บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 529 งดงามสะกดตา
ตอนที่ 529: งดงามสะกดตา
ตอนที่ 529: งดงามสะกดตา
เฉินลวี่ผู้นี้เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ทางวิถีพุทธซึ่งหายากอย่าง ‘สงบนิ่งไร้มลทิน’
เมื่อตอนที่เขาย่างเข้าสู่วิถีต้นกำเนิดขอบเขตไร้เบญจธัญ โลกหล้าเกิดปรากฏการณ์เสียงสวดสันสกฤตและจันทราส่งเสียงขับขาน ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสว่างจ้า
เมื่อพวกเขาย่างเข้าสู่ขอบเขตเปิดทวาร ภาพมายาของมังกรสวรรค์ปรากฏขึ้นบินวนเวียนเหนือท้องฟ้า มีเสียงระฆังและกลองดังก้องกังวานทั้งเช้าและเย็น
เมื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตรวบรวมดารา ปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์บังเกิดขึ้นอีกครา คราวนี้เป็นภาพมายาของแท่นดอกบัวลอยอยู่กลางท้องฟ้าและเหล่าดวงดาวปรากฏขึ้นในเวลากลางวัน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลวงจีนเยาว์ผู้นี้ของวัดมหาจันทราคือยอดอัจฉริยะของโลกอย่างแน่แท้!
แม้แต่ซูอี้ยังเคยได้ยินหยวนเหิงพูดถึงเฉินลวี่
ว่ากันว่าหลวงจีนผู้นี้เชี่ยวชาญ ‘มหาอำนาจบัญญัติแห่งมังกรสวรรค์’ แม้ภายนอกจะดูเหมือนสงบและอ่อนโยน แต่เมื่อใดที่ลงมือจู่โจมศัตรู เขาจะกลับกลายเป็นดั่งร่างอวตารของมหาทรราช หยิ่งทะนงดั่งเปลวเพลิงและทรงพลังอย่างไร้ผู้ใดกังขา
เมื่อเห็นหลวงจีนหนุ่มผู้นี้จากระยะไกล ซูอี้ก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า
ด้วยพรสวรรค์และปรากฏการณ์อันน่ามหัศจรรย์มากมายที่เกิดขึ้นแก่เฉินลวี่ผู้นี้ ต่อให้เป็นในเก้ามหาแดนดิน หลวงจีนหนุ่มผู้นี้ก็นับว่ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้กลายเป็นศิษย์หลักของอารามพุทธที่ใหญ่อันดับต้นได้อย่างแน่นอน
แต่กระนั้นตำแหน่งศิษย์หลักคือจุดสูงสุดที่เฉินลวี่ผู้นี้จะได้ไปถึง นั่นคือทั้งหมด
ช่องว่างระหว่างทวีปคังชิงและเก้ามหาแดนดินนั้นมากเกินไป
ในเก้ามหาแดนดินไม่มีการขาดแคลนผู้ที่ฝักใฝ่วิถีพุทธ และผู้ที่เกิดมาเพื่อวิถีพุทธนั้นมีอยู่มากมาย ซึ่งถ้าให้เทียบกันแล้ว เฉินลวี่ก็ยังด้อยกว่าเหล่าอัจฉริยะอันดับต้น ๆ ของเก้ามหาแดนดินอย่างไม่ต้องสงสัย
“บัญญัติมังกรสวรรค์! สังหาร!”
ทันใดนั้นบนเวทีต่อสู้ เสียงตะโกนดังก้องราวกับเสียงระฆังลั่นของเฉินลวี่กังวานสะเทือนฟ้า
ถัดมาผู้ชมทั้งหลายต่างได้แลเห็นร่างของเฉินลวี่ลอยอยู่กลางอากาศปลดปล่อยแสงรัศมีสีทองอร่ามเจิดจ้า ก่อนมือทั้งสองจะพนมและซัดออกเป็นฝ่ามือคู่
ตูม!
