บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 532 สะบัดแขนเสื้อหนึ่งที ดีดนิ้วหนึ่งครา
ตอนที่ 532: สะบัดแขนเสื้อหนึ่งที ดีดนิ้วหนึ่งครา
ตอนที่ 532: สะบัดแขนเสื้อหนึ่งที ดีดนิ้วหนึ่งครา
“แต่ว่า…”
สายตาของหวนเฉ่าโหยวมองไปยังจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยบนแท่นหยกตรงกลาง ก่อนถอนหายใจ “ข้าสงสัยว่าเพื่อปกป้องเจ้าแล้วราชวงศ์แห่งต้าเซี่ยคงไม่ยอมให้เจ้าเข้าร่วมการต่อสู้เป็นแน่”
เขายั่วยุ เพราะกลัวว่าราชวงศ์เซี่ยจะเข้ามาแทรกแซงและหยุดซูอี้เอาไว้
เหล่าคนใหญ่คนโตหลายคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขุ่นเคือง
อันที่จริงการที่ซูอี้ยังสามารถนั่งบนแท่นหยกตรงกลางแห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าราชวงศ์แห่งต้าเซี่ยผูกพันกับเขามากเพียงใด
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เกรงว่าคงไม่สามารถทนมองซูอี้ขายหน้าได้
แต่ที่น่าประหลาดใจคือจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยเห็นด้วยทันที “ตราบใดที่สหายเต๋าซูเต็มใจเข้าร่วมชุมนุมมวลพฤกษา ราชวงศ์เซี่ยของข้าจะขัดขวางได้อย่างไร”
ทั่วทั้งสนามตกตะลึง ทั้งยังสับสน
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ดวงตาของนางโค้งลง “ศิษย์พี่ซู อย่าให้เขายอมจำนนอย่างง่าย ๆ นะ”
“ข้าสัญญาว่าจะไม่ให้โอกาสนั้นแก่เขา”
ซูอี้พูดอย่างใจเย็น
เมื่อพูดจบร่างของซูอี้ก็วูบไหว ชุดสีหยกโบกสะบัด ก่อนจะมาถึงสนามประลอง
ฟึ่บ!
ทุกสายตาจับจ้องไปที่ซูอี้
ใครหลายคนแทบไม่อยากจะเชื่อ
“ชายคนนี้บ้าไปแล้วหรือไร?”
“เป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตเปิดทวารขั้นปลาย ซึ่งอยู่ในขอบเขตแตกต่างจากหวนเฉ่าโหยวพอสมควรทีเดียว จะไม่ใช่การเอาเปรียบหรอกหรือ?”
“แต่ไม่ว่าอะไรก็ตามซูอี้ผู้นี้กล้าหาญมาก หากเป็นคนอื่นคงไม่กล้าทำตัวเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟเช่นนี้หรอก”
จากนั้นก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้นในสนาม
เหล่าคนใหญ่คนโตบนแท่นหยกดูกระฉับกระเฉง ซูอี้ผู้นี้… ยังหนุ่มอยู่เลยแต่ห้าวหาญนัก…
กลับกันแล้ว ฮั่วหมิงเยวี่ยนผู้นำตระกูลฮั่วไม่ได้ตื่นเต้นเท่าไร
การต่อสู้ที่ทะเลสาบชูอวิ๋น ฮั่วเทียนตูที่คงอยู่ในขั้นกลางของขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ตายอย่างอนาถด้วยน้ำมือของซูอี้
แม้ฮั่วหมิงเยวี่ยนจะอยู่ไกลจนมองเห็นไม่ชัดว่าซูอี้ทำอย่างไรจึงฆ่าฮั่วเทียนตูได้
แต่เขามั่นใจว่าแม้ซูอี้จะเป็นเพียงผู้ฝึกตนในขอบเขตเปิดทวาร แต่ไม่ได้อ่อนแออย่างที่ผู้คนคิดอย่างแน่นอน
“ไม่ว่าจะได้รับชัยชนะหรือพ่ายแพ้ ไว้ซูอี้และตระกูลหวนเผ่ามารเกลียดชังกันเมื่อไร เมื่อนั้นก็รอหายนะมาถึงได้เลย!”
