บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 523 สอดคล้องเข้ากันเป็นอย่างดี
ตอนที่ 523: สอดคล้องเข้ากันเป็นอย่างดี
ตอนที่ 523: สอดคล้องเข้ากันเป็นอย่างดี
ณ สวนน้อยนภาเมฆ
ซูอี้กล่าวกำชับกับหยวนเหิง “เมื่อสักครู่เก๋อเฉียนติดตามเจ้ามาตลอดทาง แต่ไม่เป็นไร วันพรุ่งนี้เจ้าจงเข้าร่วมงานชุมนุมมวลพฤกษาตามปกติราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นเสีย”
หยวนเหิงพยักหน้ารับคำ
ในขณะเดียวกันนี้เอง
เก๋อเฉียนเดินอ้อมถนนสิบกว่าสาย วกไปวกมาอยู่หลายครั้ง จนมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครตามมาอีก จึงมายืนอยู่ที่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่งในเมือง
เขาปาดเหงื่อพลางพ่นลมหายใจออกยาว พลันรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ พลางกล่าว “ท่านผู้เฒ่า?”
ไม่มีคนตอบ
“ผู้เฒ่าพูดอะไรออกมาบ้าง ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าให้ข้าสะกดรอยตามหยวนเหิงไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ถูกจับได้แล้ว ผู้เฒ่าจึงแสร้งทำเป็นตายเช่นนั้นหรือ?”
เก๋อเฉียนกล่าวประชดประชันไม่หยุด
ทว่าผิดจากความคาดหมาย หากเป็นเมื่อก่อนผู้เฒ่าจะต้องทะเลาะกับตัวเองเป็นเรื่องใหญ่แล้ว ทว่าครั้งนี้กลับเงียบเสียงไปไม่เหมือนดังเคย
เก๋อเฉียนรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล
เขานิ่งเงียบไปนานมาก จากนั้นจึงกล่าวขึ้นมาอีก “ผู้เฒ่า ‘คัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริง’ ที่ผู้เฒ่าถ่ายทอดให้ข้ามีปัญหา ใช่หรือไม่?”
เสียงถอนหายใจหนึ่งดังขึ้นในสมองของเก๋อเฉียน “ตอนนี้จิตใจของข้ากำลังสับสนวุ่นวาย เจ้าอย่ารบกวนข้าได้หรือไม่?”
เก๋อเฉียนฉีกปากหัวเราะขึ้นมา ก่อนจะกล่าว “ขอเพียงเจ้าอ้าปากพูด ก็ได้”
“ข้าบอกเจ้าได้แต่เพียง เรื่องในวันนี้อาจจะเป็นกับดักที่เตรียมไว้ให้ข้า”
เสียงของผู้เฒ่าดังขึ้นมาอีกครั้ง “แต่… อาจจะเป็นเรื่องดีที่ข้าใฝ่ฝันมานานแล้วก็เป็นได้ เฮ้อ… จะพูดอย่างไรดี ตอนนี้ใจข้าสับสนไปหมดแล้ว สับสนจนถึงขั้นแกะไม่ออก…”
เป็นครั้งแรกที่เก๋อเฉียนเห็นผู้เฒ่าขี้โม้ชอบยกยอตัวเองมีท่าทีสับสนและหวาดกลัวเช่นนี้ ราวกับทำอะไรไม่ถูก
หลังสูดหายใจลึก ๆ ไปทีหนึ่งแล้ว เก๋อเฉียนก็ถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าเช่นนั้นเจ้าอย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องนี้เลย บอกข้ามาก่อนว่างานชุมนุมมวลพฤกษาในวันพรุ่งนี้ต้องไปร่วมงานหรือไม่?”
เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละนิด
ผู้เฒ่ายังคงนิ่งเงียบ
คราวนี้เก๋อเฉียนเปลี่ยนไป ใจเย็นขึ้นมาก ไม่ได้เร่งเร้า
นานมาก ผู้เฒ่าจึงส่งเสียงเคร่งขรึม “ไป เจ้าจงทำตัวปกติราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น คอยดูท่าทีของหยวนเหิง หากว่ามีอันตรายเกิดขึ้น ต่อให้ข้าต้องทุ่มสุดตัวก็จะปกป้องเจ้า ไม่ให้เจ้าต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย!”
พูดถึงท้ายสุด น้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งความหนักแน่น
เก๋อเฉียนพยักหน้า พลางกล่าว “ได้!”
