บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 537 ถึงติดปีกก็หนีไปไม่รอด
ตอนที่ 537: ถึงติดปีกก็หนีไปไม่รอด
ตอนที่ 537: ถึงติดปีกก็หนีไปไม่รอด
เขาแซ่ซู!
น้ำเสียงของชายชราแฝงไปด้วยความตื่นเต้นกับเคลิบเคลิ้มที่หาได้ยากดังออกมา
ประหนึ่งว่าแซ่นี้มีความหมายที่พิเศษมากสำหรับเขา
เก๋อเฉียนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “นี่มันเหตุผลอะไรกัน ตอนที่อยู่ในทะเลวิญญาณโกลาหล ท่านก็ได้รู้ชื่อของซูอี้แล้วไม่ใช่หรือ?”
“วันนี้กับวันนั้นไม่เหมือนกัน”
ชายชราเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่เข้าใจหรอก…”
เก๋อเฉียนสูดหายใจเข้าลึก พลางเอ่ย “จะบอกว่า ครานี้ต้องไปพบซูอี้ให้ได้ ใช่หรือไม่?”
ชายชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มิอาจฝ่าฝืนได้ “ถูกต้อง”
เก๋อเฉียนถอนหายใจออกมา “เฮ้อ ให้เวลาข้าคลายความกังวลหน่อยได้หรือไม่? เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ พรุ่งนี้ในตอนที่เดินทางไปเกาะเซียนพระสุเมรุ ข้าค่อยหาจังหวะไปพบเขา ท่านว่าอย่างไร?”
ในงานชุมนุมมวลพฤกษาครั้งนี้ เขาอยู่ลำดับที่สามสิบอย่างไม่เป็นอันตรายอะไร และยังได้รับยันต์พระสุเมรุ จึงมีคุณสมบัติในการเดินทางไปเกาะเซียนพระสุเมรุด้วย
ชายชราเดือดจนด่าขึ้นมายกใหญ่ “จะช้าหรือเร็วก็ต้องได้พบกัน เหตุใดต้องถ่วงเวลาด้วย? เจ้าเด็กบ้านี่ขี้ขลาดขนาดนี้เชียวรึ!?”
เก๋อเฉียนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าเพียงแค่ระมัดระวังเป็นพิเศษต่อเรื่องที่ข้าไม่รู้ก็เท่านั้น อีกอย่าง เมื่อพบกันในวันพรุ่งนี้ หากเกิดเรื่องแปลก ๆ ขึ้น ก็ยังมีคนอื่น ๆ อยู่ อย่างน้อยก็ทำให้ซูอี้มีความระมัดระวังในการจะทำอะไร หากพวกเราไปหาถึงที่ในตอนนี้ ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
เห็นได้ชัดว่าชายชรากลุ้มใจเป็นอย่างมาก หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยอย่างหงุดหงิด “พรุ่งนี้ก็ได้! ข้าบอกเจ้าไว้เลยนะ หากพรุ่งนี้เจ้าเปลี่ยนใจอีกล่ะก็ ข้าจะไปพบเขาด้วยตัวเอง!”
คล้ายกับเก๋อเฉียนถอนหายใจออกมาทันใด พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านไม่ต้องห่วง แม้ตัวข้าจะเป็นคนขี้ขลาดและระมัดระวังอยู่บ้าง แต่ไม่เคยเอ่ยแล้วคืนคำแน่นอน”
ขณะเอ่ย เขาดื่มสุราไปหนึ่งถ้วย พลางปล่อยตัวไปตามสบาย
ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงได้มีความรู้สึกหวาดกลัวที่บรรยายไม่ได้ต่อซูอี้มาโดยตลอด ประหนึ่งพบเจอกับเคราะห์ร้าย
หากเป็นไปได้ เขายอมที่จะไม่เจอกับซูอี้ไปตลอดชีวิต
ในยามท้องฟ้ามืดสนิท เก๋อเฉียนก็ออกจากร้านอาหารเล็ก ๆ
ผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนเริ่มบางตา ใบไม้ร่วงโรย แสงไฟใกล้มอดดับ
เก๋อเฉียนเดินอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง พลางหรี่ตาลง และเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “ตาเฒ่า มีคนตามข้ามา”
ชายชรารีบเอ่ยตอบทันควัน “เจ้าเดินอ้อมรอบเมืองดูสักรอบหนึ่ง ลองดูว่าจะสลัดอีกฝ่ายไปได้หรือไม่”
เก๋อเฉียนพยักหน้า
เขาทำเหมือนกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทำเป็นเดินเล่นบนถนนใหญ่ในเมือง โดยเลือกถนนที่มีผู้คนสัญจรไปมาเต็มไปหมด
ย่างก้าวดูเหมือนกับช้า ทว่าทุกครั้งที่ถึงมุมทางเลี้ยวของถนน เขาก็จะเพิ่มความเร็ว พุ่งทะยานไปอย่างเต็มที่ราวกับสายลม
ผ่านไปครึ่งเค่อเต็ม ๆ
สีหน้าเก๋อเฉียนเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย “ชายผู้นั้นตามมาตลอด ข้าเดาว่าอีกฝ่ายอาจจะมีขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ!”
