บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 524 คิดฆ่า
ตอนที่ 524: คิดฆ่า
ตอนที่ 524: คิดฆ่า
ครู่หนึ่ง กว่าเซียนหานเยียนจะได้สติ “ที่แท้น้องซูอายุเท่านี้ก็มีพลังรบอันทรงพลังเพียงนี้แล้วหรือ ดูท่า ก่อนหน้านี้ข้าจะประเมินน้องซูต่ำไป”
เสียงนั้นยังคงนุ่มนวลน่าฟัง
ทว่าซูอี้ฟังออกว่านางหาได้คิดดั่งเช่นที่นางพูด
เขายิ้ม ไม่อธิบายใด ๆ
เรื่องราวในโลกนี้เป็นเช่นนี้แล เมื่อเล่าเรื่องที่เกินกว่าการยอมรับของมนุษย์ ผลตอบรับคือเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หรือกระทั่งเกิดการเข้าใจผิด
มีเพียงผู้ที่เข้าใจเท่านั้น ถึงจะเชื่อจากใจจริง
สิ่งนี้ไม่ใช่การว่าร้าย
ว่ากันตามจริง เป็นเพียงความเข้าใจที่ไม่ตรงกันเท่านั้น
อย่างเหวินซินจ้าวมีปฏิกิริยาต่างออกไป ตาคู่สวยของมารดาบน้อยผู้นี้เปล่งประกาย พูดเหมือนยังอยู่ในภวังค์ “มิน่าเล่า ท่านถึงไม่เข้าร่วมชุมนุมมวลพฤกษา หากข้ามีพลังอย่างท่าน ย่อมรู้สึกน่าเบื่อเช่นกัน”
เสียงใสเสนาะหูเจือความนับถือปลาบปลื้มอย่างไม่ปิดบัง
สายตาของเซียนหานเยียนมีเลศนัยยิ่งขึ้น แม่หนูนี่… อย่างกับโดนกรอกยากล่อมจิตเข้าไป ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปจะทำอย่างไรดีเล่า
ในตอนนั้นเอง ข้างนอกสวนน้อยนภาเมฆพลันมีเสียงโต้เถียงกัน
“ราชวงศ์เซี่ยจุ้นจ้านจริง ๆ ข้าแค่มาเยี่ยมเยือนเท่านั้น เหตุใดต้องขวางข้าด้วย เจ้าของสวนน้อยแห่งนี้เก่งกาจมากนักหรือ?”
เป็นเสียงก้องกังวาน เจือแววไม่สบอารมณ์
“คุณชายหวนหยุดอยู่ตรงนี้ดีกว่า มิฉะนั้น หากต้องปะทะกันคงไม่ดีแน่”
“อย่างนั้นรึ เช่นนั้นข้าอยากจะลองดูจริง ๆ ว่าจะปะทะกันได้ดุเดือดเพียงใด”
ได้ยินเสียงทะเลาะเช่นนี้แล้ว ซูอี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
คุณชายหวน?
หรือว่าจะเป็นคนของตระกูลหวนเผ่ามาร
ขณะที่ซูอี้กำลังครุ่นคิด เสียงกังวานเสียงนั้นก็ดังเข้ามาในสวนน้อยนภาเมฆในฉับพลัน “แม่นางซินจ้าว แม่นางซือฉาน ข้าบุ่มบ่ามมาหา โปรดปรากฏตัวออกมาให้ข้าได้พบด้วย!”
เหวินซินจ้าวและเยว่ซือฉานต่างผงะไปทั้งคู่ และรู้สึกฉงนเล็กน้อย
“นั่นมันหวนเฉ่าโหยว ทายาทสายตรงของตระกูลหวนเผ่ามาร!”
รูม่านตาเซียนหานเยียนแข็งทื่อ “ฝีมือที่ชายคนนี้แสดง ณ ชุมนุมมวลพฤกษาสามวันที่ผ่านมาน่าทึ่งมาก ผู้ใดก็ตามที่ประลองกับเขา ล้วนถูกเขาทำให้ปราชัยได้ในกระบวนท่าเดียว มิหนำซ้ำฝ่ายที่พ่ายแพ้ยังบาดเจ็บสาหัส ผู้ฝึกตนจำนวนหนึ่งถูกทำลายพลังวิถี ลูกไม้โหดเหี้ยมทารุณยิ่ง”
“เขานี่เอง!”
