชาโรงสุรา ผู้คนบนถนนหนทาง หรือแม้กระทั่งบ่อนพนันกับหอนางโลม ล้วนพูดคุยกันถึงการประลองกำลังบนเวทีมวลพฤกษาในวันนี้
ทั่วทั้งเมืองนครคึกคักเสียงดังยิ่งกว่าช่วงก่อน ๆ
ที่สวนน้อยนภาเมฆ
เยว่ซือฉานกับหยวนเหิงล้วนได้รับชัยชนะกลับมา
บนใบหน้าของคนทั้งสองล้วนมีสีหน้าโล่งสบาย
พวกเขานั่งอยู่ในสวนกับซูอี้ พลางดื่มสุราพลางพูดคุยกันไป เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในงานชุมนุมมวลพฤกษาในวันนี้
ซูอี้ไม่ได้แสดงสีหน้าเบื่อออกมาแต่อย่างใด เพียงแต่รับฟังเงียบ ๆ
“พวกเจ้าพักผ่อนให้เต็มที่ การต่อสู้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะต้องดุเดือดและรุนแรงยิ่งกว่านี้แน่ คู่ต่อสู้ที่พวกเจ้าจะได้เจอจะต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วย”
ยามดึกสงัด ซูอี้สั่งกำชับเสร็จก็กลับเข้าห้อง ตั้งใจว่าจะฝึกตนต่อ
ช่วงระยะหลายวันมานี้ เป็นเพราะไม่มีเรื่องจุกจิกใด ๆ มากวนใจ ทำให้การฝึกตนของเขาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว จนถึงตอนนี้ห่างจากขอบเขตเปิดทวารระยะสุดท้ายเพียงแค่หนึ่งก้าวเท่านั้น
รุ่งเช้าวันถัดมา
เยว่ซือฉานกับหยวนเหิงออกเดินทางไปร่วมงานชุมนุมมวลพฤกษาอีกครั้ง
ชีวิตประจำวันของซูอี้ยังคงเป็นไปตามปกติ
ราวกับว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในงานชุมนุมมวลพฤกษาอันเป็นที่จับตามองของคนในใต้หล้าไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดต่อเขาแม้แต่น้อย
เพียงแต่ว่ายามโพล้เพล้ในวันนี้ เมื่อหยวนเหิงกลับมาพร้อมกับเยว่ซือฉาน บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยากจะกลบเกลื่อน
เขาบอกซูอี้ในทันใดว่า ในงานชุมนุมมวลพฤกษาวันนี้ เขารู้สึกได้ถึงคลื่นพลังที่เหมือนกับคัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริง!
“พูดมาเช่นนี้ เก๋อเฉียนก็เข้าร่วมประลองในงานชุมนุมมวลพฤกษาด้วยเช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้รู้สึกสนใจขึ้นมาในทันใด
หยวนเหิงพยักหน้า “ไม่ผิด แต่เก๋อเฉียนใช้ชื่อปลอม เขาเรียกตัวเองว่าเก๋อฉางหลิง”
ซูอี้ถึงกับหัวเราะขึ้นมา “คน ๆ นี้บังอาจยิ่งนัก กล้าใช้ชื่อราชากลืนสมุทรซึ่งเป็นชื่อของอาจารย์เขาสร้างความตื่นตระหนกให้ผู้คน”
พูดถึงตรงนี้ เขาราวกับนึกอะไรขึ้นได้ พอแวบหายตัวก็มาอยู่ด้านนอกของสวนน้อยนภาเมฆ
สวบ!
แทบจะในเวลาเดียวกัน จิตสัมผัสของซูอี้ก็แผ่ขยายออกไป ครอบคลุมไปทั่วตรอกถนนที่อยู่ใกล้ ๆ ในชั่วพริบตา
ผู้คนบนท้องถนนเดินไปมาขวักไขว่
ในจิตสัมผัสของซูอี้สามารถสัมผัสได้อย่างแม่นยำว่า ที่ที่ไกลออกไปมีร่างผ่ายผอมร่างหนึ่งสวมชุดเต๋าสีเหลือง พรางตัวเข้าไปในกลุ่มฝูงคนแล้วก็หายลับไปอย่างรวดเร็วราวกับหนีอะไรบางอย่างอยู่
“ตามความคาดหมาย เก๋อเฉียนคนนี้ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายบนตัวหยวนเหิงเช่นกัน จึงได้สะกดรอยตามมาตลอดทาง”
รอยยิ้มมีเลศนัยของซูอี้ผุดขึ้นมา
ความอยากรู้อยากเห็นเป็นภัยถึงแก่ความตาย
ซูอี้มั่นใจได้ว่าไม่ต้องให้ตนเองต้องออกไปตามหาเอง เมื่อพบว่าในโลกนี้ยังมีคนอื่นที่ฝึกคัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริง คนขี้ขลาดระมัดระวังตัวจนเกินเหตุอย่างเก๋อเฉียนคนนี้ไม่มีทางหนีไปง่าย ๆ เช่นนี้อย่างแน่นอน
ในทางตรงข้าม ไม่ช้าก็เร็วคน ๆ นี้จะต้องมาหาถึงที่อย่างแน่นอน!