“แปลกจัง เด็กอย่างเจ้ากลัวมีเรื่องมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ที่เข้ามาในนครหลวงจิ๋วติ่ง ก็ไม่เคยล่วงเกินผู้ใด เหตุใดจู่ ๆ ถึงถูกผู้ที่มีขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณคนหนึ่งเล็งเป้าเอาไว้?”
ชายชราสังสัยเล็กน้อย
เก๋อเฉียนเดาความเป็นไปได้อย่างหนึ่งออกมา พลางเอ่ยด้วยสีหน้าที่คาดเดาไม่ได้ “บางที… อาจจะเกี่ยวกับซูอี้ ตาเฒ่าท่านก็รู้ดี ในงานชุมนุมมวลพฤกษา วิชาที่ข้ากับหยวนเหิงแสดงออกมา คือฝ่ามือเสวียนอู่สะท้านโลกาที่มาจากสายเดียวกัน”
“และยามนี้ ใคร ๆ ก็รู้ว่าหยวนเหิงคือคนติดตามของซูอี้ ผนวกกับข้าที่มาจากต้าโจวอีก ในสถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าทุกคนคงสังสัยว่าข้ามีความสัมพันธ์กับซูอี้แบบไหน”
เมื่อเอ่ยจบ เขากลุ้มใจไปครู่หนึ่ง
ทันใดนั้น
เสียงหัวเราะเบาหวิวก็ดังขึ้น “สหายน้อยเก๋อโปรดหยุดก่อน”
ทันทีที่น้ำเสียงดังขึ้น ก็มีร่างผอมสูงมาปรากฏขวางอยู่ด้านหน้า
ใต้ท้องฟ้าอันมืดมิด คนผู้นี้สวมชุดดำแซมแดง มือถือแส้ขนหางจามรี สวมมงกุฎเหล็ก อายุประมาณสามหรือสี่สิบปี รูปร่างสูบผอม
นี่คือถนนสายยาวกว้างขวางเส้นหนึ่ง แล้วยามนี้มืดสนิท ผู้คนก็บางตา
หลังจากที่ชายสวมชุดดำแซมแดงปรากฏตัวออกมา เก๋อเฉียนก็สัมผัสได้อย่างเลือนรางว่า กระแสอากาศรอบ ๆ บริเวณใกล้ ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาด
ประหนึ่งฟ้าดินผืนนี้แยกออกจากถนนสายยาวเส้นนี้
ม่านตาของเก๋อเฉียนหดลง แม้สีหน้าเขาจะยังคงเรียบนิ่ง แต่กลับพร้อมที่จะจู่โจมได้ทุกเมื่อ
“ก็แค่วิชาธรรมดาที่มีชื่อว่า ‘มายาผกผัน’ ก็เท่านั้น สหายน้อยเก๋อมิต้องตื่นตระหนก ที่นักพรตผู้นี้ทำเช่นนี้ เพราะไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้การสนทนาระหว่างเราสองคน”
ชายสวมชุดดำแซมแดงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“งั้นรึ แต่ดูเหมือนข้าจะไม่รู้จักท่าน ในเมื่อไม่รู้ แล้วจะมีสิ่งใดให้ต้องคุยกัน”
เก๋อเฉียนเอ่ยพลางขมวดคิ้ว
“เมื่อก่อนไม่รู้จัก ตอนนี้รู้จักก็ยังไม่สาย”
ชายสวมชุดดำแซมแดงก้มหัวเล็กน้อย และเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “นักพรตผู้นี้นาม เฮ่อฉางอิง มีฉายาว่า ‘ต้นหลิวเหล็ก’ มาจากตระกูลหวนเผ่ามาร”
ตระกูลหวนเผ่ามาร!
