บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 527 ที่แท้เขาคือซูอี้!
ตอนที่ 527: ที่แท้เขาคือซูอี้!
ตอนที่ 527: ที่แท้เขาคือซูอี้!
ครั้งเมื่อเขาถูกซูอี้ข่มขู่ก่อนหน้านี้ หวนเฉ่าโหยวจึงตระหนักรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ชายหนุ่มผู้ไม่ทราบที่มา แต่กลับกล้าที่จะยั่วยุเขาต่อหน้าธารกำนัล เหตุการณ์เช่นนั้นนับว่าผิดปกติยิ่ง!
ดังนั้นเมื่อคราวก่อนเขาจึงเลือกที่จะอดกลั้นชั่วคราว
และยิ่งขณะนี้เมื่อเขาเห็นร่างของซูอี้ปรากฏขึ้นบนเวทีหยกกลางสำหรับรับชมงาน หวนเฉ่าโหยวก็เข้าใจมากยิ่งขึ้น
ชายหนุ่มผู้นี้มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดาแน่นอน!
“ต่อให้เจ้าจะเป็นรัชทายาทของจักรพรรดิต้าเซี่ย ถ้าเจ้ากล้าต่อต้านข้า ข้าก็กล้าสังหารเจ้า!”
หวนเฉ่าโหยวพึมพำด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทว่าแววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและเย็นชา
“ซูอี้!!”
เก๋อเฉียนที่แต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีเหลือง อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างในขณะนี้เช่นกัน “เหตุใดซูอี้ถึงปรากฏตัวที่นี่? อีกทั้งยังขึ้นไปนั่งตรงจุดที่นั่งสำคัญได้เช่นนั้น?”
เก๋อเฉียนรู้สึกสับสน สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนด้วยหลากหลายอารมณ์
เขาได้สอบถามข่าวไปแล้วว่าในบรรดาผู้บ่มเพาะที่เข้าร่วมงานชุมนุมมวลพฤกษา มีเพียงเขา หยวนเหิง และเยว่ซือฉานเท่านั้นที่มาจากต้าโจว
ในหมู่พวกเขา หยวนเหิงฝึกฝน ‘คัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริง’ แบบเดียวกันกับเขาและช่ำชองใน ‘ฝ่ามือเสวียนอู่สะท้านโลกา’ เช่นเดียวกับเขา
สิ่งนี้ทำให้ทั้งเขาและชายชราที่อยู่ในร่างรู้สึกประหลาดใจและงงงวยอย่างสุดแสน และทำให้เขาเริ่มวางแผนที่จะหาโอกาสเค้นความลับนี้จากหยวนเหิง
ทว่าโดยไม่คาดคิดก่อนที่เขาจะทันได้เข้าถึงตัวหยวนเหิง ซูอี้ผู้นี้กลับปรากฏตัวขึ้นก่อน!
“ในตอนนั้นที่ทะเลวิญญาณโกลาหล ซูอี้ได้หยิบยืมพลังแห่งสวรรค์และโลกเข่นฆ่าตัวตนน่าสะพรึงกลัวสามตัวที่ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึก และทำให้ตัวตนน่าสะพรึงกลัวที่เหลือทำได้เพียงก้มศีรษะลง…”
“นานเพียงใดแล้วที่เหตุการณ์นั้นผ่านไป? และตอนนี้เขามีคุณสมบัตินั่งบนที่นั่งนั้นแล้วอย่างนั้นหรือ?”
