บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 526 สูงส่งอยู่บนแท่นหยก
ตอนที่ 526: สูงส่งอยู่บนแท่นหยก
ตอนที่ 526: สูงส่งอยู่บนแท่นหยก
นครหลวงจิ๋วติ่งในตอนนี้ รู้ดีกันทุกผู้ทุกคนว่าหวนเฉ่าโหยวมีนิสัยบ้าคลั่งโหดเหี้ยมเพียงใด
เขากระทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่มีความเกรงกลัว ยโสโอหัง ตลอดหลายวันที่ชุมนุมมวลพฤกษาถูกจัดขึ้น ผู้ใดที่ประลองกับเขาล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส
ผู้แกร่งที่ถูกทำลายรากฐานมหาวิถีก็มีไม่น้อย!
เรียกได้ว่า สำหรับเหล่าผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณและผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบัน หากไม่จำเป็น พวกเขาก็ไม่อยากประลองกับคนที่ดุร้ายคลุ้มคลั่งเช่นนี้
และในเวลานี้ หน้าทางเข้าชุมนุมมวลพฤกษา กลับมีคนพูดข่มขู่คนบ้าอย่างหวนเฉ่าโหยวออกมาตรง ๆ ซ้ำยังยั่วโมโหหวนเฉ่าโหยวอีกด้วย!
ฝูงชนไม่อยากเชื่อกันหมด
ในใต้หล้าอาณาจักรต้าเซี่ยแห่งนี้ ผู้ใดจะไปหาเรื่องหวนเฉ่าโหยวทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าเขาคือใคร
“ซูอี้นี่!”
ในฝูงชนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เจียงหลี อวี่เหวินซู่จำซูอี้ได้และต้องมีสีหน้าประหลาดไปอย่างอดไม่ได้
หวนเฉ่าโหยวเป็นการดำรงอยู่ที่สยดสยองและอันตรายที่สุดในบรรดาตัวตนร้ายกาจจากยุคโบราณ
ทว่าพวกเจียงหลีรู้ดี หากพูดถึงความอันตราย ซูอี้ที่ดูไม่แสดงพลานุภาพย่อมเก่งกาจกว่าหวนเฉ่าโหยวมาก!
ขณะเดียวกัน ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณและผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันจำนวนหนึ่งก็อยู่ในฝูงชนด้วย เมื่อเห็นภาพนี้ แต่ละคนล้วนมีสีหน้าสนอกสนใจ
ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดอึดอัด
หวนเฉ่าโหยวพลันหัวเราะออกมา “ข้าไม่รู้ว่าผู้ใดมอบความกล้าแก่เจ้า ถึงบังอาจท้าทายข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ”
หน้าตาของเขาเปื้อนยิ้ม สายตาจ้องมองซูอี้ พลางเอ่ยเน้นทีละพยางค์ “รอให้ข้าได้ยันต์พระสุเมรุเมื่อใด แล้วจะตั้งใจเล่นสนุกกับสหายแน่!”
พูดมาถึงตอนท้ายสุด น้ำเสียงของเขาเจือจิตสังหารเย็นยะเยือก
จากนั้น หวนเฉ่าโหยวก็หมุนตัวจากไป
ทุกคนผงะกันหมด จับต้นชนปลายไม่ถูก หวนเฉ่าโหยวผู้มีนิสัยดุร้ายคลุ้มคลั่ง บัดนี้กลับอดกลั้นได้อย่างนั้นหรือ?