“หืม? ครั้งนี้เจ้ารับปากได้รวดเร็วเหลือเกิน ไม่เสียแรงที่หลายปีมานี้ได้สั่งสอนอบรมเจ้า”
น้ำเสียงของผู้เฒ่าแฝงไว้ซึ่งความชื่นชม
เขารู้ดีกว่าเก๋อเฉียนเป็นคนระมัดระวังตัวมากถึงเพียงใด ครั้งนี้เก๋อเฉียนสามารถรับปากเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งขึ้นมา
“อย่างไรเสียผู้เฒ่าก็บอกไว้แล้วว่าจะทุ่มสุดชีวิตเพื่อปกป้องข้า ข้ายังจะต้องกลัวอะไรอีก”
เก๋อเฉียนหัวเราะร่า
ผู้เฒ่า “…”
——
วันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนเก้า
งานชุมนุมมวลพฤกษาดำเนินไปเป็นวันที่สาม
ผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดที่เข้าร่วมการแข่งขันทั้งสิ้นหนึ่งหมื่นสามพันกว่าคน ตกรอบไปแล้วเจ็ดในสิบส่วน
และนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป การแข่งขันก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นมา
ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณกับผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันเหล่านั้นเริ่มแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมา การประลองเพื่อชิงชัยชนะในแต่ละรอบล้วนน่าตื่นเต้นเร้าใจอย่างที่สุด
จนกระทั่งความมืดปกคลุมลงมา ผู้คนบนถนนสายน้อยใหญ่กับในโรงน้ำชาโรงสุราแห่งเมืองจิ๋วติ่งต่างก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันว่าที่แท้แล้วผู้แข็งแกร่งคนใดกันที่สามารถเข้ารอบหนึ่งร้อยคนแรก
และมีผู้เก่งกาจคนใดกันที่สามารถเข้ารอบสิบอันดับแรก
บนเวทีมวลพฤกษา
“แม่นางซินจ้าว พวกข้าจัดเตรียมสุราอาหารไว้ที่หอทะเลสาบเมฆาแล้ว ทุกคนต่างก็หวังว่าแม่นางซินจ้าวจะมาร่วมงานตามคำเชิญ”
ชายหนุ่มรูปงามแต่งกายด้วยชุดสีเงินส่งเสียงเชิญ
เหวินซินจ้าวที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ส่ายหน้าพลางตอบแบบไม่ใส่ใจ “ขออภัย ข้ายังติดธุระ”
“ศิษย์พี่ซินจ้าว คืนนี้หลี่หานเติงแห่งสำนักเต๋าชิงอี่จัดงานเลี้ยงรับรอง จึงได้ไหว้วานข้าให้มาชวนศิษย์พี่ไปร่วมงานด้วย”
“ศิษย์พี่ซินจ้าว เจ้าสำนักบอกว่าคืนนี้จะพาพวกเราศิษย์สายตรงไปกราบคารวะบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในนครหลวงจิ๋วติ่ง ไม่รู้ว่าศิษย์พี่จะไปด้วยหรือไม่?”
ในบริเวณใกล้ ๆ มีคนมากมายมาสอบถาม เมื่อเผชิญหน้ากับเหวินซินจ้าว พวกเขาต่างก็แสดงสีหน้าเคารพยำเกรง
งานชุมนุมมวลพฤกษาในวันนี้สิ้นสุดไปแล้ว เมื่อตกดึกจึงเป็นธรรมดาที่จะจัดให้มีงานเลี้ยงเพื่อผ่อนคลาย ศิษย์รุ่นใหม่ขอบขุมกำลังต่าง ๆ ก็จะถือโอกาสนี้ทำการพบปะสังสรรค์ไปในตัว
แม้กระทั่งผู้อาวุโสเหล่านั้นต่างก็มีคนเชิญ
มารดาบน้อยผู้มีชื่อเสียงดังกระฉ่อนไปทั่วใต้หล้าอย่างเหวินซินจ้าว บุคคลรุ่นใหม่ดังเซียนผู้เฉิดฉายแห่งวังเทพสวรรค์เมฆาจึงได้รับคำเชื้อเชิญจากชายหนุ่มรูปงามจำนวนมากมายเป็นธรรมดา
ทว่าสำหรับคำเชื้อเชิญเหล่านี้ เหวินซินจ้าวล้วนปฏิเสธทั้งหมด
คืนนี้นางมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ต้องทำ
“พี่หยวนเหิง!”