ฮั่วหมิงเยวี่ยนเยาะเย้ยอยู่ในใจ
“การแสดงที่น่าชมใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว”
ดวงตาหงส์หยกของเจียงหลีหรี่ลง มันเปล่งประกายราวกับดวงดารา
ผู้คนส่วนใหญ่ในสนามไม่ได้มองซูอี้ในแง่ดีนัก แต่มีเพียงผู้ที่เข้าใจในพละกำลังของเขาเท่านั้นที่รู้… ว่าชายผู้ที่ดูเหมือนไม่แยแสคนนี้มีความแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัวเก็บซ่อนไว้อยู่!
ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณอย่างกู่ชางหนิง เฉิงผู และฉือเจี่ยนซู่ต่างก็แสดงความสนอกสนใจออกมา
“นี่มัน…”
เซียนหานเยียนสับสนเล็กน้อย เมื่อคืนซูอี้ยังกล่าวอยู่เลยว่าจะหาโอกาสจัดการหวนเฉ่าโหยวให้ได้
ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นแล้ว!
แต่เซียนหานเยียนกลับเหงื่อตกแทนซูอี้ และไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเหตุใดซูอี้ถึงทำเรื่องบ้า ๆ เช่นนี้
“ศิษย์พี่ซู ศิษย์พี่ต้องช่วยหยวนเหิงแก้แค้นให้ได้นะ อย่าปล่อยหวนเฉ่าโหยวคนนั้นไปง่าย ๆ เล่า…”
เหวินซินจ้าวบ่นกับตัวเอง
นางถอนหายใจอย่างโล่งอก อดคาดหวังไม่ได้ว่าตอนที่ซูอี้ลงมือจะฟันหวนเฉ่าโหยวด้วยดาบนับพันเล่ม
ดวงตาของเยว่ซือฉานสุกสกาว และนางก็มีลางสังหรณ์ว่าชะตากรรมของหวนเฉ่าโหยวในคราวนี้จะถึงฆาต!
“นายท่าน…”
ดวงตาของหยวนเหิงเป็นสีแดง จิตใจไม่สงบ
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าซูอี้ออกหน้าเพื่อเขา?
บนสนามต่อสู้
เมื่อมองไปยังซูอี้ที่อยู่ห่างออกไปสิบจั้ง หวนเฉ่าโหยวก็หรี่ตาลง ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “นี่มัน… ทำให้ข้าประหลาดใจจริง ๆ…”
ขณะพูดก็มองไปทางเวิงจิ่วที่อยู่ไม่ไกลจากสนามประลองนัก แล้วเอ่ยเตือน “ท่านผู้เฒ่า หลังจากที่การต่อสู้เริ่มขึ้น หากท่านกล้าที่จะเข้ามาขัดขวาง… เว้นเสียก็แต่ซูอี้จะคุกเข่าก้มหน้าขอรับความพ่ายแพ้เอง ก็อย่าโทษข้าที่หยาบคายแล้วกัน!”
สีหน้าเวิงจิ่วแปลกไป จากนั้นเขาก็แสร้งเป็นยิ้มไม่ได้ “คุณชายหวนไม่ต้องกังวลไป ชายชราคนนี้ขอสาบานกับฟ้าว่าจะไม่เข้าไปขัดขวางแน่นอน”
ปฏิกิริยาของเวิงจิ่วทำให้หวนเฉ่าโหยวหรี่ตาลงอีกครั้ง เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เพียงแต่บอกไม่ได้
“ซูอี้ ก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น… เจ้าช่วยบอกข้าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับแม่นางซือฉานได้หรือไม่?”
หลังจากคิดแล้วคิดอีก หวนเฉ่าโหยวก็เอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า
ผู้คนในสนามจำนวนไม่น้อยตกตะลึง ซูอี้คนนี้… ยังเกี่ยวข้องกับเทพธิดาซือฉานด้วย?
ซูอี้สีหน้าเฉยเมย “อยากรู้หรือ?”