“บ้าคลั่งที่ว่านั้น ท้ายสุดก็เป็นเพียงเปลือกนอก”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
การยอมถอยของหวนเฉ่าโหยวอาจดูน่าขายหน้า ทว่าซูอี้รู้ดี คนเช่นนี้แลยิ่งอันตรายและตึงมือ
ความบ้าคลั่ง ไม่ได้หมายถึงความบุ่มบ่ามและโง่เขลา
เมื่อชาติก่อน ซูอี้ได้พบจอมมารเฒ่าผู้ดื้อดึงเสียสติมากมาย แต่ละคนอำมหิตตึงมือกันทั้งนั้น
หวนเฉ่าโหยวซึ่งเป็นทายาทตระกูลหวนเผ่ามาร อาจดุร้ายอำมหิต ยโสโอหัง แต่ไม่ใช่คนโง่เขลาแน่นอน
“ไปกันเถิด”
โดยไม่ต้องคิดเยอะ ซูอี้ก็ได้พาหยวนเหิงและเยว่ซือฉานมุ่งหน้าต่อไป
ตลอดทาง บรรดาผู้ฝึกตนหลีกทางให้ด้วยสัญชาตญาณ ราวกับกังวลว่าจะไปเกี่ยวข้องกับซูอี้ และถูกเพ่งเล็งทำร้ายจากตระกูลหวนเผ่ามาร
“ไม่คิดเลยว่าหวนเฉ่าโหยวจะยอมถอย”
เจียงหลีนิ่งงันไปเล็กน้อย ตาเฉี่ยวของนางฉายแววตะลึง
อวี่เหวินซู่เอ่ยอย่างครุ่นคิด “หวนเฉ่าโหยวคือทายาทที่ตระกูลหวนเผ่ามารให้ความสำคัญที่สุดในการอบรมสั่งสอน ย่อมไม่มีทางเป็นแค่คนเสียสติ บางทีระหว่างการประจันหน้ากับซูอี้เมื่อครู่ เขาคงรู้สึกถึงความผิดปกติ”
ระหว่างที่พวกเขาสนทนา ก็มุ่งหน้าไปทางสนามด้วย
“ทุกท่านรู้หรือไม่ว่าคนหนุ่มชุดสีเขียวผู้นั้นคือใคร?”
“ไม่รู้ แต่เรื่องที่แน่ใจได้คือเขาไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมมวลพฤกษา มิเช่นนั้นคงมีคนรู้ตัวตนของเขานานแล้ว”
“ไม่ว่าอย่างไร มีท่านเซียนซือฉานและหยวนเหิงติดตามข้างกาย กระทั่งหวนเฉ่าโหยวยังเลือกถอยให้ชั่วคราว คนหนุ่มชุดสีเขียวผู้นี้ไม่มีทางเป็นคนธรรมดาแน่”
“เหอะ ๆ เก่งให้ตายแล้วอย่างไรเล่า ไม่ได้ยินที่หวนเฉ่าโหยวพูดหรือ หลังจากชุมนุมเซียนพระสุเมรุในวันนี้สิ้นสุดลง เขาจะไปเอาเรื่องคนหนุ่มชุดสีเขียวผู้นี้ ไม่แน่ว่าเขาต้องจบชีวิตลงในคืนนี้!”
…พื้นที่รอบ ๆ ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา
“ซูอี้แตกหักกับหวนเฉ่าโหยวซึ่ง ๆ หน้าเลยรึ…”
กู่ชางหนิงมีสายตาแปลกไป
ก่อนหน้านี้ เขาเองก็อยู่ในฝูงชน และเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
ทว่า ด้วยความรู้จักที่เขามีต่อซูอี้ รู้ดีว่าในเมื่อซูอี้กล้าทำแบบนี้ ย่อมไม่สนใจคำข่มขู่จากตระกูลหวนเผ่ามาร
“ข้าสัมผัสได้ว่าเจ้าคนที่ประจันหน้ากับหยวนเฉ่าโหยวเมื่อครู่จะต้องเก่งมาก! เป็นยอดฝีมือที่ไม่เปิดเผยตัว กระทั่งข้าเองยังอยากสู้กับเขาดูสักตั้ง!”
