บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 536 เขาแซ่ซู
ตอนที่ 536: เขาแซ่ซู
ตอนที่ 536: เขาแซ่ซู
วันที่สามสิบ เดือนเก้า
ณ สวนน้อยนภาเมฆ
เช้าตรู่ในฤดูใบไม้ร่วง นำพาความเย็นสบายมาเยือน
ต้นไม้มากมายภายในลานพลัดใบเปลี่ยนสี น้ำค้างเกาะตัวอยู่บนยอดหญ้า
ริมสระน้ำ
ซูอี้ที่เพิ่งฝึก ‘เคล็ดวิชาแสวงไร้ลักษณ์ข้ามปัจเจก’ ไปเมื่อครู่ กำลังเอนกายพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างเกียจคร้าน บางครั้งก็โยน ‘ผีเสื้อจันทรา’ ลงไปในสระ ทำให้ปลาที่อยู่ในสระน้ำเกิดการแย่งชิงกัน
หยวนเหิงนั่งอยู่หน้าเตาดินเหนียวสีแดงขนาดเล็ก และชงชาให้ซูอี้
บางครั้งที่สายตามองไปทางซูอี้ ภาพที่เกิดขึ้นในงานชุมนุมมวลพฤกษาเมื่อวานก็ผุดขึ้นมาในหัวโดยไม่รู้ตัว
เมื่อวาน
ซูอี้โจมตีหวนเฉ่าโหยวจนพ่ายแพ้ได้รับบาดเจ็บ สังหารจิตดั้งเดิมขอบเขตสยายวิญญาณ เพียงแค่เคลื่อนไหวก็ทำให้สั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ
ผู้ที่เห็นการต่อสู้นี้กับตาตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นตัวตนโบราณ หรือผู้เก่งกล้าที่มีพรสวรรค์แห่งยุคนี้ แม้กระทั่งมหาปราชญ์วิถีวิญญาณเหล่านั้น ต่างสติหลุดลอย!
ตอนนั้น แม้ซูอี้จะออกไปจากงานชุมนุมมวลพฤกษาหลังจากที่ต่อสู้เสร็จแล้ว แต่ทุกคนกลับยังคงไม่อาจฟื้นคืนสติจากอาการตกใจได้
และต่อมาในการต่อสู้ประลองหลังจากนั้น ไม่ว่าผู้เข้าร่วมเหล่านั้นจะแสดงความสามารถที่น่าทึ่งและพลิกฟ้าออกมาเท่าใด แต่บรรยากาศในบริเวณนั้น เมื่อเทียบกับการต่อสู้นั้นของซูอี้แล้ว กลับแตกต่างอยู่เล็กน้อย
จนสุดท้าย เมื่อเฉิงผูชนะเฉินลวี่ได้อย่างหวุดหวิดด้วยหมัดคู่ และขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของงานชุมนุมมวลพฤกษาครั้งนี้
คนหนุ่มชุดเทาที่สงสัยว่าเป็นศิษย์ราชันย์มารสวนกู่ผู้นี้ กลับยิ้มเจื่อนพร้อมส่ายหน้าไม่หยุด
ทุกคนถามเขาว่าเหตุใดถึงส่ายหน้า
เฉิงผูถอนหายใจยาวออกมา พลางกล่าวว่า “อันดับหนึ่งของข้าเป็นเรื่องไม่จริง ซูอี้สิถึงจะเป็นราชาไร้มงกุฎ*[1]ของงานชุมนุมมวลพฤกษาในครั้งนี้จริง ๆ”
เมื่อคำพูดนี้ดังออกไป ทั่วทั้งบริเวณพลันเงียบสงัด
ทุกคนต่างมิอาจโต้แย้ง
เมื่อนึกถึงภาพนี้ขึ้นมา หยวนเหิงจะไม่รู้สึกตื่นเต้นได้อย่างไร?
“นายท่าน หลังจากงานชุมนุมมวลพฤกษาจบลงไปเมื่อวาน จู่ ๆ เก๋อเฉียนก็เข้าหาข้า และสอบถามว่าพวกเราพักอยู่ที่แห่งใด ข้าจึงบอกที่ตั้งของสวนน้อยนภาเมฆให้แก่เขาไป”
หยวนเหิงนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ และรีบเอ่ยขึ้นทันที
ซูอี้ยิ้มมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย “ไม่เลวเลย”
เมื่อคิดครู่หนึ่ง ซูอี้ก็เอ่ยต่อ “เจ้ากับแม่นางไป๋ไปเตรียมตัว วันนี้เมื่อเวิงจิ่วมาถึง พวกเจ้าก็กลับไปพร้อมเขา”
งานชุมนุมมวลพฤกษาได้จบลงแล้ว และรายชื่อลำดับสุดท้ายก็เปิดเผยออกมาแล้ว
ผู้แก่กล้าที่ได้รับยันต์พระสุเมรุในงานชุมนุมมวลพฤกษาครานี้ ก็จะเดินทางไปเกาะเซียนพระสุเมรุในวันพรุ่งนี้!
