บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 535 ปราณดาบอยู่ในฤดูใบไม้ร่วง
ตอนที่ 535: ปราณดาบอยู่ในฤดูใบไม้ร่วง
ตอนที่ 535: ปราณดาบอยู่ในฤดูใบไม้ร่วง
บรรยากาศของชุมนุมมวลพฤกษาหดหู่และมึนตึง
ทว่าน้อยคนนักจะรู้สึกเห็นใจหวนเฉ่าโหยว
ในทางกลับกัน เมื่อเห็นหวนเฉ่าโหยวถูกซูอี้บดขยี้ คนมากมายกลับรู้สึกสะใจมีความสุข
ความโหดเหี้ยมที่ทายาทตระกูลหวนเผ่ามารแสดงในชุมนุมมวลพฤกษาทุกวันนี้โหดร้ายเกินไป
ไม่ว่าผู้ใดที่ประลองกับเขาต่างสูญเสียอย่างเจ็บแสบ
มีผู้ฝึกตนมากมายที่ถูกทำลายพื้นฐานมหาวิถี!
ขอเพียงได้เห็นผู้ฝึกตนคนอื่นต่อสู้กับหวนเฉ่าโหยวมาก่อน ก็ยากจะรู้สึกเห็นใจหวนเฉ่าโหยวได้
และในเวลาเดียวกันกลับมีความรู้สึกเชิง ‘หวนเฉ่าโหยวก็มีวันนี้เช่นกัน’ ขึ้นมา
สนามต่อสู้
เมื่อเห็นว่าตนไม่อาจยอมแพ้ หวนเฉ่าโหยวดูจะตัดสินใจสู้ยิบตา ใบหน้าเปรอะโลหิตของเขาแย้มยิ้มบ้าคลั่ง
ดวงเนตรห้อเลือดดูราวอยากกล่าวว่า ตราบใดที่ข้าไม่ตาย ข้าจะกลับมาล้างแค้น!
ในอดีตชาติ ซูอี้ได้พานพบศัตรูที่มีแววตาเฉกเช่นนี้มากมาย เขาจะไม่เข้าใจความหมายได้เยี่ยงไร?
ชายหนุ่มเอื้อมมือคว้าหวนเฉ่าโหยวขึ้นจากพื้นอีกครั้ง ยกขึ้นสูง จากนั้นจึงกล่าวอย่างเฉยเมย
“กาลก่อน มีมารเฒ่าผู้หนึ่งซึ่งมี ‘เคล็ดทรมาน’ ลือนามทั่วโลก กล่าวไว้ว่าความตายคือสิ่งที่ง่ายที่สุดในโลก ส่วนสิ่งที่โหดร้ายที่สุดในโลกคือการ ‘แม้ปรารถนาแต่มิอาจตาย’!”
กล่าวถึงตรงนี้ ซูอี้ก็ยิ้มน้อย ๆ “และบังเอิญว่าข้าสำเร็จเคล็ดวิชาที่ทำให้ผู้คนไม่อาจร้องขอความตายได้ ซึ่งมีนามว่าหมื่นมดเร้าวิญญาณ ผู้ที่ถูกวิชานี้จะรู้สึกราววิญญาณถูกมดนับหมื่นกัดกินจนทนไม่ได้ แต่ไม่ถึงตาย”
“สิ่งลึกลับที่สุดคือ แม้จะหมดสติก็ยังทำไม่ได้ อยากลองหรือไม่?”
สีหน้าของหวนเฉ่าโหยวเปลี่ยนแปร หอบหายใจถี่รัว ดวงตาเหลือกถลน ทั้งร่างตะเกียกตะกายสุดชีวิต ทว่าท้ายที่สุดก็เสียแรงเปล่า
เขาพูดไม่ได้
ทว่าสีหน้าและการกระทำแสดงให้เห็นว่าในใจเขากลัวและโกรธเคืองเพียงใด
“พอแล้ว!” เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังออกมาจากในหมู่ที่นั่งผู้ชมไกลออกไป
หญิงงามในชุดคลุมยืนขึ้น ดวงเนตรของนางน่าสะพรึงกลัว “ที่นี่คือชุมนุมมวลพฤกษา หาใช่ที่ที่ผู้ใดจะทำตามอำเภอใจ อย่าทำเรื่องมากเกินไปนัก หากไม่ เจ้าจะล่วงเกินตระกูลหวนเผ่ามารของข้า ถึงยามนั้น จะไม่มีผู้ใดใต้ฟ้าดินนี้ช่วยเจ้าได้!”