หยวนเหิงอารมณ์พลุ่งพล่าน
“ฮ่า ๆๆ ชมกันเกินไปแล้ว ข้าไม่กล้ายอมรับหรอก!”
เสียงหัวเราะกังวานของหวนเฉ่าโหยวดังมาจากข้างนอกสวนน้อย
เห็นได้ชัดว่าเขาได้ยินบทสนทนาในสวนน้อยแล้ว
เวลานั้น เหวินซินจ้าวและเยว่ซือฉานก็เข้าใจที่สุดว่าคนผู้นี้คือใคร ทว่าทั้งคู่สงสัยยิ่งกว่าเดิม
เพราะพวกนางไม่เคยข้องแวะใด ๆ กับหวนเฉ่าโหยว เรียกว่ารู้จักไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ไม่รู้จักรึ?” ซูอี้ถาม
เหวินซินจ้าวและเยว่ซือฉานพยักหน้า
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย
ขณะนั้นเอง เสียงของหวนเฉ่าโหยวดังขึ้นอีกครั้ง “แม่นางซินจ้าว แม่นางซือฉาน วันนี้พวกราชวงศ์เซี่ยทำให้หมดสนุก วันหน้าข้าค่อยมาเยี่ยมเยียนทั้งสองท่านใหม่ ถึงเวลานั้น เรามานั่งดื่มสุรา สนทนาทางวิถี เชื่อว่าแม่นางทั้งสองต้องพึงพอใจมากเป็นแน่”
เหวินซินจ้าวทนไม่ไหวอีกต่อไป “ไม่ใช่ญาติมิตรสนิท เราไม่เคยรู้จักกัน เหตุใดเจ้าจึงเสียมารยาทเช่นนี้? ข้าจะบอกให้ ชั่วชีวิตนี้ข้าก็ไม่อยากรู้จักมักจี่กับคนอย่างเจ้า!”
คิ้วเรียวของเยว่ซือฉานก็ขมวดเข้าหากัน แม้นางไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใด ทว่าสีหน้าเย็นเยียบลงเรื่อย ๆ
ห่างจากสวนน้อยนภาเมฆไม่ไกล
หวนเฉ่าโหยวในชุดสะอาดสะอ้าน ผมสีม่วงประดับด้วยรัดเกล้าสีทอง หัวเราะน้อย ๆ พลางเอ่ยด้วยท่าทีสบาย ๆ “แม่นางซินจ้าว อย่าพูดจาหักหาญน้ำใจกันนักสิ ท่านเป็นเหมือนกับแม่นางซือฉาน เป็นสาวงามสะท้านโลกไม่กี่คนที่หวนเฉ่าโหยวผู้นี้ชื่นชม หลังจากนี้… เราจะมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกเยอะแน่ ๆ!”
พูดจบ เขาก็หันหลังเดินจากไป
ในพื้นที่ใกล้เคียง เหล่าองครักษ์ต้าเซี่ยที่คอยกีดกันไม่ให้หวนเฉ่าโหยวเข้าไปในสวนน้อยนภาเมฆต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก
ต้องเผชิญกับทายาทตระกูลหวนที่ขึ้นชื่อเรื่องบ้าคลั่งอันธพาล เหล่าองครักษ์ต้าเซี่ยต่างก็กดดันมากเช่นกัน
ยังดี คืนนี้หวนเฉ่าโหยวไม่ก่อเรื่องแต่อย่างใด
ภายในสวนน้อยนภาเมฆ
หน้าตาของเหวินซินจ้าวฉายแววขุ่นเคือง “หมอนี่ถือว่าตระกูลหวนเผ่ามารบารมีเกรียงไกร ไร้กฎไร้เกณฑ์จริง ๆ!”