จิตใจของเก๋อเฉียนปั่นป่วน
เขาประหลาดใจมาก
นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่ทะเลวิญญาณโกลาหล เขายิ่งหวาดกลัวซูอี้จนทำให้เขาตัดสินใจที่จะหนีจากต้าโจวมาซ่อนตัวที่ต้าเซี่ย
แต่ใครจะไปคิดว่าในงานชุมนุมมวลพฤกษาอันโด่งดังนี้ เขากลับได้พบกับซูอี้อีกครั้ง…
ณ เวลานี้ เก๋อเฉียนอยากจะบอกชายชราที่อยู่ในร่างของเขาถึงเรื่องทั้งหมดนี้
แต่สุดท้ายก็รั้งไว้
ขณะนี้พวกเขาอยู่ในงานชุมนุมมวลพฤกษาที่ซึ่งมีเหล่าตัวตนยิ่งใหญ่มากมายมารวมกัน เขากังวลว่าหนึ่งในตัวตนยิ่งใหญ่พวกนี้อาจมีสักคนที่สัมผัสได้ถึงตัวตนของชายชราในร่างของเขา
เก๋อเฉียนสูดหายใจเข้าลึก เขากัดฟันอย่างเงียบ ๆ และเดินเข้าหาหยวนเหิงซึ่งอยู่ไม่ไกล
“ข้าขอเสียมารยาทขัดจังหวะ เท่าที่ข้ารู้สหายเต๋ามาจากต้าโจวเช่นกัน ดังนั้นแล้วท่านจำชายหนุ่มที่เพิ่งปรากฏตัวบนเวทีหยกกลางสำหรับรับชมงานได้หรือไม่”
เก๋อเฉียนประสานมือคารวะพร้อมกับโค้งกายเล็กน้อยไปทางหยวนเหิง แสดงให้เห็นท่าทางอันเจียมเนื้อเจียมตัว
หยวนเหิงเริ่มใจเต้น เด็กคนนี้ไม่อาจยั้งใจได้แล้ว!
เมื่อเห็นเช่นนี้หยวนเหิงจึงไม่รีรอและตอบกลับว่า “นั่นคือนายท่านของข้า มีนามว่าซูอี้”
เก๋อเฉียนตกตะลึง
ไม่ว่าอารมณ์ของเขาจะสงบเพียงใด เขาเกือบจะร้องไห้ออกมาในขณะนี้
หยวนเหิงยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของเก๋อเฉียน จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นถามว่า “ท่านมีอะไรจะถามอีกหรือไม่สหายเต๋า?”
เก๋อเฉียนเงียบไปครู่หนึ่งและพูดว่า “สหายเต๋า ข้าคิดว่าท่านเองก็น่าจะสังเกตเห็นว่าเคล็ดวิชาที่เราทั้งสองบ่มเพาะนั้นมีที่มาเดียวกัน ดังนั้นแล้วหากท่านพอจะบอก… ”
หยวนเหิงกล่าวขึ้นแทรก “ท่านต้องการถามข้าว่าเคล็ดวิชาที่ข้าฝึกฝนมาจากไหนใช่หรือไม่?”
เก๋อเฉียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก พยักหน้าและกล่าวว่า “ไม่ผิด”
อันที่จริงเป็นสิ่งต้องห้ามในการถามที่มาของเคล็ดวิชาต่อผู้อื่น
ทว่าโชคดีที่หยวนเหิงดูเหมือนจะไม่ใส่ใจ
หยวนเหิงยิ้มและเอ่ยตอบอย่างเรียบง่าย “ขอไม่ปิดบังสหายเต๋า เคล็ดวิชาที่ข้าบ่มเพาะล้วนถูกสอนโดยนายท่านของข้าซูอี้!”
เก๋อเฉียนราวกับถูกฟ้าผ่า ตกตะลึงจนทั้งร่างแข็งค้าง
ซูอี้!?
ผู้ที่ทำให้ชายชราในร่างของเขากลัวจนหัวหดอย่างนั้นน่ะหรือ?