เมื่อฝ่ามือถูกซัดออก แสงรัศมีสีทองควบแน่นเป็นรูปร่างมังกรสวรรค์สีทอง ตรงส่วนเกล็ดทั้งหมดของมันนั้นเต็มไปด้วยจารึกอักขระภาษาสันสกฤต อีกทั้งยังมีเสียงสวดดังขึ้นไม่ขาดสาย พลังนั้นดุร้ายและอหังการอย่างยิ่งยวดจนทำให้ผู้ชมอุทานอยู่ครู่หนึ่ง
ฝ่ายตรงข้ามของเฉินลวี่เป็นผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณที่ชื่อว่า ‘ฉู่เว่ย’
บุคคลผู้นี้อยู่ในขอบเขตรวบรวมดาราขั้นสมบูรณ์แบบ เชี่ยวชาญทักษะลับโบราณหลากหลาย และได้บรรลุจังหวะวิถีแห่งหยางถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้วเช่นกัน
งานชุมนุมมวลพฤกษาหลายวันที่ผ่านมา ฉู่เว่ยได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่เป็นเลิศและยังไม่เคยพลาดพลั้งจนได้รับบาดเจ็บเลย
แต่ทว่าขณะนี้เมื่อเผชิญหน้ากับเฉินลวี่ ตั้งแต่เริ่มต้นฉู่เว่ยตกอยู่ในสภาวะที่ไม่อาจโต้ตอบได้เลย และถูกกดขี่โดยพลังอันเหนือกว่าของเฉินลวี่!
“หลวงจีนหนุ่มผู้นี้แข็งแกร่งเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ประหนึ่งคล้ายพระพุทธองค์กำราบหมู่มารในตำนานทางพุทธศาสนา ไม่มีการแสดงความเมตตาแม้แต่น้อย”
เซี่ยชิงหยวนแสดงความคิดเห็นขณะกินแทะเมล็ดแตงโม
จากนั้นผ่านไปครู่หนึ่งมีเสียงอุทานดังขึ้นบริเวณเวทีประลอง และผู้ชมต่างส่งเสียงตะโกนร้องดังก้อง
เฉินลวี่เอาชนะฉู่เว่ยได้อย่างเบ็ดเสร็จและได้รับชัยชนะไปอย่างไม่ยากเย็น!
“ท่านเจ้าอาวาสจิ้นหยวน ในความคิดของข้า ความแข็งแกร่งของเฉินลวี่นั้นเพียงพอที่จะอยู่ในสามอันดับแรกของงานชุมนุมมวลพฤกษานี้แน่นอน และยิ่งไปกว่านั้นยังมีหวังที่จะลุ้นอันดับหนึ่งด้วยซ้ำ”
สำนักดาบเทียนชู หลูเต้าถิงยิ้มด้วยความชื่นชม
ตัวตนยิ่งใหญ่คนอื่น ๆ ทั้งหมดต่างพยักหน้า
หากว่ากันถึงผู้เข้าร่วมร้อยอันดับแรกของงานชุมนุมมวลพฤกษาครั้งนี้ เฉินลวี่คืออัจฉริยะอันดับต้นอย่างไม่ต้องสงสัย!
เจ้าอาวาสจิ้นหยวนยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ทุกท่านคิดผิดแล้ว จุดประสงค์ที่อาตมาให้เฉินลวี่เข้าร่วมงานชุมนุมมวลพฤกษาครั้งนี้เป็นเพียงเพื่อให้ขัดเกลาจิตใจและทำให้รากฐานเต๋ามั่นคงขึ้นเท่านั้น สำหรับอันดับผลลัพธ์อะไรเหล่านั้นเรานักบวชหาได้ใส่ใจไม่”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ทว่าหลวงจีนชราผู้นี้กลับมีสีหน้าเบิกบานอย่างเห็นได้ชัด
แลเห็นฉากนี้ทำให้เซี่ยชิงหยวนรู้สึกอยากจะโต้แย้งอยู่ในใจ นางขยับกายเข้าใกล้ซูอี้และกระซิบข้างหูของเขา “ศิษย์พี่ซู ถ้าท่านลงไปประลอง ข้ามั่นใจว่าอันดับหนึ่งจะต้องของท่านอย่างแน่นอน!
ลมหายใจจากริมฝีปากของเซี่ยชิงหยวนซึ่งแทบจะชิดหูของซูอี้ ทำให้เขารู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย
เขาอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วขึ้นและแตะหน้าผากของหญิงสาวให้ถอยห่างออกไปเล็กน้อยและพูดว่า “อันดับในงานชุมนุมนี้ไม่มีความสำคัญกับข้าแม้แต่น้อย ว่าแต่เจ้าช่วยกลับไปนั่งที่ของเจ้าเช่นเดิมจะได้หรือไม่”
“หึหึ ท่านกลัวอะไรข้าอย่างนั้นหรือ? หรือท่านกลัวว่าข้าจะกินท่านและท่านไม่อาจต้านทานได้?”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มเย้ยอย่างหยอกล้อ
ซูอี้ “…”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกสตรีรุกหาเช่นนี้
ซูอี้ไม่รู้ว่าจักรพรรดิเซี่ยซึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งหลักตรงกลาง ทั้งใบหน้ากำลังกระตุกอย่างรุนแรง เขาแทบจะอดไม่ได้ที่จะกระโดดลงจากเก้าอี้เพื่อวิ่งเข้ามาอุ้มเซี่ยชิงหยวนกลับวัง
ในที่แจ้งเช่นนี้ ท่ามกลางสายตานับหมื่นพัน… แต่บุตรีของข้ากลับทำกิริยาเย้ายวนผู้ชายเช่นนี้ได้อย่างไร!?