ซูอี้ย่อมไม่พลาดเช่นกัน
เดิมทีเขาตั้งใจจะเดินทางไปเกาะเซียนพระสุเมรุเพื่อสืบหาและดูว่าจะมีเบาะแสกับความลับที่เกี่ยวข้องกับ ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ ซ่อนเอาไว้ในนั้นหรือไม่
ทว่าก่อนที่จะเดินทางไปเกาะเซียนพระสุเมรุ เขาต้องพาหยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยก่อน
นครหลวงจิ๋วติ่งในยามนี้ ทุกคนต่างรู้ว่าเขาได้ล่วงเกินตระกูลหวนเผ่ามารเข้าแล้ว
แม้ซูอี้จะไม่สนเรื่องเหล่านี้ แต่กลับจำต้องระวังอีกฝ่ายที่อาจถือโอกาสในตอนที่เขาไม่อยู่ จัดการคนที่อยู่เคียงข้างเขาได้
ด้วยเหตุนี้ ซูอี้จึงตัดสินใจวานให้เวิงจิ่วดูแลหยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิง
“ขอรับ!”
หยวนเหิงตอบรับทันที
ซูอี้ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้หวาย และกลับเข้าไปในห้อง
ระดับการฝึกฝนของเขาได้บรรลุไปถึงขอบเขตเปิดทวารขั้นปลายแล้ว ใช้เวลาไม่นาน ก็จะสามารถฝึกฝนไปถึงขั้นสมบูรณ์ได้
สิ่งที่ต้องพิจารณาในยามนี้คือ ต้องเตรียมตัวสำหรับขอบเขตรวบรวมดารา!
…..
ตอนพลบค่ำ
เวิงจิ่วรีบเร่งเข้ามา
“สหายเต๋า ในตอนเช้าตรู่วันพรุ่ง เชิญท่านเดินทางไปภูเขาเทียนหมางเพื่อพูดคุยครู่หนึ่ง เมื่อถึงเวลาแล้ว ทางราชสำนักแห่งต้าเซี่ยจะเปิดแท่นบูชาเคลื่อนย้าย ส่งสหายเต๋ากับคนอื่น ๆ ที่ได้ยันต์พระสุเมรุเดินทางไปที่ถ้ำอุกกาบาต”
ครั้นเห็นซูอี้ เวิงจิ่วก็เอ่ยจุดประสงค์ที่มาที่นี่ทันที
ซูอี้เอ่ยอย่างสนใจ “นอกจากข้าแล้ว ยังมีอีกกี่คนที่เดินทางไปในครั้งนี้ด้วย?”
เวิงจิ่วเอ่ยโดยไม่ต้องคิดทันที “ผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในสามสิบอันดับแรกในงานชุมนุมมวลพฤกษา ต่างก็เดินทางไปด้วย นอกจากนี้ ยังมีตัวตนที่มีความเป็นมาพิเศษอีกสามท่านที่จะออกเดินทางไปด้วยเช่นกัน”
“หืม?”
ซูอี้เอ่ย “สิ่งใดที่เรียกว่าพิเศษกัน?”