ในขณะนี้เก๋อเฉียนยิ่งรู้สึกสับสน
…
ณ เวทีกลางสำหรับรับชมงาน
บรรดาตัวตนยิ่งใหญ่ทุกคนที่นั่งรวมกันอยู่ที่นี่นั้นยิ่งใหญ่เสียจนหากพวกเขาร่วมกันกระทืบเท้าก็สามารถสะเทือนต้าเซี่ยได้สามครั้ง ขณะนี้พวกเขาทั้งหมดต่างนั่งแยกโต๊ะกัน
เพียงแต่ว่าสายตาของพวกเขากลับมองไปยังชายหนุ่มปริศนาผู้มาใหม่ซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลนักเป็นครั้งคราว สีหน้าของพวกเขาต่างแสดงถึงความแปลกใจ
ซูอี้ก็รับรู้ถึงการถูกจ้องมองของผู้คนเช่นกัน
ทว่าเขาได้หาสนใจไม่
ภายใต้การจัดการของเวิงจิ่ว เขาได้นั่งอยู่ในตำแหน่งที่ดีมาก จากที่นี่ เขาสามารถมองเห็นเวทีประลองทั้งเจ็ดสิบสองเวทีได้โดยไม่มีอะไรมาบดบัง
นอกจากนี้ยังมีอาหารรสเลิศ ชา และของว่างมากมายบนโต๊ะตรงหน้า
ซูอี้เทสุราให้ตัวเอง จากนั้นจึงหยิบเมล็ดแตงวิญญาณหนึ่งกำมือและเริ่มแทะกินอย่างสบายอารมณ์
เวิงจิ่วกังวลเล็กน้อยว่าซูอี้จะไม่ชอบบรรยากาศที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนเช่นนี้
แต่พอเห็นฉากนี้ ข้าก็รู้ทันทีว่าเขาคิดมากเกินไป
คนอย่างซูอี้… ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดตราบเท่าที่ต้องการย่อมเปลี่ยนสถานที่นั้นให้เป็นประหนึ่งเหมือนสวนหลังบ้านของตนเอง…
เวิงจิ่วเอ่ยขึ้นผ่านกระแสปราณวิญญาณไปหาซูอี้พร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย “สหายเต๋า นายท่านของข้าจะมารับชมงานนี้ด้วยเช่นกัน แต่ท่านอาจจะประหลาดใจอยู่สักหน่อยเมื่อได้เห็นนายท่านของข้าในคราวนี้”
ซูอี้พ่นลมหายใจอย่างไม่ใส่ใจ
เวิงจิ่ว “…”
เขาคิดว่าซูอี้จะสนใจที่จะถามคำถาม แต่มันกลับกลายเป็นว่าซูอี้ดูเหมือนจะไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
ด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวกับตัวเอง เวิงจิ่วจึงหันหลังกลับและจากไป
“ชายชราเหลยเยวี่ยนตู้ผู้นี้ขอบังอาจทราบชื่อเสียงเรียงนามของสหายน้อยสักหน่อยได้หรือไม่?”
ที่โต๊ะใกล้เคียงกับซูอี้ ชายชรารูปร่างผอมบางทว่ายังมีใบหน้าที่เยาว์วัยทักทายซูอี้ด้วยรอยยิ้ม
เหลยเยวี่ยนตู้
ผู้นำตระกูลเหลย หนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งต้าเซี่ย เป็นผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ซึ่งมีชื่อเสียงมาหลายสิบปี
ยามได้ยินประโยคคำถามนี้ของเหลยเยวี่ยนตู้ สายตาของบรรดาตัวตนยิ่งใหญ่หลายคนต่างมองมาอย่างสนใจ
“ซูอี้”
ซูอี้ถ่มเปลือกเมล็ดแตงโมในปากของเขาออกก่อนจะตอบอย่างสบาย ๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ทว่าต้องรู้ไว้ ทุกคนที่นั่งอยู่บริเวณนี้ทั้งหมดต่างเป็นตัวตนยิ่งใหญ่ในต้าเซี่ย ชื่อเสียงของพวกเขาเลื่องลือไม่ต่างจากตำนานซึ่งเล่าขานมายาวนาน
หากเป็นรุ่นเยาว์คนอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์เช่นนี้เกรงว่าพวกเขาคงจะหวาดหวั่นและไม่อาจสงบใจลงได้เลย
แต่สำหรับซูอี้ ท่าทีของเขากลับไม่ยี่หระเลยแม้แต่น้อย
หากไม่ใช่เพราะว่าวันนี้ต้องมาดูการประลองรอบสุดท้ายของเยว่ซือฉาน เหวินซินจ้าว และหยวนเหิงเขาคงคร้านกว่าจะมาที่นี่
รอยยิ้มของเหลยเยวี่ยนตู้แข็งค้าง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา
เฒ่าชราอย่างเขาจะไม่เห็นได้อย่างไรว่าท่าทีที่ซูอี้แสดงออกนั้นหาได้แยแสตัวเขาไม่
สิ่งนี้ทำให้เหลยเยวี่ยนตู้หมดความสนใจที่จะสนทนาต่อไปและรู้สึกไม่มีความสุขในใจเล็กน้อย
แค่ข้าเอ่ยทักทายชายหนุ่มเช่นเจ้าก่อนนั้น ก็นับได้ว่าตัวข้าให้เกียรติเจ้ามากแล้ว แต่ทว่าเจ้ากลับเมินเฉยต่อข้าเช่นนี้ช่างโอหังนัก!