ทันใด ดวงตาของเหวินซินจ้าวก็ลุกวาว เดินตรงไปหา
ผู้คนที่เข้ามาห้อมล้อมเหวินซินจ้าวต่างก็มองไป แลเห็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งเดินออกมาจากจุดที่ไม่ไกลนัก ผู้ชายร่างสูงใหญ่ หน้าตาธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น
ทว่าสาวน้อยที่อยู่ข้างกายผู้ชายคนนั้นกลับทำให้ทุกคนตื่นตะลึงนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น
สาวน้อยนางนั้นสวมชุดสีขาวสะอาดประดุจหิมะ สะพายดาบโบราณ ผมยาวดำงามสลวย ใบหน้างดงามอิ่มเอิบ ท่าทางเย็นชา เปรียบดั่งนางฟ้าฉางเอ๋อ โดดเด่นเกินธรรมดา
แม้กระทั่งเหวินซินจ้าวมารดาบน้อยผู้มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วหล้าเช่นนี้ก็ยังดูด้อยไป!
หญิงหนึ่งชายหนึ่งคู่นี้ก็คือเยว่ซือฉานกับหยวนเหิง
“แม่นางซินจ้าว พวกเราไปกันเถิด”
หยวนเหิงเผยรอยยิ้มทึ่ม ๆ ซื่อ ๆ ออกมา
เหวินซินจ้าวกล่าวอย่างมีความหวัง “ข้าอยากจะพบศิษย์พี่ซูจนใจจะขาดเช่นกัน ใช่แล้ว อีกประเดี๋ยวอาจารย์ข้าก็จะตามมาด้วย”
นางสังเกตุเห็นเยว่ซือฉานแล้ว ในใจรู้สึกตื่นตะลึงในความงดงามเย็นยะเยือกประดุจน้ำแข็งของอีกฝ่ายเช่นกัน
ทว่า อย่างไรเสียก็เป็นการพบกันครั้งแรก หลังจากที่หยวนเหิงแนะนำให้รู้จักแล้ว นางเพียงแค่พูดทักทายกับเยว่ซือฉานไม่กี่คำก็ติดตามหยวนเหิงกลับไป
“นั่นคงจะเป็นเยว่ซือฉานกระมัง สวยเหมือนนางฟ้าจริง ๆ!”
เห็นว่าพวกเขาไปกันแล้ว จึงได้มีคนร้องอุทานขึ้นมา
งานชุมนุมมวลพฤกษาดำเนินมาทั้งสิ้นสามวันแล้ว เดิมทีเยว่ซือฉานก็สวยโดดเด่นเกินใครอยู่แล้ว กอปรกับฝีมือวิถีดาบของนางก็แข็งแกร่งมากด้วย จึงเป็นที่จับตามองของคนจำนวนไม่น้อย
บางคนที่ชอบพูดมากถึงกับเรียกนางว่านางฟ้าซือฉาน
“ผู้ชายคนนั้นคือใครกัน? เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกปีศาจเท่านั้น กลับได้รับความสนใจจากสาวงามล้ำเลิศถึงสองคน ช่างประหลาดเสียจริง”
ไม่ไกลนัก หวนเฉ่าโหยวผู้มีผมสีม่วงสวมรัดเกล้าสีทองก็สังเกตเห็นเหตุการณ์ทางนี้เช่นกัน หัวคิ้วถึงกับเลิกขึ้นน้อย ๆ
หญิงสาวชุดลวดลายนกหงส์หยกกล่าวอย่างชอบใจ “หมดกัน สาวงามสองท่านที่นายน้อยหมายตาไว้ ถูกคนอื่นครอบครองก่อนแล้ว”
หวนเฉ่าโหยวกล่าวเนิบ ๆ “ด้วยประสบการณ์เอาชนะใจหญิงของข้า เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นเหวินซินจ้าว หรือเยว่ซือฉาน ล้วนยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่อง จะกล่าวว่าถูกครอบครองได้อย่างไรกัน?”
หญิงสาวในชุดลวดลายนกหงส์หยกสบถ “คนความคิดไม่ซื่อ ที่แท้คิดไม่ดีต่อแม่นางน้อยมานานแล้ว!”