หวนเฉ่าโหยวยิ้ม ก่อนจะกล่าว “แน่นอน”
“ในระหว่างการต่อสู้นี้ หากเจ้าสามารถทำให้ข้าถอยหลังได้หนึ่งก้าว ข้าจะบอกเจ้า”
ขณะพูด ซูอี้ก็ก้าวไปข้างหน้า ร่างกายดูสบาย ๆ เหมือนเดินเล่นอยู่ในลานบ้าน สาวเท้ามุ่งไปทางหวนเฉ่าโหยวที่อยู่ไม่ไกล
เขาใส่ชุดสีเขียว มีท่าทางเฉยชา พูดได้ว่าไม่มีกลิ่นอายพิเศษอันใด
แต่เมื่อมองลึกเข้าไปยังดวงตา กลับทำให้รูม่านตาของหวนเฉ่าโหยวหดแคบเล็กน้อย ด้วยรู้สึกว่าทุกย่างก้าวของซูอี้ดูเหมือนจะมีข้อบกพร่อง แต่ก็ดูเหมือนจะไร้ที่ติเช่นกัน
ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อน
เปลือกตาของหวนเฉ่าโหยวกระตุก รอยยิ้มประดับบนใบหน้า “จิ๊! ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นผู้มากฝีมือที่มีความสามารถหลบซ่อนอยู่ แต่ว่าแบบนี้สิจึงจะน่าสนใจ หากอ่อนแอเกินไปก็น่าเบื่อ”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ซูอี้ก็อยู่ห่างจากเขาเพียงสามจั้งแล้ว
หวนเฉ่าโหยวเริ่มลงมือก่อนโดยไม่ลังเล
ตูม!
ชุดสีเขียวหยกของหวนเฉ่าโหยวโบกสะบัด ไอมารสีเลือดพุ่งออกมาจากร่างกายแล้วตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า ชั่วอึดใจนั้นมันได้เพิ่มสถานะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้ว!!
สิ่งนี้ทำให้หลายคนตกใจ พวกเขาประหลาดใจยิ่ง
เพราะตอนที่รับมือกับหยวนเหิง หวนเฉ่าโหยวไม่เคยใช้ความสามารถอันน่าเกรงขามนี้เลย
พูดอย่างจริงจัง การต่อสู้ประลองที่เริ่มขึ้นเมื่อไม่กี่วันจนถึงตอนนี้ ไม่มีใครทำให้หวนเฉ่าโหยวใช้พลังที่แท้จริงทันทีที่เริ่มการต่อสู้สักคนเดียว!
“ซูอี้ผู้นี้… เกรงว่าคงไม่ใช่คนธรรมดาแน่!”
ในระหว่างที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวของทุกคน หวนเฉ่าโหยวกำมือเป็นกำปั้น แขนขวายกขึ้นก่อนจะทุบในอากาศอย่างแรง
ราวกับค้อนทลายฟ้า!
ในอากาศที่สั่นสะเทือน พลังหมัดอันน่าสะพรึงกลัวนำพาไอมารสีเลือดเจิดจรัสไร้สิ่งใดเปรียบ เสียงหวีดหวิวดังยามหมัดเหวี่ยงไปในอากาศ ราวกับเสียงคำรามของเทพมารโบราณเข้าสะกดจิตใจ
ผนึกโลหิตอสูรสวรรค์!
วิชามารเก่าแก่ที่หวนเฉ่าโหยวใช้เป็นวิถีเต๋าของเขา แค่หมัดเดียวก็เพียงพอที่จะทำร้ายผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นต้น!
และเหตุผลที่เขาใช้พลังดังกล่าวทันทีที่เคลื่อนไหวนั้นก็ง่ายมาก ถึงเขาจะดูเหมือนคนโง่เขลา แต่เขาไม่ได้ประมาท
จากการที่ซูอี้ยอมรับคำท้าจนไปถึงจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยตอบรับคำท้านี้อย่างรวดเร็ว และไปจนถึงคำกล่าวของเวิงจิ่วที่ว่าจะไม่เข้ามาแทรกแซง เพียงทั้งหมดนี้ก็ทำให้หวนเฉ่าโหยวได้กลิ่นตุ ๆ แล้ว
และเมื่อซูอี้ก้าวไปข้างหน้า บรรยากาศที่ปล่อยออกมาระหว่างเคลื่อนไหวนั้นก็ทำให้หวนเฉ่าโหยวตระหนักได้ว่าคู่ต่อสู้ในครั้งนี้น่าจะเก็บซ่อนความสามารถเอาไว้!