วาจาเหล่านี้ทำให้เหล่าผู้ชมฮือฮา
คนมากมายตะลึงในใจ ซูอี้อาจเก่งกล้าสามารถจริง แต่นั่นยังหมายความว่าเขาล่วงเกินตระกูลหวนเผ่ามารแล้ว!
นี่คือตระกูลอันดับหนึ่งในเผ่ามารแห่งมหาทวีปคังชิงตลอดสามหมื่นปี พื้นหลังของมันน่ากลัวยิ่ง
เมื่อหวนเฉ่าโหยวมาเยือนถึงนครหลวงจิ๋วติ่งเมื่อสองสามวันก่อน เขากระทั่งกล้าฝ่าฝืนเข้ามาในน่านนภาเหนือนครหลวงจิ๋วติ่ง!
สุดท้าย แม้หวนเฉ่าโหยวจะถูกไล่กลับ ทว่าราชวงศ์เซี่ยก็ไม่กล้าสืบเรื่องราวต่อ
ไม่ว่าใครก็เดาเหตุผลได้ นั่นคือราชวงศ์เซี่ยเองก็เกรงกลัวในอำนาจของตระกูลหวนเผ่ามาร ไม่กล้าฉีกหน้าพวกเขาเช่นกัน!
ฮั่วหมิงเยวี่ยนมีรอยยิ้มประดับหน้า ลอบคิดในใจว่าครานี้ ซูอี้ล่วงเกินตระกูลหวนเผ่ามารอย่างเต็มตัวแล้ว!
บนสนามต่อสู้
ซูอี้ทำเป็นหูทวนลม มือซ้ายของเขาแตะที่หว่างคิ้วหวนเฉ่าโหยวเบา ๆ
ภายใต้สายตาตื่นตะลึงทุกคู่ ร่างของหวนเฉ่าโหยวในคราแรกนิ่งไป จากนั้นจึงกระตุกอย่างรุนแรงราวอยู่บนตะแกรงร่อน
ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวอย่างแสนเจ็บปวด ทว่ากลับไร้เสียงจากปาก
ทว่าไม่ว่าผู้ใดก็เห็น ว่าหวนเฉ่าโหยวกำลังเจ็บปวดจนยากบรรยาย!
ภาพที่เห็นทำให้ผู้คนรู้สึกขนลุก
“ซูอี้! เจ้ากำลังรนหาที่ตายหรือไร!!”
สตรีในชุดลวดลายนกหงส์หยกห่างออกไปเดือดดาล ใบหน้างดงามของนางซีดขาว
ซูอี้ไม่สนใจนาง เคล็ดหมื่นมดเร้าวิญญาณแบ่งย่อยออกได้สามขั้น และนี่เป็นเพียงขั้นแรกเริ่ม
เขายกมือซ้ายขึ้นกดที่หว่างคิ้วของหวนเฉ่าโหยวอีกครั้ง
ทว่ายามนี้เอง…
จี้หยกซึ่งห้อยอยู่ที่คอของหวนเฉ่าโหยวพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำดั่งโลหิต จากนั้นจึงสั่นไหวรุนแรง
ตู้ม!
จี้หยกปลดปล่อยคลื่นพลังในวิถีวิญญาณอันร้ายกาจ บีบอัดจนกลายเป็นดาบคมสีเลือดฟาดฟันลงมา
ซูอี้ใช้มือหนึ่งยกหวนเฉ่าโหยวขึ้น ก่อนจะ…
เมื่อเหตุการณ์พลิกผันฉับไวเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนคนอื่นคงผงะไป หรือกระทั่งตั้งตัวไม่ทันจนถูกฆ่าคาที่ไปก็เป็นได้
ทว่าซูอี้กลับส่งเสียงขำราวคาดเดาไว้ก่อนแล้ว
เคร้ง!
ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ วูบไหวในอากาศว่างเปล่า
เกิดเสียงระเบิดสนั่นปฐพี ปราณดาบสีแดงสดถูกผ่าออกเป็นสอง
พลังของเขาที่ยังหลงเหลือในคมดาบนิลกาฬกลืนฟ้ายังคงไม่เสื่อมถอย มันแทงเข้าใส่จี้หยกที่อกของหวนเฉ่าโหยว
ความว่องไวนั้นสูงส่ง อย่าว่าแต่ผู้อื่นในสนาม ตัวหวนเฉ่าโหยวเองยังไร้โอกาสไหวตัว ทำได้เพียงมองคมดาบแทงทะลุจี้หยกอย่างดุร้าย
ตู้ม!!!
จี้หยกระเบิดออก
ท่ามกลางความชุลมุน ภาพฉายสีแดงเลือดพุ่งออกมา
เกิดเสียงฮือฮาโกลาหลขึ้น ทุกผู้ต่างตะลึงในความเปลี่ยนแปลงนี้
ผู้มีอำนาจบางคนรับรู้ได้ในแวบเดียวว่าภาพฉายสีเลือดนี้คือจิตดั้งเดิมผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยแบกเรือล่องล้อเมฆามารนับพันบนบ่า ฝ่าเข้ามายังน่านฟ้าเหนือนครหลวงจิ๋วติ่ง!
ไม่ต้องสงสัยว่านี่คือไพ่ตายก้นหีบ ตัวช่วยชีวิตของหวนเฉ่าโหยว
ทุกผู้ที่เห็นสิ่งนี้ต่างหลั่งเหงื่อกาฬ
เมื่อถามตนเองว่ามีผู้ใดเผชิญความเปลี่ยนผันนี้ได้หรือไม่ เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่เป็นสุข
ทว่าจากความขัดแย้งเมื่อครู่ ซูอี้ดูจะเตรียมการมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว
“เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าข้าคนแซ่ซูจะมีความอดทนมาทรมานมดปลวกแสลงตา? แท้จริงผู้ที่ข้ารออยู่คือเจ้า!”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย ดวงเนตรลึกล้ำเปี่ยมจิตสังหาร
ยามกล่าว ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าในมือวูบไหวบนเวหา ฟาดฟันออกไป
ฉับ!
ปราณดาบไร้สีกวาดผ่านนภาราวภาพฝัน ดูราวคลื่นวารีจากธารแห่งสรวงสวรรค์ ฟาดฟันลงมาอย่างแข็งกร้าวอหังการ
ปราณดาบอันน่าหวาดหวั่นเหนือล้ำกว่าปราณดาบสามฉื่อที่ซูอี้เคยสำแดงไกลโข
มันยังทำให้ผู้คนตระหนักได้ว่ายามซูอี้ชักดาบ เผยความสามารถที่แท้จริงออกมานั้น ตัวเขาร้ายกาจเพียงใด!
“รนหาที่ตาย!” ภาพฉายสีเลือดคำรามลั่น ฟาดฝ่ามือเข้าใส่ซูอี้
ตู้ม!
ลานต่อสู้สั่นไหวโคลงคลอน ประกายสีโลหิตสาดสู่นภา
พลังในขอบเขตสยายวิญญาณจากฝ่ามือนั้นทำให้ทุกคนหนังหัวชาวาบ สีหน้าเปลี่ยนเป็นตกตะลึง
สิ่งที่ทำให้ผู้คนอึ้งยิ่งกว่านั้นคือ ฝ่ามืออันน่าสะพรึงกลับถูกดาบของซูอี้สะบั้นราวตัดต้นไผ่
เกิดเสียงครืนคราง ปราณดาบฟาดฟัน กรีดกรายเข้าใส่ภาพหลอนสีเลือด!
“นี่มัน…” เหล่าผู้ชมต่างตะลึงงันโดยถ้วนทั่ว
นั่นคือจิตดั้งเดิมในขอบเขตสยายวิญญาณนะ!!