เวิงจิ่วเอ่ย “ไม่ปิดบังสหายเต๋า ทั้งสามคนคือตัวตนร้ายกาจโบราณ ความเป็นมาของแต่ละคนนั้นไม่ธรรมดา เมื่อนานมาแล้ว ฝ่าบาทเคยรับปากว่าจะมอบยันต์พระสุเมรุให้กับพวกเขา”
ตามที่เวิงจิ่วได้กล่าวมา คนหนึ่งคือโม่ซิงเจ๋อ มาจาก ‘โถงวิญญาณหยินทมิฬ’
อีกคนคือเยี่ยนจิงอวิ๋น มาจาก ‘ภูเขาไข่มุกสวรรค์’
ส่วนอีกคนคือจิงหลิงเจิน มาจาก ‘สำนักผลาญตะวัน’
ทั้งสามกองกำลังใหญ่นี้ คือกลุ่มวิถีปราชญ์ชั้นนำอันดับหนึ่ง เมื่อสามหมื่นปีก่อน
โถงวิญญาณหยินทมิฬคือกองกำลังฝึกผีอันดับหนึ่งในใต้หล้า ภูเขาไข่มุกสวรรค์คือผู้นำลัทธิเต๋าทั่วใต้หล้า และสำนักผลาญตะวันคือหนึ่งในสามสำนักปีศาจใหญ่ทั่วใต้หล้า
และในฐานะที่เป็นศิษย์ของสามกองกำลังใหญ่สูงสุด ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าความเป็นมาของโม่ซิงเจ๋อ เยี่ยนจิงอวิ๋น และจิงหลิงเจินจะไม่ธรรมดามากเพียงใด
“สหายเต๋า พื้นฐานหลักและพรสวรรค์ของทั้งสามคน ใช่ว่าจะอ่อนแอกว่าหวนเฉ่าโหยว หรือเฉิงผู… ตัวตนยุคโบราณเหล่านี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก”
เวิงจิ่วมีสายตาแปลกไป “สาเหตุที่พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมงานชุมนุมมวลพฤกษาในครานี้ เป็นเพราะระดับการฝึกฝนของพวกเขาแต่ละคนใกล้จะบรรลุขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแล้ว และเพื่อเข้าไปในเกาะเซียนพระสุเมรุ จึงต้องทำการปิดผนึกกับระงับระดับการฝึกฝนของตัวเองไว้ ไม่เช่นนั้น เมื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ก็มิอาจเข้าไปแสวงหาโอกาศในเกาะเซียนได้อีก”
พักไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยต่อ “และจุดประสงค์ที่พวกเขาเดินทางไปเกาะเซียนพระสุเมรุในครานี้ หนึ่งคือเพื่อแสวงหาโชคชะตาในนั้น สองคือแสวงหาการบรรลุขั้นสูงสุดของการฝึกฝนที่แท้จริง”
ซูอี้เอ่ย “เป็นเช่นนี้นี่เอง”
จากนั้น เวิงจิ่วก็คุยเรื่องอื่นขึ้น “สหายเต๋า พวกเราได้สืบได้แล้วว่า จิตดั้งเดิมขอบเขตสยายวิญญาณที่เจ้าสังหารไปเมื่อวาน คือลุงทวดของหวนเฉ่าโหยว นามว่า ‘หวนเทียนจ้ง’ คือหนึ่งในคนแก่ของตระกูลหวนเผ่ามาร ซึ่งมีฐานะสูงส่ง”
“หลังจากประสบกับเหตุการณ์เมื่อวาน ตระกูลหวนเผ่ามารต้องชังสหายเต๋าเข้ากระดูกดำแน่ แต่สหายเต๋าไม่ต้องห่วง กองกำลังของตระกูลหวนเผ่ามาร มิกล้าเข้ามาก่อความวุ่นวายภายในนครหลวงจิ๋วติ่งแน่นอน”
“อีกอย่างหนึ่ง กองกำลังอย่างตระกูลฮั่ว วังเทพสวรรค์เมฆา และสำนักเต๋าชิงอี่เหล่านั้น หลังจากได้เห็นพลังของสหายเต๋า ก็มีท่าทางระมัดระวังขึ้นอย่างมาก”
“ตามที่ฝ่าบาทกล่าวไว้ กองกำลังเหล่านี้อาจจะรอดูว่าตระกูลหวนเผ่ามารจะจัดการกับสหายเต๋าอย่างไร”
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ ซูอี้ก็ยิ้มเยาะออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว “พวกเขาช่างวางแผนได้ดีจริง ๆ หากตระกูลหวนเผ่ามารสามารถสังหารข้าได้ ก็เท่ากับว่าได้ช่วยแก้แค้นแทนพวกเขาด้วย”
เวิงจิ่งยิ้มออกมาเช่นกัน พลางกล่าว “หากตระกูลหวนเผ่ามารทำอันใดสหายเต๋าไม่ได้ แม้พวกเขาจะชังสหายเต๋ามากเท่าใด… เกรงว่าคงทำได้แค่กัดฟันฝืนทนเอาไว้”
ซูอี้เอ่ย “กัดฟันฝืนทน ก็ใช่ว่าจะรามือ แต่ก็เอาเถิด ต่อไปหากผู้ใดกล้าไม่ซื่อสัตย์ ข้าจะไปเยือนรังพวกเขาด้วยตัวเองดูสักรอบหนึ่งก็ไม่เสียหายอะไร”
ประโยคธรรมดา แต่กลับทำให้เวิงจิ่วตกใจไม่หยุด เขาจะฟังไม่ออกได้อย่างไร สิ่งที่เรียกว่าไปเยือนดูสักรอบของซูอี้ จริง ๆ แล้วมีความหมายแฝงว่า จะใช้พลังของตัวเองไปสยบกองกำลังใหญ่เหล่านั้น?