ตาของเฉิงผูเป็นประกาย ฉายแววกระหายการต่อสู้
คนหนุ่มในชุดสีเทาผู้นี้ เคยกำราบผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณทังเซียวซาน ด้วยกำปั้นเพียงหนึ่งคู่ของเขาเหนือแอ่งเกล็ดทอง ชื่อก้องไปทั่วนครหลวงจิ๋วติ่ง จึงถูกมองเป็นบุคคลสะท้านฟ้าในหมู่ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณ
“อย่างนั้นหรือ น่าเสียดาย ดูเหมือนเขาจะไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมมวลพฤกษาสินะ”
ด้านข้างของเฉิงผู หญิงสาวผมสั้นเสมอหู ทรงคิ้วและสายตาคมกริบดั่งมีดส่ายหัวเบา ๆ
หญิงสาวอยู่ในชุดนักรบ เรือนร่างสูงเพรียวเว้านูนเป็นคลื่นสวย ผิวขาวผ่องของนางนวลเนียนดั่งหยก สองข้างเอวคอดห้อยฝักมีดไว้ข้างละเล่ม ขาวหนึ่งดำหนึ่ง
จุดที่สะดุดตาคือติ่งหูข้างซ้ายของนาง มีห่วงหยกกระดูกขาวรูปร่างม้วนวนคล้ายงูห้อยอยู่
สตรีผู้นั้นดูงดงามสง่า และเผยความไม่อยู่ใต้กฎระเบียบ
ฉือเจี่ยนซู่
เช่นเดียวกับเฉิงผู ฉือเจี่ยนซู่ก็เป็นการดำรงอยู่ระดับต้น ๆ ในหมู่ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณ ในชุมนุมมวลพฤกษาหลายวันมานี้ ชนะต่อเนื่องด้วย ‘มีดคู่เสวียนหมิง’ ได้สบาย ๆ
นางเองก็ถูกมองเป็นหนึ่งในผู้เข้าประลองที่มีหวังว่าจะได้อันดับหนึ่ง
“หืม แปลกจริงเชียว ยอดฝีมือเช่นเขา เหตุใดถึงไม่เข้าร่วมชุมนุมมวลพฤกษา”
เฉิงผูอดชะงักไม่ได้ ไม่เข้าใจอย่างมาก
“ใส่ใจเรื่องพวกนี้ทำไมกัน ในเมื่อหวนเฉ่าโหยวบอกว่าหลังชุมนุมมวลพฤกษาจบแล้วจะไปเอาเรื่องหมอนั่น ถึงตอนนั้นเราค่อยตามไปดูก็ได้”
ฉือเจี่ยนซู่เอ่ย ก่อนจะก้าวขาเรียวยาวไปด้านหน้า
นางมีนิสัยกระฉับกระเฉง ไม่ชอบทำอะไรอืดอาดยืดยาด
“เหอะ ๆ ฉือเจี่ยนซู่ เจ้าไม่กลัวว่าจะเจอกับข้าในชุมนุมมวลพฤกษาวันนี้หรือไร?”
เฉินผูไล่ตามขึ้นไปด้วยรอยยิ้ม
ต่างจากฉือเจี่ยนซู่ เขามีท่าทีเกียจคร้านเจ้าสำราญ มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา แต่มีนิสัยวาจารุนแรงชวนทึ่ง
เมื่อครั้งกำราบผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ทังเซียวซาน ณ แอ่งเกล็ดทองได้แล้ว เขาเคยประกาศว่าผู้ฝึกคนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณคนใดไม่ชอบหน้าเขา มาท้าสู้กับเขาได้ทั้งหมด
กระทั่งในชุมนุมมวลพฤกษาครานี้ ก็เคยเอื้อนเอ่ยวาจาที่ชวนกระอักกระอ่วนออกมา หลังจากคู่ต่อสู้พ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ
พูดง่าย ๆ คือ คนหนุ่มที่ดูไม่มีพิษภัยผู้นี้ แท้จริงแล้วปากจัดยิ่ง
“ได้เจอสิดี ข้าจะฟันเจ้าก่อนเลย!”