ไม่กี่วันก่อน เขาฝ่าเข้ามาในน่านฟ้าเหนือนครหลวงจิ๋วติ่ง และยามที่พ่ายลงในที่สุด เขายังทำลายการโจมตีจากค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนได้!
ทว่ายามนี้ ตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวกลับถูกดาบกรีดใส่เต็มไปด้วยบาดแผล!
“ว่าแล้วเชียว พวกเฒ่าอย่างพวกเจ้ามีชีวิตรอดได้แค่ในจี้หยกจนกระทั่งบุกรุกเข้ามาในนครหลวงจิ๋วติ่งเมื่อสองสามวันก่อน เจ้าน่าจะบาดเจ็บสาหัสอยู่ และยามนี้…”
ซูอี้หัวเราะ
เสียงยังไม่ทันเลือนหาย เขาก็ก้าวมาเบื้องหน้า ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าในมือของเขาฟาดฟันอีกครา
ภาพอันทำให้ทุกผู้กรามค้างอุบัติ ภาพเงาสีเลือดเดือดดาลครุ่นแค้น ทว่าเมื่อเผชิญดาบนี้ อีกฝ่ายกลับเลือกหลบโดยไม่รู้ตัว!
น่าเสียดาย ซูอี้ไม่ได้คิดจะให้อีกฝ่ายมีโอกาสใช้ชีวิตต่อแต่อย่างใด
ในขณะที่ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าพลิ้วฟัน ดาบเล็กสีเขียวครามยาวสามชุ่นก็พุ่งออกมาจากหว่างคิ้ว
ดาบน้อยสังหารเทพ!
ควบแน่นขึ้นจากเคล็ดวิชาหนึ่งลมปราณผนึกจิต สร้างขึ้นเพื่อสังหารวิญญาณโดยเฉพาะ!
ฟิ้ว!
ดาบน้อยสีครามทะยานเวหาลาลับ
ภายใต้สายตาผู้เข้าร่วมชุมนุมมวลพฤกษาทุกคู่ เงาสีเลือดสั่นไหวรุนแรง ก่อนจะส่งเสียงคำรามออกมาอย่างแสนสาหัส
“บ้าเอ๊ย! ตระกูลหวนเผ่ามารของข้าจะล้างตระกูลเจ้า—!!”
เสียงคำรามสะเทือนฟ้าสะท้านแดนดินยังคงกังวาน แล้วภาพฉายสีเลือดก็ถูกชำแหละผ่ากลางแยกเป็นสองเสี่ยง
จากนั้น จิตดั้งเดิมในขอบเขตสยายวิญญาณของยอดคนแห่งตระกูลหวนเผ่ามารก็พลันสลายสู่ความว่างเปล่า
เคร้ง!
ซูอี้เก็บดาบนิลกาฬกลืนฟ้า และในที่สุดก็รู้สึกเบาใจ
แม้ว่าจากกฎกติกา หวนเฉ่าโหยวจะไม่อาจถูกฆ่าได้ก็ตามที แต่อย่างน้อยก็ฆ่าเจ้าเฒ่าที่อยู่กับเขาได้
รอบสนามประลองเงียบกริบ
เหล่าคนใหญ่คนโตบนแท่นหยกต่างตกตะลึงพรึงเพริด
นี่คือวันชุมนุมมวลพฤกษาวันสุดท้าย และศึกระหว่างซูอี้และหวนเฉ่าโหยวก็คืออุบัติเหตุซึ่งไม่มีผู้ใดคาดคะเน
สิ่งที่ยิ่งเกินคาดคือ ซูอี้ผู้อยู่เพียงในขอบเขตเปิดทวารสามารถสยบหวนเฉ่าโหยว ทำให้เขาเต้นเร่าบนฝ่ามือได้อย่างง่ายดาย!
ภาพเหล่านี้ได้ล้มล้างทุกความคิดฝันของคนมากมาย ก่อให้เกิดกระแสปั่นป่วนโกลาหล!
…เมื่อเห็นหวนเฉ่าโหยว ผู้เก่งกาจโดดเด่นที่สุดในหมู่ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณยังไม่อาจหนีพ้นเงื้อมมือของซูอี้ได้
ยามนั้นเอง ผู้คนจึงตระหนักว่าพื้นหลังและวิถีเต๋าของชายหนุ่มนามซูอี้ผู้นี้ร้ายกาจเพียงใด!