ดังนั้นทันทีที่เขาเคลื่อนไหว หวนเฉ่าโหยวจึงใช้พลังที่แท้จริงออกมา!
ตูม!
เกิดเสียงอึกทึกในสนามต่อสู้ ก่อนไอมารสีเลือดจะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
พลังอันน่าสะพรึงกลัวทำให้ผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณตื่นตระหนกเมื่อตระหนักถึงความน่ากลัวของการระเบิดในครั้งนี้
แม้กระทั่งตัวตนจากยุคโบราณอย่างกู่ชางหนิง เฉิงผู และฉือเจี่ยนซู่ รวมถึงผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันอย่างเฉินลวี่และหลี่หานเติง ก็ต่างรูม่านตาหดแคบลงเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศตรงหน้า!
ผู้ใดจะมองไม่ออกว่าหวนเฉ่าโหยวไม่คิดประมาทเมื่อเผชิญหน้ากับซูอี้ผู้มีตัวตนอยู่เพียงขอบเขตเปิดทวาร ด้วยเมื่อเขาลงมือ… ก็มีสายฟ้าจำนวนหนึ่งฟาดออกมา!
ฟิ้ว~
สายลมกระโชก เสื้อผ้าบนร่างซูอี้เกิดเสียงเสียดสี
แววตาของเขาเย้ยหยัน ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ
แสงสีใสได้แผ่ออกไปทั่วท้องฟ้า
ตูม!!
ผนึกโลหิตอสูรสวรรค์ที่อยู่เบื้องหน้าระเบิดออกราวกับกระดาษ ทั่วทั้งสนามตื่นตกใจ
เพียงการสะบัดแขนเสื้อ ก็สามารถทำลายพลังหมัดที่แท้จริงของหวนเฉ่าโหยวจนแหลก!
ท่วงท่าผ่อนคลายทำให้ทุกคนในสนามเบิกตากว้าง แสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา
“รุนแรงมาก!!”
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าซูอี้จะเป็นตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวที่ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน?”
“ข้าพอเข้าใจนะ… ด้วยการที่ข้ารับใช้ของเขาอย่างหยวนเหิงสามารถติดอันดับหนึ่งในร้อยได้ ในฐานะนายท่านของหยวนเหิงแล้ว เขาจะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร?”
ในสนามเกิดความโกลาหลขึ้น เดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ฝึกตนเหล่านั้นที่ก่อนหน้านี้ยังมองร้าย มองดูแมลงเม่าซูอี้บินเข้าไปในเปลวเพลิง ตอนนี้กลับสีหน้าแข็งทื่อ รู้สึกว่าใบหน้าของพวกเขากำลังร้อนจัด ราวกับถูกตบหน้า!
แม้แต่ผู้ฝึกตนมหาปราชญ์สวรรค์ขั้นวิถีวิญญาณเหล่านั้นก็ยังตกตะลึง รวมถึงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ด้วยการโจมตีเพียงไม่กี่ครั้งก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าซูอี้ผู้มีตัวตนอยู่ในขอบเขตเปิดทวารพิเศษเพียงใด!
“ข้ารู้ว่าเขาแข็งแกร่ง!”
เฉิงผูปรบมือ ดวงตาฉายชัดถึงความต้องการสู้ “เพียงแค่มองจากที่ไกล ๆ ก็สามารถกระตุ้นสัญชาตญาณในร่างของข้าได้ แล้วจะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร?”
“เยี่ยมมาก!”
ดวงตาของฉือเจี่ยนซู่เปล่งประกายราวกับใบมีด
ในทางกลับกัน เหวินซินจ้าว เยว่ซือฉาน กู่ชางหนิง และคนอื่น ๆ ค่อนข้างสงบ
สำหรับจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย เวิงจิ่วและคนอื่น ๆ พวกเขาก็ไม่แปลกใจกับภาพตรงหน้าแม้แต่น้อย
“จริงอย่างที่ว่า สิ่งที่ท่านพ่อเคยพูดไว้ไม่ผิดเลย ซูอี้คนนี้เหนือล้ำยิ่งกว่าผู้ฝึกตนในวิถีต้นกำเนิดราวฟ้ากับดิน!”