หวนเฉ่าโหยวลูบคางพลางกล่าว “ผิดแล้ว ข้าเพียงแต่ชื่นชมในความงดงามของพวกนางเท่านั้น ชื่นชมในความสามารถของพวกนาง จึงทนไม่ได้ที่จะเห็นพวกนางถูกพวกผู้ชายธรรมดาทั่วไปในโลกสามัญรบกวน ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจยื่นมืดมาฉุดช่วยพวกนางให้พ้นจากเคราะห์ภัย ให้พวกนางได้ก้าวขึ้นเรือของข้า ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”
หญิงสาวในชุดลวดลายนกหงส์หยกนิ่งตะลึง พลางกล่าวตัดพ้อ “นายน้อย… ท่านไร้ยางอายจริง ๆ”
หวนเฉ่าโหยวหัวเราะฮ่า ๆ ขึ้นมา ก่อนจะกล่าว “เช่นนี้ไหนเลยเรียกว่าไร้ยางอายได้ เห็นชัด ๆ ว่าเป็นหน้าที่ที่ลูกผู้ชายเช่นข้าควรจะต้องรับผิดชอบ”
ขณะที่พูด เขาก็สาวเท้าก้าวใหญ่ ๆ เดินออกไปแล้ว
——
สวนน้อยนภาเมฆในค่ำคืนนี้มีแขกมาเยี่ยมเยือนถึงสองท่าน
แสงราตรีประดุจน้ำ ร้างดารา แสงจันทร์จาง ลมเย็นพัดสบาย
ค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วงให้ความรู้สึกเย็นสบาย
ภายในสวน ซูอี้เอนกายพลางจิบชาอยู่บนเก้าอี้หวาย ขณะสนทนาไปยิ้มแย้มไป “กล่าวออกมาเช่นนี้ก็แสดงว่าในช่วงหลายวันมานี้เจ้าตามหาข้ามาโดยตลอด?”
เหวินซินจ้าวผู้อยู่ฝั่งตรงข้ามยิ้มบาง ๆ พลางกล่าว “เป็นธรรมดา สำหรับข้าแล้ว ศิษย์พี่ซูเปรียบเสมือนเคล็ดลับวิถีดาบที่มีชีวิต เมื่อเจอความสงสัยที่เกี่ยวข้องกับวิถีดาบแล้วก็อดไม่ได้ อยากจะพบหน้าพี่ซู”
ซูอี้ถึงกับอึ้งพูดไม่ออก
เหวินซินจ้าวแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีเรียบ รวบผมหางม้า คอยาวระหง ผิวพรรณขาวเปล่งปลั่ง ในความงามแฝงไว้ซึ่งความสดใสกระฉับกระเฉง มองแล้วสบายตาชมแล้วสบายใจ
มารดาบน้อยผู้เฉิดฉายที่สุดในบรรดาคนรุ่นใหม่ของวังเทพสวรรค์เมฆา ได้พบกับหยวนเหิงในงานชุมนุมมวลพฤกษาในวันนี้ ก่อนจะรีบตามกลับมาด้วยในทันใด
อีกทั้งยังเรียกเซียนหานเยียนอาจารย์ของนางมาด้วย
เซียนหานเยียนถามด้วยเสียงนุ่ม “น้องซู ขออภัยที่ข้าถามจาบจ้วง เหตุใดเจ้าจึงไม่เข้าร่วมแข่งขันในงานชุมนุมมวลพฤกษาในครั้งนี้?”
แวบแรกที่นางเห็นซูอี้ก็ยังตะลึงไปชั่วขณะ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าหนุ่มน้อยรูปงามเช่นนี้มีอะไรดีจึงทำให้เหวินซินจ้าวให้ความเคารพและเลื่อมใสถึงเพียงนั้น
เมื่อได้ลองสนทนาแล้ว ความเฉยเมยต่อลาภยศสรรเสริญและความเรียบง่ายของซูอี้กลับทำให้เซียนหานเยียนรู้สึกชื่นชม ไม่รู้สึกมีอคติหรือรังเกียจแต่อย่างใด
เพียงแต่ว่า อย่างไรเสียในใจก็ยังคงมีความสงสัยอยู่ไม่น้อย
ไม่รอให้ซูอี้เอ่ยปากพูด เยว่ซือฉานที่อยู่อีกด้านก็กล่าวขึ้นมา “สำหรับศิษย์พี่ซูแล้ว งานใหญ่โตเช่นนี้ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก หากเข้าร่วมการแข่งขันก็มีแต่จะเสียเวลาศิษย์พี่ซูเท่านั้น”
นางนั่งอยู่ข้างกายซูอี้มาโดยตลอด ชุดสีขาวของนางขาวสะอาดยิ่งกว่าหิมะ หน้าตางดงามประดุจภาพวาดเช่นนี้แลดูเย็นชาและเงียบสงบภายใต้แสงจันทร์ยามราตรี
ทว่าความงดงามของนางกลับทำให้คนอื่น ๆ ไม่อาจมองข้ามนางไปได้
ทว่า เมื่อได้ยินนางตอบมาเช่นนี้แล้ว ยังคงทำให้เซียนหานเยียนถึงกับตะลึงไปชั่วครู่ พลางกล่าว “น่าเบื่อ?”