เยว่ซือฉานเอ่ยเสียงใส “คนไร้ยางอายต่ำทรามคนหนึ่งเท่านั้น ข้าว่าไม่ต้องเก็บไปใส่ใจหรอก”
บนเก้าอี้เถาวัลย์ ซูอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องขุ่นข้องใจเพราะคนเลวทรามเช่นนี้ ถ้าเขาบังอาจตามราวีพวกเจ้าอีก ข้ารับประกันว่าเขาจะตายอย่างอนาถ”
หยวนเหิงสะท้านใจ นายท่านคิดฆ่าแล้ว!
ก็จริง หวนเฉ่าโหยวผู้นั้นบังอาจหมายตาแม่นางซินจ้าวและแม่นางซือฉาน รนหาที่ตายชัด ๆ
เซียนหานเยียนอดเตือนไม่ได้ “น้องซู ตระกูลหวนเผ่ามารถูกขนานนามว่าเป็นกลุ่มอิทธิพลวิถีมารอันดับหนึ่งในใต้หล้าตั้งแต่สามหมื่นปีก่อน ตระกูลนี้…”
นางสาธยายภูมิหลังของตระกูลหวนเผ่ามาร แล้วจึงเอ่ยขึ้น “น้องซูจำได้หรือไม่ว่า เมื่อหลายวันก่อน เรือล่องล้อเมฆามารนับพันของตระกูลหวนเผ่ามารได้บุกรุกนครหลวงจิ๋วติ่ง?”
ซูอี้พยักหน้า
เซียนหานเยียนกล่าว “คิดแล้วเจ้าคงดูออก ว่าตระกูลหวนยโสโอหังเพียงใด กระทั่งราชวงศ์เซี่ยเอง ท้ายที่สุดก็ไม่ได้กำจัดภัยให้หมดสิ้น ยอมให้ผู้แกร่งตระกูลหวนออกจากนครหลวงจิ๋วติ่งอย่างปลอดภัย
นางเว้นจังหวะ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยท่าทีจริงจัง “ในสถานการณ์เช่นนี้ น้องซูอย่าได้วู่วามไป และอย่าปะทะกับตระกูลหวนเผ่ามารจะเป็นการดีกว่า”
เยว่ซือฉาน หยวนเหิง ไป๋เวิ่นฉิงมีสีหน้าแปลกไป
พวกเขาย่อมดูออกว่าเซียนหานเยียนนั้นหวังดี และคิดเผื่อตัวซูอี้จริง ๆ เพียงแต่… นางคิดมากไปอย่างเห็นได้ชัด
เหตุที่เรือล่องล้อเมฆามารนับพันของตระกูลหวนเผ่ามารล่าถอย เพราะซูอี้ควบคุมค่ายกลพิทักษ์แดนจิ๋วติ่งตอบโต้ หากไม่ได้เวิงจิ่วและนายท่านของเขาห้าม เรือล่องล้อเมฆามารนับพันกับบรรดาผู้แกร่งตระกูลหวนคงได้โดนฆ่าทิ้งเสียตรงนั้นไปแล้ว!
