บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 53 ผู้ใดคือคุณชายซู
ตอนที่ 53 ผู้ใดคือคุณชายซู?
ดวงตาโจวฮวายชิวลุกเป็นไฟ
ศิษย์ผู้ถูกขับไล่กลับอวดดีอหังการในที่นี้ ทั้งยังดูหมิ่นสำนักดาบชิงเหอ ถือเป็นความเหิมเกริม!
ใบหน้าหนีเฮ่าและหนานอิ่งต่างแสดงความมืดหม่นในใจ
ประโยคนี้ของโม่เทียนหลิง เป็นการถากถางอย่างเห็นได้ชัด
เหล่าผู้ยิ่งใหญ่รอบเวทีประลองต่างเกิดความสับสนเช่นกัน
เขตปกครองอวิ๋นเหอ สำนักดาบชิงเหอมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ต่อทั้งสิบเก้าเมือง มีอำนาจอันยิ่งใหญ่
แต่โม่เทียนหลิงกลับแสดงการดูหมิ่นต่อหน้าผู้คนโดยไม่เกรงกลัว จะไม่ให้ผู้คนแตกตื่นได้เช่นไร?
ทันใดนั้น ลี่เจี้ยนอวี่ผู้เป็นเจ้าเมืองลั่วอวิ๋นซึ่งอยู่ไกลห่างพลันหัวเราะดัง
“เทียนหลิงยังหนุ่มและเลือดร้อน คำกล่าวอาจไม่เหมาะสมไปบ้าง ขอพี่โจวอย่าได้ถือสา”
หลังจากหยุดครู่หนึ่ง แววตาเขาก็เปลี่ยนไป ถ้อยคำแฝงภาคภูมิใจเอ่ยออก “แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผู้คนอาจยังไม่รู้ หลายปีที่เทียนหลิงเข้ากองกำลังเกล็ดแดง เขาสร้างผลงานทำความดีความชอบทางการทหารมากมาย แต่ด้วยนิสัยที่ดื้อรั้นเช่นนี้ของตัวเขา จึงเป็นผลให้จวิ้นอ๋องอวิ๋นกวง ผู้บัญชาการกองกำลังเกล็ดแดงรับเขาเป็นบุตรบุญธรรมในอุปการะ!”
คำนี้กล่าวออกมา ผู้คนตื่นตกใจ
จวิ้นอ๋องอวิ๋นกวง เชินจิ่วซง!
ร้อยปีที่ผ่านมาของราชวงศ์ต้าโจว อ๋องทั้งเก้าและจวิ้นอ๋องทั้งสิบแปดต่างได้รับพระราชทานสกุลที่แตกต่างกันไปตามราชโองการและได้รับอาณาเขตปกครองลดหลั่นกันไปตามความดีความชอบ
ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ต่างเป็นใหญ่ในอาณาเขตของตน แต่ละฝ่ายต่างมีกองกำลังคอยพิทักษ์คุ้มกัน ซึ่งแข็งแกร่งและทรงอำนาจ
ในจำนวนนี้ จวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงเชินจิ่วซงและกองกำลังเกล็ดแดงภายใต้บังคับบัญชา คอยเฝ้าพิทักษ์เขตแดนของแคว้นกุ่นที่เขตปกครองอวิ๋นเหอตั้งอยู่
เชินจิ่วซงไม่เพียงแต่มีอำนาจมากมายเท่านั้น แต่ยังเป็นยอดปรมาจารย์อยู่ในขอบเขตที่สามของวิถียุทธ์ ‘ขอบเขตหลอมกำเนิด’
กองกำลังเกล็ดแดงใต้บัญชาของเขายังเป็นที่รู้จักนาม ‘แปดพันทหารม้าเหล็กสะเทือนภูผา เกราะเกล็ดสีแดงฉายส่องประกายไปทั่วแปดทิศ’
ในทางตรงข้าม สำนักดาบชิงเหอเป็นเพียงกลุ่มกองกำลังผู้บ่มเพาะในเขตปกครองอวิ๋นเหอ ห่างไกลเกินกว่าจะเทียบกับกองกำลังเกล็ดแดงที่มีกำลังพลอันมหาศาลได้
การที่โม่เทียนหลิงมีวาสนามากพอได้รับการยอมรับโดยเชินจิ่วซงเป็นบุตรบุญธรรมเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการได้ก้าวทะยานสู่ฟ้า สถานะและตัวตนแปรพลิกผันแปรเปลี่ยน!