แน่นอน เรื่องเช่นนี้ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้น
เวิงจิ่วคุยอีกสักพักหนึ่ง จากนั้นเขาก็รีบลากลับ
…..
ราตรีมืดมิด แสงไฟในนครหลวงจิ๋วติ่งดั่งมังกร มีผู้คนสัญจรไปมาละลานตามาก
“ซินจ้าว ตอนที่เจ้าจะเดินทางไปเกาะเซียนพระสุเมรุในวันพรุ่งนี้ ต้องระมัดระวังหน่อยนะ สถานที่แห่งนั้นถูกมองว่าเป็นสถานที่ต้องห้าม ตั้งแต่ ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ เมื่อสามหมื่นปีปลดปล่อยออกมาจวบจนยามนี้ ยังไม่เคยมีผู้ใดเข้าไปได้เลย ฉะนั้นไม่ว่าจะได้โชคชะตาหรือสิ่งใดก็ตามหรือไม่ ขอเพียงแค่มีชีวิตรอดกลับมา ก็เพียงพอแล้ว”
ภายในหอแห่งหนึ่ง เซียนหานเยียนเอ่ยกำชับด้วยเสียงนุ่มนวล
“ท่านอาจารย์โปรดวางใจ ครานี้ศิษย์พี่ซูก็เดินทางไปด้วย เมื่อถึงตอนนั้นข้าเดินทางไปพร้อมกับเขาก็ได้เจ้าค่ะ”
เหวินซินจ้าวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ครั้นเห็นแววตาหญิงสาวเจือไปด้วยการรอคอยและใฝ่ฝัน เซียนหานเยียนก็อดที่จะยิ้มเจื่อนออกมาไม่ได้
ก็จริง เมื่อมีซูอี้อยู่ อีกฝ่ายย่อมสามารถดูแลซินจ้าวได้…
ตั้งแต่ได้เห็นการแสดงของซูอี้ในงานชุมนุมมวลพฤกษากับตา ก็ทำให้เซียนหานเยียนเข้าใจว่า ตัวเองก่อนหน้านี้มองพลาดไป
“ซินจ้าว ข้าไม่ขวางหากเจ้าอยากคบค้าสมาคมกับซูอี้ แต่เจ้าต้องรู้เอาไว้ว่า ครานี้ซูอี้ได้ฉีกหน้าตระกูลหวนเผ่ามารอย่างสมบูรณ์ และในอนาคตจะต้องพบเจอกับการล้างแค้นแน่ หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ก็อาจจะพัวพันมาถึงตัวเจ้าด้วย”
เมื่อคิดครู่หนึ่ง จากนั้นเซียนหานเยียนก็กล่าวกำชับ “มันมีทั้งข้อดีข้อเสีย เจ้าจะต้องคิดให้ดี”
เหวินซินจ้าวคิดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเบา “ท่านอาจารย์ ศิษย์เชื่อว่า หากตระกูลหวนเผ่ามารเป็นศัตรูกับศิษย์พี่ซู ผู้ที่โชคร้ายต้องเป็นตระกูลหวนเผ่ามารแน่นอน!”
เซียนหานเยียนผงะไป ก่อนเอ่ยด้วยท่าทางเหม่อลอย “งั้นรึ…”
…..
ภายในร้านอาหาร ดูคึกคักเสียงดังเจี้ยวจ้าว
“ใครจะคิดว่า ในงานชุมนุมมวลพฤกษาครั้งนี้ ผู้ที่โดดเด่นที่สุดจะเป็นซูอี้ นายท่านซูคนนั้น? เมื่อเทียบกับนายท่านซู ตัวตนร้ายกาจโบราณที่ได้อันดับหนึ่งอย่างเฉิงผู ล้วนถูกบดบังไปเสียสิ้น!”
“ว่ากันว่า นายท่านซูคือผู้ฝึกดาบที่มาจากอาณาจักรเล็ก ๆ อย่างต้าโจว ปีนี้เพิ่งจะมีอายุได้สิบเจ็ดปี แต่พลังของเขา มันพลิกฟ้าเกินไปแล้ว!”
“ยามนี้ ทุกคนต่างยกย่องว่า ในระดับวิถีต้นกำเนิดของโลกฝึกฝนยุคนี้ นายท่านซูอี้คือบุคคลที่น่าเคารพ! เรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งแห่งยุค ในสามขอบเขตใหญ่แห่งวิถีต้นกำเนิดอันยอดเยี่ยม นับว่าไร้เทียมทาน!”