เก๋อเฉียนตกใจ และเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ “ข้าคิดว่าผู้แก่กล้าของตระกูลหวนจะเป็นแซ่หวนทั้งหมดเสียอีก ที่แท้ยังมีคนในลัทธิเต๋าด้วย”
เฮ่อฉางอิงที่สวมชุดดำแซมแดงอธิบายอย่างใจเย็น “มีอีกหลายสิ่งที่สหายน้อยไม่รู้ เมื่อสามหมื่นปีก่อน ตระกูลหวนควบคุมทั้งเก้าสำนักใหญ่ และ ‘อารามเทียนสุ่ย’ ที่นักพรตผู้นี้อยู่ก็เป็นหนึ่งในเก้าสำนักใหญ่นั้น”
“น่าเสียดาย หลังจาก ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ ได้ย่างกรายเข้ามา อารามเทียนสุ่ยก็ประสบกับมหาภัยพิบัติ ตอนนั้นนักพรตผู้นี้โชคดีได้รับการคุ้มครองจากตระกูลหวนเผ่ามาร ถึงได้หลบภัยพิบัติที่มาจากพลังจองจำแห่งยุคมืดนั้นได้ และตื่นขึ้นจากการจำศีลเมื่อหลายปีก่อน จากนั้นก็อยู่กับตระกูลหวนเผ่ามารมาโดยตลอดจนถึงยามนี้”
เก๋อเฉียนแปลกใจเล็กน้อย
เขาไม่นึกเลยว่า อีกฝ่ายจะเล่าเรื่องเหล่านี้ออกมา
“เช่นนั้นคืนนี้ท่านมาหาข้าด้วยเรื่องอันใด?”
เก๋อเฉียนถาม
เฮ่อฉางอิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ไม่มีสิ่งใดมาก เพียงแค่อยากเชิญสหายน้อยเดินทางไปตระกลูหวนของข้าเพื่อพูดคุย และทำความเข้าใจเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชูอี้”
เก๋อเฉียนรู้สึกขมขื่น เขาถูกโยงเข้าไปพัวพันกับซูอี้เสียแล้ว!
เก๋อเฉียนสูดหายใจเข้าลึก พลางเอ่ยด้วยท่าทางจริงใจ “ท่านนักพรต หากข้าบอกว่าข้าไม่รู้จักซูอี้เลย ท่าน… จะเชื่อหรือไม่?”
เฮ่อฉางอิงยิ้มและไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา
“ท่านไม่เชื่อสินะ”
เก๋อเฉียนเอ่ยพึมพำ และมีสีหน้ากลุ้มใจ
เฮ่อฉางอิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “สหายน้อยไม่ต้องกังวลสิ่งใด หากเจ้าให้ความร่วมมือ ตระกูลหวนของข้าจะไม่ทำร้ายเจ้าแน่นอน”
“เชื่อก็บ้าแล้ว! ที่ท่านพูดไร้สาระกับข้าก่อนหน้านี้ ก็เพื่อถ่วงเวลาอยู่ไม่ใช่รึ?”
เก๋อเฉียนยิ้มเยาะ
เขาสะบัดแขนเสื้อ
ตูม!
ยันต์ลับสิบกว่าชิ้นปรากฏขึ้น ราวกับสายรุ้งทิพย์หลากสีสันงดงามละลานตา และปลดปล่อยอานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
และร่างของเขาหายวับพุ่งออกไปที่ไกลทันใด
ชั่วพริบตาที่หลบหนีนั้น ไม้บรรทัดเหล็กสีดำหลายด้ามก็ปรากฏอยู่ในมือขวาของเขา ในขณะเดียวกันก็นำไข่มุกวิญญาณกำไว้ในฝ่ามือข้างซ้าย
ไม้บรรทัดเหล็กดำชื่อว่า ‘คีรีเทพ’ เป็นของล้ำค่าโบราณชิ้นหนึ่ง และก็เป็นหนึ่งในศาสตราวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดของเก๋อเฉียน หากไม่เจอเหตุการณ์ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะไม่ใช้มันง่าย ๆ
ไข่มุกวิญญาณมีชื่อว่า ‘ไข่มุกต้องห้าม’ คือของล้ำค่าหายากที่ทำลายสิ่งต้องห้ามโดยเฉพาะ ซึ่งหายากและล้ำค่าอย่างมาก
และในหลายปีที่ผ่านมา ไข่มุกวิญญาณนี้ก็ช่วยคลี่คลายอันตรายให้กับเก๋อเฉียนมาหลายครั้งในตอนที่เขาอยู่ในสถานที่อันตราย
แต่เก๋อเฉียนก็ไม่ประมาท
เขากัดฟัน และนำเครื่องรางสีเทาห้อยไว้บนลำคอ
นี่คือ ‘ยันต์ขุมทรัพย์ขับปีศาจร้าย’ สามารถต้านการโจมตีเต็มกำลังของคนที่มีขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้
เมื่อทำเรื่องเหล่านี้เสร็จแล้ว เก๋อเฉียนก็ค่อย ๆ รู้สึกสงบลงไม่น้อย
“เปิด!”