อย่างไรก็ตาม เหลยเยวี่ยนตู้ยังคงสงวนท่าทีไม่แสดงโทสะออกไปเพราะตระหนักรู้ว่าคนหนุ่มอายุน้อยเช่นซูอี้ การที่สามารถเข้ามาร่วมนั่งบริเวณเดียวกับพวกเขาได้ย่อมต้องมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา
แต่ถึงแม้เหลยเยวี่ยนตู้จะไม่รู้เมื่อเขาได้ยินชื่อ ‘ซูอี้’ ทว่าหัวใจของผู้ยิ่งใหญ่บางคนกำลังตะลึงงัน!
“ปรากฏว่าคนหนุ่มผู้นี้คือซูอี้!”
ดวงตาของอวี้จิ่วเจินเป็นประกาย เขาคือเจ้าสำนักของวังเทพสวรรค์เมฆา!
วันนี้เขาสวมชุดยาวคล้ายนักพรตเต๋า ใบหน้าของเขาเรียบเนียนราวกับหยกและดูเยาว์วัย แค่เพียงนั่งในท่าสบาย ๆ แต่ทว่ากลิ่นอายอำนาจที่แผ่ออกไม่เป็นรองผู้ใดในที่นี้เลย
แน่นอนอวี้จิ่วเจินเคยได้ยินเกี่ยวกับซูอี้!
ศิษย์หลักสามคนซึ่งรวมถึงฮั่วอวิ๋นเซิงแห่งวังเทพสวรรค์เมฆาของเขา ทั้งหมดล้วนตายภายใต้คมดาบของซูอี้
จางอวิ๋นเทาผู้อาวุโสสำนักชั้นนอกยังถูกซูอี้กำราบด้วยสองดาบ
และแม้แต่การตายของผู้อาวุโสสูงสุดฮั่วเทียนตู่ ซึ่งเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นกลางก็น่าจะเป็นไปได้ว่าเกี่ยวข้องกับซูอี้ผู้นี้!
แน่นอนว่าอวี้จิ่วเจินไม่คาดคิดเลยว่าจะได้เห็นซูอี้ที่นี่วันนี้
“ซูอี้…”
เซียนโม่หยาง เจ้าสำนักเต๋าชิงอี่ขมวดคิ้ว
ไม่นานมานี้เขาได้ส่งผู้อาวุโสสองคนคือเล่อเฟิงและทิงเฮ่อมายังนครหลวงจิ๋วติ่งเพื่อพยายามค้นหาความจริงเกี่ยวกับการตายของลี่เมี่ยวหงจากซูอี้
ทว่าโดยไม่คาดคิด เล่อเฟิงและทิงเฮ่อกลับตายลงโดยที่เขาไม่อาจจับมือใครดมได้!
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตะเกียงวิญญาณแห่งชีวิตที่วางไว้ในสำนักของเล่อเฟิงและทิงเฮ่อดับลง เซียนโม่หยางก็คงไม่อาจเชื่อเช่นกันว่าผู้อาวุโสของเขาตายไปทั้งคู่
“ไม่ว่าจะเป็นการตายของลี่เมี่ยวหงหรือการตายของเล่อเฟิงและทิงเฮ่อ ทั้งหมดล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับซูอี้ผู้นี้แน่นอน!”
สีหน้าของเซียนโม่หยางค่อนข้างแน่ใจ
“ซูอี้?”
ในขณะเดียวกัน หลูเต้าถิงเจ้าสำนักดาบเทียนชูและฮั่วหมิงเยวี่ยนผู้นำตระกูลฮั่วและเจียงเซียวเชิงผู้นำตระกูลเจียง พวกเขาต่างแสดงสีหน้าแตกต่างกัน
หลูเต้าถิงทราบข่าวการตายของโจวเฟิงจื่อแล้ว และเขายังรู้จากเจียงเซียวเชิง ว่าการตายของโจวเฟิงจื่อนั้นเกี่ยวข้องกับชายหนุ่มที่ชื่อซูอี้!