“แค่ระดับวิถีต้นกำเนิดรึ? ผิดแล้ว! ว่ากันว่าด้วยพลังของนายท่านซูอี้ จะสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นต้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร!”
“ทุกท่านเคยได้ยินหรือไม่ว่า การต่อสู้ในทะเลสาบชูอวิ๋นเมื่อหลายวันก่อน แขกชุดเขียวที่สังหารฮั่วเทียนตูผู้อาวุโสใหญ่แห่งวังเทพสวรรค์เมฆา อาจจะเป็นนายท่านซูอี้!”
…บทสนทนาเช่นนี้ ได้ยินไปทั่วทุกที่ในนครหลวงจิ๋วติ่ง
งานชุมนุมมวลพฤกษาได้จบไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
แต่ต่อให้ผ่านไปหนึ่งวัน เรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานชุมนุมมวลพฤกษา ยังคงแพร่สะพัดไปทั่วตรอกซอกซอยในนครหลวงจิ๋วติ่งเช่นเดิม
หากไม่เอ่ยอย่างเยินยอล่ะก็ ทุกสถานที่ที่มีการรวมตัวของผู้ฝึกตนในนครหลวงจิ๋วติ่ง จะต้องมีการเอ่ยถึงชื่อของซูอี้!
ครั้นได้ฟังบทสนทนาเหล่านี้ เก๋อเฉียนที่กำลังนั่งดื่มสุราอยู่คนเดียวมีท่าทางเปลี่ยนไปจนคาดเดาไม่ได้ทันที
“ตาเฒ่า ท่านไม่รู้ว่าในตอนที่ข้าเห็นซูอี้ใช้ดาบตัดจิตดั้งเดิมขอบเขตสยายวิญญาณดวงนั้นไป สิ่งแรกที่ข้าคิดคือ หากท่านได้พบกับเขา เขาจะเอาดาบมาตัดชีวิตท่านหรือไม่นะ”
เก๋อเฉียนถอนหายใจออกมา พลางแอบบ่นพึมพำออกมา
“ไอ้สารเลว เจ้าอยากให้ข้าตายขนาดนั้นเชียวรึ?”
น้ำเสียงของชายชราดังอยู่ในหัวของเก๋อเฉียน พลางด่าขึ้นมายกใหญ่
“ข้าแค่เป็นห่วงท่านก็เท่านั้นเอง”
เก๋อเฉียนดื่มสุราไปหนึ่งถ้วย ก่อนเอ่ยอย่างสับสน “ว่ากันตามจริงแล้ว ข้าก็ยังกังวลว่าจะเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น หากไปพบกับซูอี้”
ตอนที่งานชุมนุมมวลพฤกษาจบไปเมื่อวาน เขาก็ได้เบาะแสมาจากปากของหยวนเหิงว่า ยามนี้ซูอี้พักอยู่ที่สวนน้อยนภาเมฆภายในชุมชนมังกรเขียว
“ไม่ต้องกังวล เมื่อข้ารู้ว่าผู้ที่ถ่ายทอดคัมภีร์เต่าหางมังกรดำแท้จริงที่หยวนเหิงเจ้าเด็กบ้านั่นฝึกอยู่คือซูอี้ ข้ามีลางสังหรณ์ว่า การพบกันครานี้ อาจจะเป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก!”
ชายชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“เหตุใดท่านถึงคิดเช่นนี้รึ?”
เก๋อเฉียนไม่เข้าใจเล็กน้อย
หลายวันก่อน ชายชราผู้นี้ยังดีอกดีใจกับเรื่องนี้อยู่เลย ทว่ายามนี้กลับมีท่าทางแปลกไป ราวกับพบเจอกับอุปสรรคที่ยากที่สุด และเงียบไปนานมาก จนทำให้เขากังวลไม่หยุด
แต่ยามนี้ ดูเหมือนว่า… ชายชราได้เริ่มคาดหวังที่จะไปพบกับซูอี้แล้ว!
“เพราะเหตุใดน่ะรึ?”
ชายชราเอ่ยกับตัวเอง เป็นเวลานานกว่าเขาจะให้คำตอบที่ทำให้เก๋อเฉียนไม่คาดคิดออกมา
“เพราะ… เขาแซ่ซูอย่างไรเล่า!”
[1] ราชาไร้มงกุฎ หรือ 无冕之王 หมายถึงบุคคลที่ไม่มีอำนาจแต่มีอิทธิพลอย่างมาก