และในตอนนี้เองที่ทุกคนตระหนักได้ว่าโม่เทียนหลิงได้รับความหาญกล้ามาจากที่ใด ถึงขนาดกล้ากล่าวหยามสำนักดาบชิงเหอ จนทำเอาผู้คนต่างเกิดความรู้สึกซับซ้อนกันเช่นตอนนี้
โจวฮวายชิวขมวดคิ้วมุ่น และนิ่งเงียบ
จวิ้นอ๋องอวิ๋นกวง!
ผู้ยิ่งใหญ่อำนาจล้นเหลือเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่อะไรที่สำนักดาบชิงเหอจะกล้าล่วงเกินได้
หนีเฮ่าขมวดคิ้ว สีหน้ากลับกลายเป็นปั้นยาก
ดวงตางามของหนานอิ่งจ้องไปยังโม่เทียนหลิงที่ยืนอยู่ไกลห่างบนเวทีประลอง สติราวกับหลุดไป
ทางด้านเหวินเจวี๋ยหยวน เขาพ่ายแพ้และออกจากสังเวียนไป
ก่อนหน้านี้เขาเฉิดฉาย ทุกคนเฝ้าดูใจจดใจจ่อ
แต่ตอนนี้ เขาเป็นแค่คนแพ้ จึงทำได้เพียงลิ้มรสความขมขื่นของการร่วงจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ
“ผู้ใดคิดละเล่นกับข้าอีก?”
โม่เทียนหลิงอ้าปากอย่างเกียจคร้าน เพลิดเพลินไปกับสายตาประหลาดใจและหวาดเกรงของผู้คน ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกหยามเหยียด
แม้มีคนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยตั้งใจเข้าร่วมงานประลองประตูมังกร กระนั้นหาได้มีผู้ใดกล้าเอ่ยคำ
อันที่จริงไม่จำเป็นต้องพูดถึงสถานะตัวตนของโม่เทียนหลิง เอาเพียงแค่ความแข็งแกร่งที่ขนาดเอาชนะเหวินเจวี๋ยหยวนได้ในหนึ่งหมัด ก็มากพอที่จะสร้างความแตกตื่น เช่นนี้ผู้ใดกันจะกล้าขึ้นสู้?
ชั่วครู่ ผู้คนรอบเวทีประลองมองหน้ากันอย่างหวาดเกรง บรรยากาศเงียบงันและกดดัน
พบเห็นเรื่องราว เจ้าเมืองลั่วอวิ๋นหัวเราะอย่างผู้มีชัย “พี่ฟู่ ในเมื่อไร้ซึ่งผู้ท้าชิง อย่างนั้นครั้งนี้อันดับหนึ่งแห่งงานประลองประตูมังกร ย่อมตกเป็นของพวกเราเมืองลั่วอวิ๋นใช่หรือไม่?”
ผู้คนทางฝั่งเมืองลั่วอวิ๋น ต่างแสดงความยินดีกันออกมา
ขณะที่ทางฝั่งเมืองกว่างหลิง ราวกับเป็นมะเขือม่วงที่ดำคล้ำ ทั้งยังโดนอากาศหนาวเหน็บทำให้เหี่ยวย่น
“ช้าก่อน!”
ทันใดนี้เอง ภายใต้สายตาสงสัยของผู้คนนับไม่ถ้วน เจ้าเมืองฟู่ซานลุกขึ้น
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะมองไปรอบด้าน ถ้อยคำกล่าวออก “ข้าไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากขอคุณชายซูช่วยเมืองกว่างหลิงแล้ว!”
คำเหล่านี้กล่าวออก ผู้คนประหลาดใจ เกิดเป็นความวุ่นวายขึ้น
แต่แล้วประโยคนี้ก็ทำให้ผู้คนได้ทราบว่าฟู่ซานยังมีไพ่ตาย สำหรับงานประลองประตูมังกรครั้งนี้!
เพียงแต่…
คุณชายซูคือผู้ใด?
ภายในเมืองกว่างหลิง คนแซ่ซูผู้ใดกันที่ได้รับการยกย่องยิ่งใหญ่จากเจ้าเมืองฟู่ซานเช่นนี้?
ผู้คนสับสนมึนงง สายตาหันมองรอบด้าน
“คุณชายซู? คุณชายซูคนไหน?”
ลี่เจี้ยนอวี่เจ้าเมืองลั่วอวิ๋นถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินนามนี้มาก่อน?”
ท่ามกลางความประหลาดใจ เสียงหนึ่งเอ่ยคำดังปรากฏ
“ในเมืองเจ้าเมืองฟู่กล่าวเชิญ ข้าก็คงไม่อาจนิ่งเฉย”
จากที่ไกลห่างเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความโกลาหลของฝูงชน
ชั่วขณะนี้ ทุกสายตารอบบริเวณเวทีประลอง ต่างมองไปยังต้นเสียง
เป็นบุรุษสวมชุดสีขาวประหนึ่งหยก มีรูปลักษณ์ผอมสูง
ผู้พูดมิใช่ใครอื่นคือซูอี้!