เซี่ยชิงหยวนประหลาดใจ
ด้วยการโจมตีเพียงเล็กน้อยของซูอี้ในขณะนั้น ก็ทำให้ผู้ชมต่างไม่อาจนิ่งเฉยได้อีก
สีหน้าของเหล่าคนใหญ่คนโตที่นั่งอยู่บนแท่นหยกตรงกลางเปลี่ยนไปเล็กน้อย แววตาสั่นไหว
บนสนามต่อสู้
ท่ามกลางแสงแดดสาดส่อง ซูอี้ไม่ได้หยุดฝีเท้าและยังคงมุ่งตรงไปทางหวนเฉ่าโหยว
“ฮ่า ๆ ข้ารู้แล้วว่าเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา! หากข้าไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติก่อน อีกนิดก็คงจะถูกเจ้าจัดการ”
หวนเฉ่าโหยวมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า แววตาโหดเหี้ยมและกระหายเลือด
เสียงยังคงดังหวีดหวิว ร่างกายเขาเต็มไปด้วยไอมารสีเลือด ก่อนจะโจมตีอีกครั้ง
สองมือประสาน แล้วฟันไปในอากาศอย่างรุนแรง
ซ่า!
คมดาบโค้งมนที่เหมือนพระจันทร์เต็มดวงสีแดงสด วาดขึ้นไปในอากาศ
จันทร์โลหิตแห่งรัตติกาลมารสังหาร!
ทันทีที่คมดาบโค้งมนปล่อยออกมา หมอกสีเลือดอันเย็นยะเยือกก็แผ่ออกมารอบสนามประลองราวกับตกลงไปในนรกสีเลือด ภาพอันน่าสะพรึงกลัวของกลุ่มมารที่เต้นรำอยู่รอบ ๆ ปรากฏขึ้น
หลังเห็นฉากนี้จากที่ไกล ๆ ทำเอาผู้ฝึกตนส่วนใหญ่แสบตา จิตใจรู้สึกเหมือนถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ และสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
แม้แต่เหล่ามหาปราชญ์สวรรค์ขั้นวิถีวิญญาณก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง
ทักษะวิชาเหล่านี้เมื่อมองดูแล้ว… ไม่ว่าจะเป็นในแง่ความสามารถอันน่าเกรงขาม หรือจังหวะวิถี ซึ่งคล้ายพัฒนาจนสุกงอม ก็ล้วนอยู่ไกลเกินขอบเขตลำดับวิถีต้นกำเนิด! ทำให้ผู้ฝึกตนในวิถีวิญญาณต่างก็รู้สึกถึงภัยคุกคาม
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หลังจากที่รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของซูอี้ หวนเฉ่าโหยวก็พลันใช้ไพ่ตายสุดท้ายอย่างไม่เกรงใจ! เพราะเดิมทีเขาก็ไม่ได้คิดจะไกล่เกลี่ยกับซูอี้อยู่แล้ว!
ทว่าถึงจะเผชิญกับไพ่ตายเช่นนี้ หากแต่ดวงตาของซูอี้กลับไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย!
วิชามารเช่นนี้มีพลังมหาศาลนัก มันมากพอที่จะทำให้โจวเฟิงจื่อตัวตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นต้นรู้สึกสิ้นหวัง
แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีผลใด ๆ ต่อซูอี้ ที่ตอนนี้เข้าสู่ขอบเขตเปิดทวารขั้นปลายแล้ว!
เขาดีดนิ้ว
พลั่ก!!!
ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของผู้คน คมดาบโค้งมนที่เหมือนพระจันทร์เต็มดวงสีแดงสดอยู่ข้างหน้าซูอี้เพียงสามจั้ง ทันใดนั้นก็แตกกลางและแยกออกเป็นสองส่วนราวกับกระจกอันเปราะบาง
เสียงระเบิดคมชัดกึกก้องทั่วฟ้าดินอยู่นานสองนาน
แค่ดีดนิ้วก็ทลายไพ่ตายของหวนเฉ่าโหยวแล้ว!
ผู้ชมตกตะลึง อ้าปากพะงาบ ๆ