ไข่มุกต้องห้ามในมือเขาปลดปล่อยแสงเจิดจ้าสีใสออกมา
ฟ้าดินสนั่นสั่นไหวทันใด ราวกับชั้นพลังต้องห้ามที่มองไม่เห็นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นก็แตกเป็นรอยแยกออกมา
เก๋อเฉียนรู้สึกดีใจ และพุ่งออกไปอย่างไม่ลังเล
ไม่ไกลนัก เฮ่อฉางอิงฟาดแส้ขนหางจามรีในมือออกไปเบา ๆ
ยันต์ลับมากกว่าสิบอันที่เก๋อเฉียนปลดปล่อยออกมาก่อนหน้า ถูกกวาดออกไปหมด
ทว่าแม้ผู้แก่กล้าขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณผู้นี้จะเห็นเก๋อเฉียนหลบหนีออกมาจากค่ายกลต้องห้ามที่กลั่นมาจากวิชาลับ ‘มายาผกผัน’ แต่เขากลับไม่ได้ไล่ตามไป
แต่ในแววตาเขากลับเผยความสนุกและเหยียดหยามออกมา
ปั้ง!!!
เสียงระเบิดดังสนั่นสั่นไหว
ร่างของเก๋อเฉียนซวนเซออกไปหลายจั้ง เลือดลมปราณทั่วร่างปั่นป่วน ไม้บรรทัดคีรีเทพที่อยู่ในมือสั่นไหวไม่หยุด
ไม่ไกลนัก ชายสูงใหญ่สวมชุดสีแดงคนหนึ่งปรากฏตัวออกมา ท่าทางน่าเกรงขาม นัยน์ตาดุจกระดิ่งทองแดง ยามที่กวาดมองไปรอบ ๆ ก็มีสายฟ้าทะมึนทึบพรั่งพรูออกมา ช่างน่าหวาดกลัวยิ่ง
ด้านหน้าเขา มีดาบบินหิมะขาวดุจโลหะเคลื่อนไหวไปมา แสงอันเยือกเย็นส่องประกายเจิดจ้า
ก่อนหน้านี้ ตอนที่เก๋อเฉียนเพิ่งทะลวงพลังต้องห้ามและพุ่งออกไป ก็ถูกดาบบินหิมะขาวเล่มนั้นฟาดลงมา สุดท้ายแม้จะต้านทานการโจมตีนี้ไว้ได้ ทว่ากลับถูกกระแทกจนเขาแทบกระอักเลือดออกมา
ชายสูงใหญ่สวมชุดสีแดงผู้นี้ คือผู้ที่มีขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอีกคนหนึ่ง!
“สามารถต้านดาบบินของศิษย์พี่ชุยเหิงได้ สมแล้วที่สหายน้อยเก๋อเป็นอัจฉริยะที่สามารถก้าวขึ้นเป็นลำดับสามสิบของงานชุมนุมมวลพฤกษาได้”
เฮ่อฉางอิงค่อย ๆ ก้าวเดินมาจากที่ไกล ๆ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความทอดถอนใจ
เขากับชุยเหิงชายที่สวมชุดแดง คนหนึ่งอยู่ด้านหน้า อีกคนอยู่ด้านหลัง กลายเป็นการโจมตีแบบโอบล้อมศัตรู เสี้ยวอึดใจเดียวก็ทำให้เก๋อเฉียนตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เก๋อเฉียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจื่อน “แค่จัดการกับคนตัวเล็กเช่นข้า ไม่นึกเลยว่าจะทำให้ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณถึงสองคนร่วมมือกัน ช่างให้เกียรติข้าจริง ๆ…”
เขาสัมผัสได้อย่างเลือนราง ถนนสายยาวใกล้ ๆ นี้ยังติดตั้งค่ายกลต้องห้ามไว้อีกชั้นหนึ่ง!