ทว่า…
ใครเล่าจะคิดว่าชายหนุ่มในขอบเขตเปิดทวารเช่นซูอี้จะแข็งแกร่งจนสังหารวิญญาณสีเลือดนั่นได้ด้วยดาบเดียว?
กระทั่งจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย ณ ที่นั่งประธานยังส่ายหน้า ดวงตาเบิกกว้าง ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น
ในขณะเดียวกัน เวิงจิ่วซึ่งอยู่ใกล้สนามประลองที่สุดก็ยังจ้องแน่วนิ่ง
เมื่อเห็นภาพเงาสีเลือดพุ่งออกมา เขาเตรียมจะหยุดมันอย่างสุดกำลังโดยไม่รู้ตัว
ทว่าไม่คาดเลยว่าในพริบตา ซูอี้จะสามารถสังหารภาพหลอนนั้นได้ทันที!!
บรรยากาศอึมครึม เงียบดั่งป่าช้า
กู่ชางหนิง เฉิงผู ฉือเจี่ยนซู่ หลี่หานเติง เฉินลวี่ และผู้อื่นต่างตะลึงงัน ยากจะสงบใจได้
พวกเขาต่างตระหนักถึงหนึ่งสิ่ง
ไม่ว่าพวกเขาจะเลือกประลองกับตัวตนร้ายกาจจากยุคโบราณ หรือผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันคนใดในชุมนุมมวลพฤกษานี้ ในด้านพลังและเกียรติยศ พวกเขาก็คงไม่อาจก้าวข้ามและถูกซูอี้กลบรัศมีจดมิดเป็นแน่แท้!
นัยน์ตาคู่งามของเหวินซินจ้าวเต็มไปด้วยความตื่นเต้นระคนชื่นชม
นางรู้สึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าตนโชคดีเพียงใดที่สัญญาจะติดตามซูอี้ไปฝึกฝนวิถีดาบ
เยว่ซือฉานผ่อนคลายตน ผ่อนลมหายใจโล่งอกยาวเหยียด
คราก่อนเมื่อภาพฉายสีเลือดทะยานออกมา นางถึงกับหลั่งเหงื่อแทนซูอี้ เมื่อเห็นว่ายามนี้ซูอี้ปลอดภัย นางก็อดรู้สึกปรีดาในใจไม่ได้
บนแท่นหยก
หลูเต้าถิง เซียนโม่หยาง อวี้จิ่วเจิน เจ้าอาวาสจิ้นหยวน และเหล่าบุคคลสำคัญที่รับชมอยู่ต่างเงียบเสียง
อารมณ์ของแต่ละผู้กระเพื่อมขึ้นลง สีหน้าที่แสดงออกแตกต่างกัน
มีทั้งประหลาดใจ ตกตะลึง เคลือบแคลง และเหม่อลอย…
ยามนี้ บนสนามต่อสู้
หวนเฉ่าโหยวเป็นอัมพาตอยู่ที่พื้น ดูไร้วิญญาณดั่งไว้ทุกข์แก่สนมรัก
ซูอี้หยิบน้ำเต้าสุราออกมา เงยหน้ากระดกดื่ม จากนั้นก็เดินออกไปนอกสนามต่อสู้
สายตาผู้ชมต่างจับจ้องไปที่ชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้ราวเฝ้ามองตำนาน
วันที่ยี่สิบเก้าเดือนเก้า
ฤดูใบไม้ร่วง
ณ งานชุมนุมมวลพฤกษา นครหลวงแห่งต้าเซี่ย ซูอี้กำราบหวนเฉ่าโหยว หนึ่งดาบผ่าร่างจิตดั้งเดิมในขอบเขตสยายวิญญาณ
ผู้คนล้วนตะลึงอึ้งทั่วทั้งสถาน
ณ ยามนั้นซูอี้ วาฬผู้กลืนกินสมุทร ได้ชักดาบออกจากฝัก เผยประกายคมกริบกรีดผ่านนภาในสารทฤดู