“ท่านเขย นี่ท่าน…” หูเฉวียนตกตะลึง ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
เขาผู้ติดตามเคียงข้างซูอี้โดยตลอด ได้ยินเสียงจึงทราบชัด ว่าเป็นเสียงของซูอี้!
“ซูอี้ เจ้าเมืองฟู่หาได้เรียกหาเจ้า การที่เจ้ารับปากไม่ยั้งคิดเช่นนี้ไม่ต่างกับรนหาที่ตาย อย่าได้สร้างความอับอายแก่ตระกูลเหวินของพวกข้า!”
เหวินเส้าเป่ยอยู่ไม่ไกล ขณะนี้อดไม่ได้จนด่าทอรุนแรง
ที่นี่คืองานประลองประตูมังกร!
ขนาดเหล่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองกว่างหลิงยังไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยคำ แต่เศษเดนเช่นซูอี้ที่ไร้ซึ่งการบ่มเพาะกลับเลือกยืนขึ้น เรื่องนี้บ้าบิ่นอย่างเห็นได้ชัด!
โดยเฉพาะกับสายตาของฝูงชนที่มองมาขณะนี้ ผู้คนที่ยืนใกล้เคียงซูอี้ต่างสีหน้าแปรเปลี่ยน ราวกับโดนกดดันจนต้องหลีกหนี เพื่อหลบเลี่ยงไม่ให้ถูกเข้าใจผิดร่วมหาว่าเป็นพวกเดียวกัน
มีเพียงหูเฉวียนที่ไม่หลีกหนีร่วม ทว่าเขาขาสั่นจนแทบไม่อาจขยับ เม็ดเหงื่อผุดปรากฏจากทั้งร่าง
การถูกจดจ้องโดยผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย นับเป็นเรื่องชวนขวัญหายจนเกินไป
มีเพียงซูอี้ที่ยังคงสงบ แม้ถูกสายตานับไม่ถ้วนจับจ้อง เขายังคงเฉยเมย
“ไม่ต้องกลัว เจ้าเพียงรอที่ตรงนี้” ซูอี้ตบบ่าหูเฉวียน เพื่อเป็นการปลอบขวัญ
สิ้นคำกล่าว ภายใต้สายตาตกตะลึง ประหลาดใจ และไม่นึกเชื่อต่อเรื่องราว สองมือซูอี้ไพล่หลัง ก้าวเดินด้วยอาการสงบไปยังเวทีประลอง
“ชายคนนี้แส่หาความตายสู่ตนเอง โปรดทุกท่านจดจำ ตระกูลเหวินของเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดด้วย!”
เหวินเส้าเป่ยเผยสีหน้าอัปลักษณ์ กัดฟันเอ่ยคำออก
ซูอี้เดินผ่านทาง บรรดาฝูงชนหลีกทางให้เขาประหนึ่งสายน้ำแหวก
ทุกคนมองที่เขาด้วยสายตาประหลาดใจ ผู้ใดกันบ้างไม่อาจจดจำซูอี้ผู้มีชื่อเสียงแห่งเมืองกว่างหลิง?
ผู้ใดไม่ทราบกันว่าการบ่มเพาะของเขาสูญหาย?
ทว่าจากที่เห็น ชัดเจนว่าซูอี้ฟื้นคืนแล้ว!
“ศิษย์พี่ซูเขา… เขาบ้าไปแล้วหรือ?”
ใบหน้าหนานอิ่งดูตกตะลึง มือยกขึ้นป้องปาก เป็นการกระทำที่ยากคาดเดาท่าที
หนีเฮ่าร่วมตกตะลึงไปครู่ ไม่ช้าจึงส่ายศีรษะ “น่าประหลาดใจ ตัวตลกผู้นี้ช่างกล้า”
“ซูอี้…”
ใบหน้าเหวินเจวี๋ยหยวนประหนึ่งน้ำขุ่นมัว ตัวเขาเพิ่งพ่ายแพ้ เสียหน้าตาหมดสิ้น สภาพจิตใจขณะนี้ไม่ดีนัก
พบเห็นซูอี้ก้าวเดินออกมาราวกับมีพละกำลังเหนือล้ำตนเอง ตัวเขาที่เกลียดชังอีกฝ่ายอยู่แล้ว ขณะนี้ในใจนึกอยากกระโจนเข้าไปฆ่าให้ตาย ตัวบัดซบผู้นี้ยังคิดว่าตระกูลเหวินอับอายไม่มากพออีกงั้นหรือ!?