อย่างไรก็ตาม เจียงเซียวเชิงเตือนเขาว่ามีกลุ่มอำนาจที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งคอยหนุนหลังซูอี้ผู้นี้ และซูอี้กับโจวเฟิงจื่อต่างก็มีความแค้นส่วนตัวต่อกันมานานแล้ว ดังนั้นหลูเต้าถิงควรคิดให้รอบคอบหากต้องการจะแก้แค้นให้กับโจวเฟิงจื่อ
ดังนั้นในเวลานี้เมื่อเขารู้ว่าคนหนุ่มในชุดสีเขียวผู้นี้คือซูอี้ หลูเต้าถิงเจ้าสำนักดาบเทียนชูจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาเย็นชา
สำหรับ ฮั่วหมิงเยวี่ยนผู้นำของตระกูลฮั่ว ซูอี้นั้นเป็นศัตรูที่ตระกูลฮั่วเกลียดชังมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!
ถ้าไม่ใช่เพราะแรงกดดันซึ่งมาจากวังหลวงโดยตรง ฮั่วหมิงเยวี่ยนคงจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อฆ่าซูอี้ไปนานแล้ว!
ทว่า แม้แต่ฮั่วหมิงเยวี่ยนก็ไม่เคยคิดว่าซูอี้จะปรากฏตัวต่อหน้าเขาเช่นนี้
ทันใดนั้น เขาเกือบจะไม่สามารถระงับเจตนาฆ่าและความเกลียดชังในหัวใจลงได้ สีหน้าของเขาจึงมืดหม่นมากกว่าใครในที่นี้
สำหรับเจียงเซียวเชิง…
เขาไม่มีความคับข้องใจหรือเป็นปฏิปักษ์กับซูอี้ แต่เขารู้ดีว่าหลูเต้าถิงเจ้าสำนักดาบเทียนชูอาจมีสีหน้าที่ไม่ดีนัก
ในเวลาเดียวกัน ผู้ยิ่งใหญ่คนอื่น ๆ ต่างก็ตระหนักดีว่ามีบางอย่างผิดปกติกับบรรยากาศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลูเต้าถิง อวี้จิ่วเจิน และเซียนโม่หยาง ผู้นำทั้งสามของสำนักยุทธ์อันยิ่งใหญ่แห่งต้าเซี่ยและฮั่วหมิงเยวี่ยนผู้นำของตระกูลฮั่ว สีหน้าของพวกเขาทั้งหมดเปลี่ยนไปอย่างมากหลังจากได้ยินชื่อซูอี้
สิ่งนี้ทำให้ตัวตนยิ่งใหญ่คนอื่น ๆ รู้สึกประหลาดใจและงงงวย เป็นไปได้หรือไม่ที่ซูอี้ผู้นี้มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มอิทธิพลระดับสูงเหล่านี้ทั้งหมด?
ถ้าเป็นอย่างนั้นมันน่าเหลือเชื่อมาก!
ทว่าภายใต้การจ้องมองทั้งหมดนี้ ซูอี้กลับไม่ได้ใส่ใจเลย
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ ผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนต่างยิ่งตะลึงใจ คนหนุ่มผู้นี้… สงบจริง ๆ…
ที่โต๊ะหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกล เจ้าอาวาสจิ้นหยวนแห่งวัดมหาจันทรา ผู้ซึ่งมีระดับการฝึกฝนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นกลาง เขาแต่งกายตามแบบของหลวงจีนอย่างที่ควรเป็น ศีรษะโล้นเลี่ยนสะอาด ทั้งสองมือวางอยู่บนตักพลางนับประคำด้วยสิบนิ้ว
ทันใดนั้น ร่างกายของเขาแข็งค้าง นิ้วของเขาหยุดหมุนสายประคำ และใบหน้าแปรเปลี่ยนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นทันที
เมื่อแลมองไป เขาเห็นว่าขณะนี้ซูอี้กำลังจ้องมองตนเองอยู่!