งานยิ่งใหญ่อันเป็นที่จับตามองของคนทั้งใต้หล้า ดึงดูดปีศาจอสูรไม่รู้จำนวนเท่าใดต่อเท่าใดมาร่วมการแข่งขันชิงชัยเช่นนี้ เหตุใดจึงกลายเป็นเรื่องที่น่าเบื่อสำหรับซูอี้ไปได้?
เหวินซินจ้าวก็ตะลึงไปชั่วครู่เช่นกัน พลันเม้มริมฝีปากยิ้ม “อาจารย์ ข้าเคยบอกกับท่านตั้งนานแล้วว่าศิษย์พี่ซูไม่เหมือนพวกผู้เก่งกาจเหล่านั้น”
เซียนหานเยียนตั้งสติสักครู่ ทว่าสุดท้ายก็ยังคงทนไม่ไหว จากนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า “น้องซู ก่อนหน้านี้ซินจ้าวเคยบอกกับข้าว่านักฆ่าชุดเขียวที่ฆ่าฮั่วเทียนตูผู้อาวุโสใหญ่แห่งวังเทพสวรรค์เมฆาของข้าเมื่อหลายวันก่อนอาจจะเป็นเจ้า ไม่รู้ว่าเจ้า…”
ไม่รอให้พูดจบ ซูอี้ก็วางถ้วยชาในมือลง แล้วเอ่ยขึ้นมา “ไม่ผิด ข้าเป็นคนฆ่าเอง”
เซียนหานเยียน “…”
ร่างอรชรของเหวินซินจ้าวก็สั่นสะท้านน้อย ๆ เช่นกัน ดวงตางามเบิกกว้าง ที่แท้เป็นไปตามที่ตัวเองคิดไว้ไม่ผิดเลยจริง ๆ!
เซียนหานเยียนสูดลมหายใจลึก ๆ ไปทีหนึ่งและถามอีกครั้ง “หากว่าเจ้าเป็นคนฆ่าจริง เหตุใดตระกูลฮั่วจึงไม่มาเอาผิดกับเจ้า?”
ซูอี้เลิกคิ้วน้อย ๆ
อาจารย์ท่านนี้ของเหวินซินจ้าว มีความงดงามแบบผู้ใหญ่ สวยโดดเด่น ทว่าเหตุใดจึงมีคำถามเยอะแยะเสียจริง
คิดสักครู่ เพื่อไม่ต้องเจอคำถามไม่จบไม่สิ้น ซูอี้จึงตอบออกมาตามตรง “หลายวันมานี้ ข้าไม่เพียงแต่ฆ่าฮั่วเทียนตูเท่านั้น ยังฆ่าโจวเฟิ่งจือแห่งสำนักดาบเทียนชู เล่อเฟิงกับทิงเฮ่อแห่งสำนักเต๋าชิงอี่ แต่ว่าขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา… จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้มาเอาผิดกับข้า เหตุผลนั้นง่ายมาก นั่นก็เพราะว่ามีคนช่วยข้าปิดข่าว”
เซียนหานเยียนตะลึงนิ่งไป
เหวินซินจ้าวก็นิ่งอยู่ตรงนั้นเช่นกัน
ศิษย์อาจารย์สองคนนี้ต่างก็ตะลึงในคำตอบของซูอี้
เยว่ซือฉาน หยวนเหิง กับไป๋เวิ่นฉิงเสียอีกที่เจอเช่นนี้อยู่บ่อย ๆ จนเคยชินไปเสียแล้ว
ภายใต้แสงจันทร์ยามราตรี สีหน้าอาการที่ต่างกันสอดคล้องเข้ากันเป็นอย่างดี