แน่นอนว่าพวกเยว่ซือฉานก็รู้ดี เรื่องลับเช่นนี้ต่อให้เอ่ยปากเล่าให้ฟัง เกรงว่าท่านอาจารย์ของเหวินซินจ้าวคงไม่ยอมเชื่อง่าย ๆ
เซียนหานเยียนเป็นคนระดับใดกัน นางรับรู้ได้ด้วยปฏิภาณว่าสีหน้าของพวกเยว่ซือฉานผิดปกติ จึงเอ่ยขึ้นด้วยความฉงน “หรือทุกท่านคิดว่าข้าพูดผิดไปหรือ”
“เรื่องนั้น…”
พวกหยวนเหิงทอดสายตามองซูอี้
ซูอี้คลี่ยิ้ม “ความหวังดีของท่าน ทุกคนฟังออก ทว่าเรื่องนี้ ข้ามีการตัดสินใจของตัวเอง”
เซียนหานเยียนเป็นสตรีรูปงามอ่อนโยนโตเต็มวัย ในฐานะท่านอาจารย์ของเหวินซินจ้าว นางเผยให้เห็นถึงความใจกว้างและวุฒิภาวะที่ผู้อาวุโสคนหนึ่งพึงมี
และเพราะเหตุนี้ ซูอี้จึงไม่ใส่ใจคำว่า ‘น้อง’ ที่อีกฝ่ายใช้เรียกตัวเอง และไม่รู้สึกขุ่นเคืองกับบางคำพูดของอีกฝ่าย
หากเป็นคนอื่น คงไม่มีสิทธิ์ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากเขา
“อย่างนั้นหรือ หากน้องซูตัดสินใจได้แล้วย่อมเป็นการดีที่สุด”
เซียนหานเยียนพยักหน้า
คุยกันต่ออีกครู่หนึ่ง นางกับเหวินซินจ้าวก็ลุกขึ้นและขอตัวลา
ดึกมากแล้ว งานชุมนุมมวลพฤกษาในวันพรุ่งนี้จะมีการคัดเลือกผู้เข้าประลองร้อยคนสุดท้าย กระทั่งเหวินซินจ้าวก็ต้องเตรียมตัวให้ดี
ก่อนไป เหวินซินจ้าวอดถามไม่ได้ “ศิษย์พี่ซู มะรืนนี้งานชุมนุมมวลพฤกษาก็จะปิดฉากลงแล้ว และเป็นวันที่งานชุมนุมมวลพฤกษาแข่งขันกันอย่างดุเดือดที่สุด ท่านไม่คิดจะไปดูหน่อยหรือ”
ซูอี้ตอบยิ้ม ๆ “หากพวกเจ้าเข้ารอบจนถึงการประลองรอบสุดท้าย ข้ายินดีไปดูทว่าท้ายสุดแล้วพวกเจ้าเดินไปได้ไกลเท่าใด”
ตาคู่สวยของเหวินซินจ้าวเป็นประกาย “ถึงตอนนั้น ข้าจะขอให้ท่านอาจารย์มารับท่าน เช่นนี้ท่านก็จะขึ้นไปรับชมงานประลองบนแท่นผู้ชมของงานชุมนุมมวลพฤกษา”
ซูอี้ส่ายหัวพลางกล่าว “ไม่ต้องรบกวนถึงขนาดนั้น ข้ามีเทียบเชิญ จะไปเมื่อใดก็ได้”
เหวินซินจ้าวตอบด้วยรอยยิ้มละไม “ข้าลืมไปเลย ด้วยฝีมือของศิษย์พี่ซู การเข้างานชุมนุมมวลพฤกษาเป็นเรื่องง่ายแค่พลิกมือ”
พูดจบ นางก็กลับไปพร้อมกับท่านอาจารย์ของนาง
ออกจากสวนน้อยนภาเมฆได้ไม่นาน เซียนหานเยียนเอ่ยขึ้นอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป “ซินจ้าว สิ่งที่ซูอี้กล่าวในคืนนี้ เจ้า… เชื่อหมดทุกอย่างเลยหรือ”
เสียงของเหวินซินจ้าวใสกังวาน ตอบโดยไม่ต้องคิด “จากที่ข้ารู้จักศิษย์พี่ซูมา เขาไม่มีทางโอ้อวดตนเองในเรื่องเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ”
เซียนหานเยียนอดถอนหายใจไม่ได้ “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าช่างไม่สมจริงเลยล่ะ คนหนุ่มพลังขอบเขตเปิดทวาร จะฆ่าการดำรงอยู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอย่างฮั่วเทียนตู โจวเฟิงจื่อ เล่อเฟิง ทิงเฮ่อได้อย่างไร หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็หมายความว่าถ้าเป็นข้า ก็หาใช่… คู่ต่อสู้ของซูอี้อย่างนั้นหรือ?”