ช่วงเวลาเดียวกัน สีหน้าของหลี่เทียนหานและผู้ยิ่งใหญ่ท่านอื่นแห่งเมืองกว่างหลิงต่างกลายเป็นอึมครึม พวกเขาพร้อมใจกันขมวดคิ้ว
แม้ในใจนึกเกิดสงสัย พวกเขาก็อดกลั้นไว้ไม่เอ่ยคำ
เมื่อเห็นซูอี้ปรากฏตัวเดินเข้ามาใกล้ โจวฮวายชิวซึ่งยืนยันได้แล้วว่านั่นคือซูอี้ที่เขารู้จัก เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถ้อยคำออก “ซูอี้ นี่เจ้าคิดทำอะไร?”
ซูอี้หยุดเท้า ถ้อยคำกล่าวตอบ “ย่อมเป็นการเข้าร่วมงานประลองประตูมังกร”
โจวฮวายชิวยิ่งสงสัยมากขึ้น แต่แล้วเมื่อเห็นแววตาอันไม่ไหวติงของชายหนุ่มตรงข้าม เขาจึงหยุดกล่าวคำไป
ที่เขาอยากได้เห็น คือสิ่งที่ซูอี้จะกระทำถัดจากนี้
ขณะนี้มีเพียงแต่ความสงสัยปรากฏ ท่ามกลางสายตางุนงง ซูอี้ก้าวขึ้นบนเวทีประลอง พริบตากลับกลายเป็นที่ถกเถียงของผู้คน
“เหตุใดจึงเป็นบุตรเขยตระกูลเหวินได้?”
“ไม่ใช่การบ่มเพาะของเขาหมดสิ้นไปแล้วหรือ?”
“ไร้สาระสิ้นดี! ผู้อื่นจากเมืองกว่างหลิงไม่มีแล้วหรือยังไง พวกเราต้องทนดูเศษเดนผู้นี้ขึ้นเวทีประลองงั้นหรือ ไม่ใช่มันจะมีแต่ทำพวกเราทุกคนจากเมืองกว่างหลิงเสียหน้าหรือไร?”
เสียงถกเถียงนับไม่ถ้วนดังกึกก้องขึ้นมา
บริเวณแม่น้ำต้าฉาง ผู้ซึ่งรับชมไกลห่างต่างกังวล หลายคนกระทั่งตะโกนด่าทอ
โม่เทียนหลิงมองยังซูอี้ พบเห็นอีกฝ่ายขึ้นมาบนเวทีประลองจริง คิ้วนั้นอดขมวดไม่ได้
“ซูอี้ ตัวเจ้าสูญเสียการบ่มเพาะไปแล้ว แถมขณะนี้เจ้าคือศิษย์ผู้ถูกขับไล่ออกจากสำนักดาบชิงเหอ กล่าวไปแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นกับข้าก็คล้ายกับเจ้า ดังนั้นข้าจะไม่ทำเจ้าเสียหน้า จงไปเสีย”
เขาถอนหายใจเบา พร้อมโบกมือแสดงความสังเวชผ่านดวงตา
เขาทราบเรื่องราวชวนโศกที่เกิดขึ้นกับซูอี้ แม้รู้สึกขบขันก็ยังมีความเห็นอกเห็นใจที่ซูอี้ต้องเผชิญเรื่องราวเก่าก่อน
แต่ก่อนที่ซูอี้จะได้เอ่ยคำ หนึ่งในกลุ่มคนที่รับชมพลันเอ่ยออกด้วยเสียงเย้ยหยัน
“ฟู่ซาน นี่คือคุณชายซูที่เจ้าเอ่ยถึงงั้นหรือ?”
ลี่เจี้ยนอวี่ผู้เป็นเจ้าเมืองลั่วอวิ๋นหัวเราะเสียงดัง “ข้าก็นึกว่าเทพสวรรค์จากที่ใด กลับกลายเป็นบุตรเขยตระกูลเหวินเสียนี่! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ไม่ช้า ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายจากเมืองลั่วอวิ๋นต่างร่วมหัวเราะ
เศษเดนไร้ซึ่งการบ่มเพาะผู้หนึ่ง กลับถูกฟู่ซานเรียกหาเป็นคุณชายซู เป็นเรื่องชวนขบขันเกินจะกล่าว
ท่าทีของผู้คนมากมายจากเมืองกว่างหลิงกลับกลายเป็นอัปลักษณ์ ในใจนึกโกรธแค้นต่อซูอี้ พวกเขาพร้อมใจกันจ้องเขม็งไปที่ซูอี้ ด้วยแววตาอยากจะสังหารให้ตาย หากการจ้องมองสามารถสังหารผู้คนได้ เกรงว่าป่านนี้ซูอี้คงตกตายไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
แต่แล้วเรื่องราวถัดมากลับทำให้ผู้คนได้ประหลาดใจ คือการที่ฟู่ซานตอบรับจริงจัง
“ลี่เจี้ยนอวี่เจ้าคิดปรามาสคุณชายซูงั้นหรือ? หากยังขืนกล้าพูดจาไร้สาระต่อไป อย่าหาว่าฟู่ผู้นี้รุนแรงไร้มารยาท!”