ขณะเดียวกัน การต่อสู้บนเวทียังคงดำเนินต่อไปไม่ได้หยุด
แต่ทว่าซูอี้สูญเสียความสนใจไปหมดสิ้นแล้ว
สำหรับผู้คนทั่วไปที่รับชมอยู่โดยรอบ การต่อสู้บนเวทีนั้นยอดเยี่ยมมากและสามารถเรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ระดับสุดยอดของโลกสำหรับเหล่าผู้ฝึกตนในวิถีต้นกำเนิด
บางคู่ถึงขนาดทำให้เกิดฟ้าร้องสั่นสะเทือนไปทั่วงานชุมนุมเสียด้วยซ้ำ
แต่ในสายตาของซูอี้ มันกลับไม่มีอะไรน่าสนใจเลย
ซูอี้สามารถเห็นช่องโหว่หรือข้อบกพร่องมากมายที่มีอยู่ในผู้เข้าร่วมแต่ละคนได้ในชั่วพริบตา ต้องรู้ว่าเขาคือตัวตนที่มีชีวิตอยู่มาแล้วนับแสนปี ดังนั้นการประลองในงานชุมนุมนี้มันจึงไม่ต่างอะไรกับการละเล่นของเด็กในสายตาเขา
ในที่สุดก็ถึงคราวของเยว่ซือฉานที่จะขึ้นประลอง
เมื่อสาวงามในชุดขาวราวหิมะถือดาบวิญญาณก้าวขึ้นสู่เวทีประลอง นางก็ได้กลายเป็นจุดสนใจของผู้ชมทั้งหมดทันที
เย็นชาดั่งน้ำแข็ง งดงามราวกับนางฟ้า!
ขณะเดียวกัน เหล่าตัวตนยิ่งใหญ่ที่เวทีหยกกลางต่างประหลาดใจเช่นกัน
เจ้าสำนักดาบเทียนชู หลูเต้าถิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าสนใจ “หากท่านใดสามารถโน้มน้าวให้เยว่ซือฉานผู้นี้เข้าร่วมกับสำนักดาบเทียนชูของข้าได้ ข้าจะยินดีจ่ายให้ท่านตามที่เรียกร้องโดยไม่ขมวดคิ้วแม้แต่น้อย”
ทุกคนต่างหวั่นไหวไปกับคำประกาศนี้
พวกเขาเคยได้ยินชื่อเสียงของเยว่ซือฉานเช่นกัน ว่านางคืออัจฉริยะในวิถีดาบ และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาพวกเขาต่างได้ส่งคนไปติดต่อเยว่ซือฉาน โดยหวังว่าจะดึงตัวเยว่ซือฉานเข้าร่วมกองกำลังของตน
แต่ทว่าท้ายที่สุดพวกเขาทั้งหมดกลับถูกเยว่ซือฉานปฏิเสธ
สิ่งนี้ทำให้เหล่าตัวตนยิ่งใหญ่รู้สึกหดหู่และไม่อยากจะยินยอม
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของตัวตนยิ่งใหญ่เหล่านี้ ริมฝีปากของซูอี้ก็โค้งขึ้นเล็กน้อยอย่างเย้ยหยันโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ไม่น่าประหลาดใจแม้แต่น้อย ต้นกล้าที่แม้แต่ข้าซูเสวียนจวินยังต้องตาย่อมเป็นที่ชื่นชอบของผู้อื่นด้วยอย่างแน่แท้
“อืม… ถึงเวลาแล้ว”
ทันใดนั้นซูอี้สังเกตว่าคู่ต่อสู้ของเยว่ซือฉานคืออวี่เหวินซู่!
ย้อนกลับไปที่แอ่งเกล็ดทอง ซูอี้เคยกล่าวไว้ว่าหากอวี่เหวินซู่ สามารถเอาชนะเยว่ซือฉานได้ที่งานชุมนุมมวลพฤกษา เขาจะขอโทษอวี่เหวินซู่เป็นการส่วนตัว
และตอนนี้ระหว่างเยว่ซือฉานกับอวี่เหวินซู่ การประลองกำลังจะเริ่มต้นขึ้น!
การประลองนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนเป็นอย่างมาก
ทุกคนรู้ดีว่าอวี่เหวินซู่เป็นผู้นำศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักดาบเทียนชู ซึ่งเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหมดแล้ว
สำหรับเยว่ซือฉาน นางได้แสดงวิถีดาบอันเลิศล้ำของนางในการต่อสู้เมื่อไม่กี่วันก่อนไปแล้ว ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก
การต่อสู้กันตัวต่อตัวระหว่างผู้ฝึกฝนดาบที่เลิศล้ำนั้นยากที่จะไม่ดึงดูดความสนใจ!
“ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าศิษย์พี่อวี่เหวินจะชนะหรือไม่”
เจียงหลีพึมพำ
นางคือหนึ่งในศิษย์ของสำนักดาบเทียนชู ดังนั้นจึงไม่แปลกที่นางจะหวังให้อวี่เหวินซู่ชนะ
แต่ทว่าเจียงหลีก็รู้แก่ใจเป็นอย่างดีในเรื่องที่เยว่ซือฉานไม่ได้เป็นเพียงนักดาบที่ช่ำชองทั่วไป และยิ่งไปกว่านั้นซูอี้กล้าเอ่ยว่าถ้าเยว่ซือฉานพ่ายแพ้ เขาจะยอมขอโทษอวี่เหวินซู่เป็นการส่วนตัว
การกระทำเช่นนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าในความคิดของซูอี้ เยว่ซือฉานแข็งแกร่งกว่าอวี่เหวินซู่เป็นแน่แท้!
คนเย่อหยิ่งไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ใดอย่างซูอี้มีหรือจะโง่ขุดหลุมฝังตนเอง?
ทั้งหมดนี้ทำให้เจียงหลีไม่แน่ใจและไม่กล้าสรุป
“ด้วยการชี้แนะที่ผ่านมาของศิษย์พี่ซูอี้ พี่สาวซือฉานจะต้องชนะอย่างแน่นอน”
เหวินซินจ้าวมีความมั่นใจในตัวเยว่ซือฉานมากกว่าคนอื่นทั้งหมด และเชื่อว่าเยว่ซือฉานจะชนะอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าความมั่นใจส่วนใหญ่มาจากความเชื่อมั่นของนางที่มีต่อซูอี้!
“สตรีที่งามเลิศเช่นนี้ย่อมคู่ควรกับข้าหวนเฉ่าโหยว…”
ดวงตาของหวนเฉ่าโหยวเป็นประกาย หัวใจของเขามุ่งมั่นมากขึ้นเรื่อย ๆ กับความต้องการครอบครองเยว่ซือฉาน
“ศิษย์พี่ซู เยว่ซือฉานมีความสัมพันธ์กับท่านใช่หรือไม่?”
เซี่ยชิงหยวนถามอย่างครุ่นคิด
ซูอี้ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นค่อย ๆ คายเปลือกเมล็ดแตงโมในปากของเขาออกมาอย่างช้า ๆ และถามกลับด้วยความประหลาดใจว่า “เหตุใดเจ้าถึงถามเช่นนี้”
เซี่ยชิงหยวนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ท่านลืมไปหรือไม่ว่าตอนที่เราเจอกันที่ต้าโจว ข้าเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของหอสิบทิศ ข้ารู้ทุกอย่างระหว่างท่านกับเยว่ซือฉาน นอกจากนี้แววตาของท่านที่มองนางเมื่อครู่นี้มันแฝงไปด้วยอารมณ์ที่ไม่เหมือนเมื่ออดีตอย่างชัดเจน ในฐานะสตรีคนหนึ่ง ข้าจะไม่เข้าใจแววตาแบบนั้นได้อย่างไรว่ามันหมายความว่าอย่างไร”
จบประโยคนี้นางก็ตบไหล่ซูอี้เบา ๆ และพูดต่อ “อย่าได้เขินอายเลยศิษย์พี่ซู ถ้าข้าเป็นผู้ชาย ข้าเองก็คงอยากได้สาวงามเช่นเยว่ซือฉานมาครอบครองเช่นกัน นางงดงามขนาดนี้ใครจะทนได้เล่า?”
น้ำเสียงของเซี่ยชิงหยวนนั้นมีอารมณ์ร่วมอย่างมาก
ซูอี้ไม่ได้ตั้งใจจะอธิบายในตอนแรก แต่เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวนเป็นเช่นนี้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือน “ไม่ว่าเยว่ซือฉานจะงดงามเพียงใด มันก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้าอยู่ดี เจ้าเป็นสตรีหาใช่บุรุษไม่!”
เซี่ยชิงหยวนยักไหล่และตอบกลับอย่างเฉยเมยว่า “ผู้หญิงชอบผู้หญิงไม่ได้หรืออย่างไร?”
ซูอี้ “…”