ฉือเจี่ยนซู่ตอบโดยไม่หันกลับมามอง
เฉินผู้หัวเราะอย่างไม่ถือสา
…..
ทางเข้าชุมนุมมวลพฤกษา
“สหายเต๋าซู เชิญ”
เวิงจิ่วชะเง้อมองคอยอยู่นานแล้ว เมื่อเห็นซูอี้ จึงเข้ามาต้อนรับ
“ไม่ต้องใช้เทียบเชิญหรือ?” ซูอี้ถาม
เวิงจิ่วเอ่ยยิ้ม ๆ “ผู้อื่นต้องใช้ ท่านไม่ต้อง มิฉะนั้นข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อการใดกันเล่า”
พูดจบ เขาก็พาซูอี้เดินไปยังด้านในชุมนุมมวลพฤกษา
ภายในชุมนุมมวลพฤกษามีพื้นที่ไพศาล จุคนได้นับหมื่น ภายในนั้นมีสนามประลองตั้งอยู่ถึงเจ็ดสิบสองสนาม
รอบ ๆ ชุมนุมมวลพฤกษาคือแท่นผู้ชม
ส่วนตะวันออกของชุมนุมมวลพฤกษา คือแท่นหยกกลาง
วันนี้คือวันสุดท้ายของชุมนุมมวลพฤกษา ผู้แกร่งหนึ่งร้อยคนที่เข้ารอบ กำลังจะประลองเพื่ออันดับสุดท้ายในวันนี้
คนใหญ่คนโตที่มาร่วมงานในวันนี้ก็มีมากมายเช่นกัน
อย่างเช่น ‘หลูเต้าถิง’ เจ้าสำนักดาบเทียนชู
‘เซียนโม่หยาง’ เจ้าสำนักเต๋าชิงอี่
‘อวี้จิ่วเจิน’ เจ้าสำนักวังเทพสวรรค์เมฆา
‘เจ้าอาวาสจิ้นหยวน’ แห่งวัดมหาจันทรามาร่วมงานกันทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ผู้นำสามตระกูลใหญ่แห่งต้าเซี่ย รวมถึงคนสำคัญในราชวงศ์เซี่ยจำนวนหนึ่งก็อยู่ในนี้ด้วย
เรียกได้ว่า เหล่าคนใหญ่คนโตชื่อก้องสูงส่งที่สุดในโลกฝึกฝนต้าเซี่ยมาปรากฏตัวที่ชุมนุมมวลพฤกษาในวันนี้ทั้งหมด!
ส่วนที่นั่งของคนใหญ่คนโตเหล่านี้ล้วนอยู่บนแท่นหยกกลาง ซึ่งตั้งอยู่ส่วนตะวันออกของชุมนุมมวลพฤกษา
เมื่อซูอี้และเวิงจิ่วเดินเข้าไปในชุมนุมมวลพฤกษา ก็เห็นว่าบนแท่นผู้ชมรอบด้านมีผู้คนมาจับจองอยู่เต็มไปหมด แน่นขนัดมีจำนวนถึงหลักหมื่น
มีเพียงแท่นหยกตรงกลางที่ดูโล่ง ทว่าก็มีคนมาจับจ้องที่นั่งอยู่ไม่น้อย
เวิงจิ่วพาซูอี้ไปยังแท่นหยกกลาง
ตลอดทางที่เวิงจิ่วเดินผ่าน บรรดาองครักษ์ต้าเซี่ยที่ประจำตำแหน่งอยู่รอบ ๆ ล้วนก้มหัวคำนับ
ส่งผลให้สายตาคนมากมายในสนามจับจ้องมาที่เวิงจิ่วกับซูอี้
จวบจนพวกเขามาถึงแท่นหยกกลางซึ่งสร้างด้วยหยกขาวสุกใส สูงเก้าจั้ง คนในสนามไม่น้อยต่างมีสีหน้าอึ้งงัน
“นั่นมันคนหนุ่มที่ประจันหน้ากับหวนเฉ่าโหยวก่อนหน้านี้นี่ เขาเป็นใครกันแน่ ถึงขึ้นไปชมการประลองบนแท่นหยกกลางได้?”