ทั้งเวทีประลองพลันเงียบ
นอกจากหวงอวิ๋นชง เนี่ยเป่ยหู่และคณะ ผู้อื่นล้วนตกตะลึงทั้งสิ้น
“ซูอี้คนนี้ คือคุณชายซูที่เจ้าเมืองฟู่ซานกล่าวถึงอย่างนั้นหรือ?”
ผู้คนรอบเวทีประลองต่างงงัน พวกเขาสงสัยราวกับพวกตนได้ยินสิ่งใดผิดเพี้ยนไป
กระทั่งว่าโจวฮวายชิวผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมานับไม่ถ้วน ขณะนี้ยังอดไม่ได้ที่จะสับสนว่าสถานการณ์นี้คืออะไร?
ฟู่ซานผู้เป็นเจ้าเมืองที่ทรงเกียรติ เหตุใดจึงได้นับถือเด็กหนุ่มไร้อนาคตเช่นซูอี้ถึงเพียงนี้ได้?
หนีเฮ่าและหนานอิ่งต่างมองกันเอง ทั้งยังประหลาดใจ คุณชายซู? นี่ใช่คุณชายซูที่ฟู่ซานเรียกหาจริงงั้นหรือ?
ผู้คนตระกูลเหวิน เหวินเจวี๋ยหยวน เหวินเส้าเป่ย ต่างจับจ้องดวงตาแทบถลนออก
พวกเขาทราบเรื่องราวของซูอี้ดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า กลับกลายเป็นทำพวกเขาไม่เข้าใจไปครู่
‘รับชมสีหน้าโง่งมของพวกมันสิ!’ หวงเฉียนจวินเย้ยหยันอยู่ภายใน
การปรากฏตัวของซูอี้ มันทำเขาทั้งประหลาดใจ และเกิดใจเต้นแรง รวมถึงเกิดคาดหวังขึ้นมา
“ก็ได้ ๆ งั้นก็ให้ข้าได้รับชมว่าคุณชายซูของเจ้าผู้นี้ฝีมือเก่งกาจเพียงใด!”
จากที่ไกลห่าง เจ้าเมืองเช่นลี่เจี้ยนอวี่หัวเราะดังขึ้น
ขณะนี้เองที่ผู้คนได้สังเกต สถานการณ์เริ่มแปลกประหลาด คล้ายว่าฟู่ซานมั่นใจในฝีมือซูอี้อย่างสูงล้ำ มันดูผิดปกติจนเกินไป!
“คุณชายซูงั้นหรือ? เหอะเหอะ”
ที่ภายในเวทีประลอง โม่เทียนหลิงอดไม่ได้ที่จะชะงักไปครู่ ก่อนจะเผยเสียงหัวเราะดังออกมา แววตาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกและกราดเกรี้ยว “ข้าไม่คิดสนว่าแท้จริงเจ้ามีสถานะแอบแฝงเป็นใครหรือเป็นอะไร เอาล่ะ คุณชายซู เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าไม่คิดถอยกลับ?”
ขณะพูด โม่เทียนหลิงโคจรและปลดปล่อยพลังปราณออกจากร่างจนบรรยากาศรอบ ๆ ชวนสะพรึงอย่างหาใดเทียบเปรียบ
ทว่าซูอี้เพียงยิ้มเล็กน้อย ปากพูดถ้อยคำกล่าวเรียบเฉย “ข้าให้โอกาสเจ้าออกกระบวนท่าแสดงหนึ่งดาบ แล้วจากนั้นเจ้าจงวางดาบลงยอมรับความพ่ายแพ้แล้วจากไปเสีย”
คำพูดนั้นดูธรรมดา แต่แทบทำให้ทุกคนตกใจจนกรามค้าง
คำพูดที่ราบเรียบนี้ทำผู้คนแตกตื่นอ้าปากค้าง
นี่ถือเป็นข้อเสนออันคลุ้มคลั่งหยิ่งผยองอย่างหาเปรียบมิได้!