เหวินซินจ้าวชะงัก ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ท่านอาจารย์ อย่าเพิ่งสนใจเรื่องเหล่านี้เลย เอาไว้วันหน้ามีโอกาสเมื่อใด ลองพิสูจน์พลังของศิษย์พี่ซู ข้อกังขาในใจของท่านย่อมได้คำตอบแน่ชัด”
เซียนหานเยียนตอบอืมมาคำหนึ่ง “น่าเสียดาย หนนี้เขาไม่ได้เข้าร่วมงานชุมนุมมวลพฤกษา อยากเห็นกับตาว่าเขามีความสามารถมากเพียงใด คงได้แต่รอภายภาคหน้า”
……
สวนน้อยนภาเมฆ
หลังจากส่งตัวสองอาจารย์ศิษย์ เซียนหานเยียนและเหวินซินจ้าวออกไปแล้ว ซูอี้จึงเรียกหยวนเหิงเข้ามา “วันนี้เจอเก๋อเฉียนหรือไม่”
หยวนเหิงพยักหน้า “เจอขอรับ นายท่าน ข้าพบว่าเขาใช้วิชาสุดยอดอย่างฝ่ามือเสวียนอู่สะท้านโลกาในการต่อสู้เช่นกัน”
พูดมาถึงนี่ เขาก็ลังเลเล็กน้อย “นายท่าน ท่านว่าข้าควรมีปฏิสัมพันธ์กับเก๋อเฉียนดูดีหรือไม่”
“ไม่จำเป็น”
นัยน์ตาของซูอี้สั่นระริก “แค่เขายังไม่หนีไปก็เพียงพอแล้ว”
ตามที่เขาคาดไว้ หลังจากเก๋อเฉียนรู้สึกถึงคัมภีร์เต่าหางมังกรดำที่แท้จริงจากตัวหยวนเหิงแล้ว ก็เล็งเห็นถึงปัญหา
ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ เก๋อเฉียนจะไม่หนี ก็หมายความว่าต่อมความใคร่รู้ของเขาโดนกระตุ้นขึ้นแล้ว ช้าเร็วก็ต้องเป็นฝ่ายมาเข้าพบเอง!
เมื่อคิดแล้ว ซูอี้ก็เอ่ยขึ้น “หากเขาเป็นฝ่ายเข้ามาสนทนากับเจ้าเพื่อหยั่งเชิง เจ้าบอกเขาไปตามตรงเลยว่าวิชาสืบสานที่เจ้าฝึกฝนอยู่ ได้รับการถ่ายทอดมาจากข้า”
เก๋อเฉียนย่อมรู้ว่าเขาคือใคร ครานั้นที่ทะเลวิญญาณโกลาหล ทั้งคู่ก็เคยพบกันแล้ว
หากเก๋อเฉียนรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเขา ความระแวงในใจย่อมลดลงไม่น้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาต้องพิจารณาว่าควรมาพบปะสนทนากับตนเองอย่างไรดี
“ได้ขอรับ”
หยวนเหิงพยักหน้ารับปาก
“กลับไปพักผ่อนเถิด”
ซูอี้โบกมือ
เดิมหยวนเหิงยังอยากรายงานฝีมือที่ตัวเองเฉิดฉายที่ชุมนุมมวลพฤกษา แต่ลงท้ายก็อดทนไว้
มีหรือที่เขาจะดูไม่ออกว่านายท่านไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลยสักนิด
‘ต้องพยายามพุ่งเข้าไปติดอันดับร้อยคนสุดท้าย เช่นนี้ในการประลองวันสุดท้ายของชุมนุมมวลพฤกษา นายท่านก็จะเห็นฝีมือของข้าจากแท่นผู้ชม’
หยวนเหิงมาดมั่นอยู่ในใจ
ซูอี้ไม่ได้คิดเยอะถึงขั้นนั้นจริง ๆ
ทว่า หลังจากกลับถึงห้องตัวเอง เขาก็หวนนึกถึงเรื่องเมื่อหลายวันก่อน ที่ต้องรักษาเยว่ซือฉานด้วยตัวเองทุกคืน
จนตอนนี้ หลังจากพิษกู่ในตัวเยว่ซือฉานถูกกำจัดจนหมดสิ้นแล้ว อยู่ดี ๆ ไม่ต้องทำเช่นนี้อีกกลับทำให้ซูอี้รู้สึกว่างโหวงในใจ