เสียงเซ็งแซ่ดังอยู่ในสนาม
ชุมนุมมวลพฤกษาในวันนี้ มีมหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณจำนวนไม่น้อยจากทั่วสารทิศ และไม่มีผู้ใดได้จับจ้องที่นั่งบนนั้น!
แต่คนหนุ่มอย่างซูอี้กลับได้อยู่บนแท่นหยกกลาง จึงเป็นการยากหากไม่ต้องการเป็นที่จับตามอง
‘ตามคาด อย่างที่ท่านพ่อบอก ฐานะของซูอี้ผู้นี้ไม่ธรรมดา!’
เจียงหลีคิดในใจ
นางไม่มีทางลืม เมื่อครั้งโจวอี้ปลิดชีพโจวเฟิงจื่อที่แอ่งเกล็ดทองในคืนนั้นแล้ว ท่านพ่อของนาง เจียงเซียวเชิงเป็นผู้ออกโรงปิดข่าวด้วยตัวเอง
และในตอนนั้นเองที่เจียงหลีรู้ว่า เบื้องหลังซูอี้ยังมีอิทธิพลยิ่งใหญ่สนับสนุนอยู่อีกกลุ่มหนึ่ง
ซ้ำทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ยังเป็นการพิสูจน์ข้อนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“เขา… ไม่ธรรมดาเลย…”
กู่ชางหนิงตาค้างนิดหน่อย
เขาพอนึกออกว่าซูอี้มีหนทางเข้ามาชมการประลองในชุมนุมมวลพฤกษา แต่นึกไม่ถึงเลยว่าซูอี้จะขึ้นไปอยู่บนแท่นหยกกลางได้อย่างโจ่งแจ้ง!
“มิน่าเล่า ถึงกล้าประจันหน้ากับหวนเฉ่าโหยว เพราะเขาก็มีภูมิหลังไม่ธรรมดา”
เฉิงผูปริปาก
“ภูมิหลังเกรียงไกรเพียงไร หากความสามารถไม่เก่งกล้าพอ ก็เปล่าประโยชน์”
น้ำเสียงฉือเจี่ยนซู่เด็ดขาดและกระฉับกระเฉง
“ไม่หรอก เขาแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนตอนที่ข้าสังเกตเห็นเขา พลังในตัวราวกับถูกกระตุ้น เกิดเป็นความต้องการสู้รุนแรง…”
เฉิงผูสาธยาย
ดวงตาคมกริบดั่งมีดของฉือเจี่ยนซู่หรี่ลง ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก
“ท่านอาจารย์เจ้าคะ นั่นมันศิษย์พี่ซูนี่”
ตาคู่สวยของเหวินซินจ้าวลุกวาว ดวงหน้างดงามเผยความยินดี “เขามาจริง ๆ ซ้ำยังนั่งบนแท่นหยกกลางอีกด้วย”
ด้านข้าง เซียนหานเยียนชะงักไป
เมื่อคืนนางเพิ่งได้พบซูอี้ และได้ยินเขาเล่าเรื่องที่นางยังไม่อาจทำใจเชื่อได้ในขณะนั้น
แต่บัดนี้ ซูอี้อยู่บนแท่นหยกกลาง ส่งผลให้เซียนหานเยียนตะลึงระคนประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
“หรือว่าซูอี้ผู้นี้ มีภูมิหลังและความเป็นมาที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้?”
เซียนหานเยียนฉงนยิ่งขึ้น
“เขาไม่ใช่คนธรรมดาจริง ๆ”
แทบจะในเวลาเดียวกัน หวนเฉ่าโหยวก็สังเกตเห็นซูอี้บนแท่นหยกกลาง แววตาเขาแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย หน้าตาฉายความมุ่งร้าย