นี่ก็หมายความว่า แม้จะเกิดการเคลื่อนไหวมากเท่าใด หากไม่อาจทำลายค่ายกลต้องห้ามนั้น ก็ไม่อาจดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ ได้
การกระทำของเฮ่อฉางอิงกับชุยเหิงในคืนนี้ มีการเตรียมตัวและวางแผนไว้ก่อนแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย!
นี่จึงทำให้เก๋อเฉียนรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
“ตาเฒ่า ดูเหมือนว่าครานี้ต่อให้พวกเราพยายามอย่างสุดกำลัง คงยากที่จะหลบเลี่ยงกับหายนะนี้ได้…”
เก๋อเฉียนพึมพำในใจ
“ไม่ต้องกังวล ข้าจะสละชีวิต และจะให้เจ้ามีชีวิตรอดออกไปให้ได้!”
ชายชราเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว
ไม่ไกลนัก เฮ่อฉางอิงเดินไล่บี้เข้ามาเรื่อย ๆ และกล่าวว่า “สหายน้อยเก๋อ ผู้รู้สถานการณ์ คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ สถานการณ์ในยามนี้ ต่อให้เจ้าพยายามอย่างสุดกำลัง ก็ไม่อาจต้านลิขิตสวรรค์ สู้ไปกับพวกเราดี ๆ จะได้ลดความทุกข์ทรมานลง”
เก๋อเฉียนสูดหายใจเข้าลึก พลางแสยะยิ้มออกมา “งั้นรึ แต่น่าเสียดาย นายน้อยอย่างข้าไม่เชื่อมาตั้งแต่แรกแล้ว!”
ตูม!
แขนเสื้อเขาสั่นไหว ยันต์ลึกลับกับของอาคมนับไม่ถ้วนคำรามและปรากฏออกมา พุ่งไปปกคลุมอยู่เหนือหัวเฮ่อฉางอิงกับชุยเหิง
ด้านหน้ามีพยัคฆ์ด้านหลังมีหมาป่า แต่โชคดีที่ด้านซ้ายขวามีที่วกวนไปมา!
ร่างของเก๋อเฉียนหายวับ และไม่ลังเลที่จะพุ่งออกไปอีกด้านหนึ่งทันที
“เปิด!”
เขาสะบัดไข่มุกต้องห้ามในมือออกไป และพยายามทำลายค่ายกล
แต่ทว่า เวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีชายชราตัวเล็กร่างผอมแห้งปรากฏตัวออกมา พลางยื่นมือออกไปคว้าไข่มุกต้องห้ามเอาไว้ในฝ่ามือแน่น
ชายชราตัวเล็กร่างผอมแห้งเอ่ยอย่างชื่นชม “ไข่มุกต้องห้ามคือของล้ำค่ามาก แต่สหายน้อยกลับทิ้งมัน ช่างเป็นคนที่ทำลายสิ่งของตามอำเภอใจเสียจริง เช่นนั้น… ชายแก่ผู้นี้ขอเก็บของล้ำค่านี้เอาไว้แล้วกัน”
ขณะเอ่ย เขานำไข่มุกต้องห้ามเก็บเอาไว้ในแขนเสื้อ พลางหัวเราะเสียงดังพร้อมกับมองไปทางเก๋อเฉียน
ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอีกแล้ว!
ร่างกายของเก๋อเฉียนแข็งทื่อ ริมฝีปากแห้งผาก ตัวเขาเองเปลี่ยนเป็นสำคัญขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อใดกัน เหตุใดถึงได้มีขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณสามคนร่วมมือกันปิดล้อมเขาเอาไว้?
ไม่ไกลนัก เฮ่อฉางอิงกับชุยเหิงได้ทำลายของอาคมกับยันต์ลับที่เก๋อเฉียนอัญเชิญออกมาก่อนหน้านี้ไปหมดแล้ว และเวลานี้ สายตาของทั้งสอง ก็มองมาที่เก๋อเฉียนเป็นตาเดียว
เก๋อเฉียนในเวลานี้ เป็นเหมือนกับสัตว์ที่ถูกกักขัง ถึงติดปีกบินหนีก็หนีไปไม่รอด!