บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 538 บทเหนี่ยวนำเสวียนจวิน
ตอนที่ 538: บทเหนี่ยวนำเสวียนจวิน
ตอนที่ 538: บทเหนี่ยวนำเสวียนจวิน
“ข้าขอแนะนำ ท่านนี้คือสหายเต๋าลี่ ลี่หานมู่ ส่วนผู้นี้คือสหายเต๋าชุยเหิง มาจากตระกูลหวนเผ่ามารเช่นเดียวกับนักพรตท่านนี้”
เฮ่อฉางอิงที่ถือแส้ขนจามรีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สหายน้อย… ยังอยากจะลองอีกหรือไม่?”
ลี่หานมู่ ชายชราร่างซูบผอมเอามือไพล่หลังยืนอยู่ตรงนั้น พลางแสร้งทำเป็นยิ้ม
ชุยเหิงควบคุมดาบบินหิมะขาวที่หมุนไปมาอยู่บนฝ่ามือ ไอสังหารมากมายท่วมท้นออกมา
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ เก๋อเฉียนก็สูดหายใจเข้าลึก และเอ่ยด้วยแววตาเรียบนิ่ง “เช่นนั้นก็ขอลองดูอีกครั้งก็แล้วกัน”
ตูม!
เขากระตุ้นไม้บรรทัดคีรีเทพ พลางพุ่งไปทางลี่หานมู่ที่อยู่ไม่ไกล
หากอยู่ภายใต้สถานการณ์หนึ่งต่อหนึ่ง เก๋อเฉียนคิดกับตัวเองว่า ไพ่ไม้ตายที่เขามี มากพอที่จะสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณที่อยู่ที่นี่ได้สักคนหนึ่ง
แต่สถานการณ์ในยามนี้ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้แล้ว
หากเขาอยากมีชีวิตรอด โอกาสเดียวที่มีคือสังหารคนหนึ่งอย่างเต็มกำลัง ด้วยวิธีนี้บางทีเขาอาจจะมีชีวิตรอดออกไปก็ได้
ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่เก๋อเฉียนลงมือ ก็ต้องพยายามอย่างสุดกำลัง!
เสื้อคลุมสีส้มอมเหลืองของเขาปลิวไสว ร่างที่ผอมแห้งปลดปล่อยแสงสีดำดั่งน้ำหมึกออกมา ท่ามกลางความเลือนราง คล้ายกับมีเสียงคำรามของเต๋าหางมังกรดำดังออกมาจากภายในร่าง
ความสามารถของระดับขอบเขตรวบรวมดาราขั้นต้นในร่างนั้น ถูกเขาปลดปล่อยออกมาจนหมดไม่หลงเหลือเอาไว้เลย
พรึ่บ!
เมื่อตวัดไม้บรรทัดคีรีเทพออกไป ก็เกิดแสงหนาแน่นมหาศาลขึ้นมา
แววตาของลี่หานมู่เผยความเหยียดหยาม พลางยื่นมือตบออกไปทันใด
ตู้ม!!
ท่ามกลางเสียงระเบิด ไม้บรรทัดคีรีเทพสั่นกระเด็นออกไป
“แสงไข่มุกดุจเมล็ดข้าว จะสู้แสงเจิดจ้าของสุริยันจันทราได้อย่างไร?”
ลี่หานมู่ยิ้มเยาะพลางส่ายหน้า
ไม่ไกลนัก เฮ่อฉางอิงกับชุยเหิงไม่ขยับเขยื้อใด ๆ เพียงมองดูภาพนี้อย่างสงบนิ่ง
ประหนึ่งแมวที่เล่นกับหนู เพลิดเพลินกับการหยอกเย้า ทั้งที่สามารถบดขยี้หนูตัวจ้อยตั้งแต่คราแรก
และในยามนี้แมวสามตัวก็กำลังเล่นกับหนู่ตัวเล็ก ๆ เพียงตัวเดียวเสียด้วย!
“อย่างนั้นรึ?”
เก๋อเฉียนแสยะยิ้ม พลางกระตุ้นไม้บรรทัดคีรีเทพและฟาดออกไปอย่างรุนแรงอีกครั้ง
“ช่างไม่เจียมตัวเสียจริง”
ลี่หานมู่ถอนหายใจออกมา ยกมือขึ้นและคว้าออกไป
ไม้บรรทัดคีรีเทพที่ฟาดออกมาถูกจับเอาไว้แน่น ก่อนที่จะเอ่ยลากเสียงยาวออกมา “แค่… นี้เองรึ?”
ตูม!
ครู่ต่อมา เก๋อเฉียนก็พลันระเบิดพลังอันน่าสะพรึงกลัวมหาศาลออกมา ไม้บรรทัดคีรีเทพเปล่งแสงเจิดจ้า ก่อนตามมาด้วยเสียงคำรามห้าวหาญดังขึ้น
ตู้ม!!
ข้อมือของลี่หานมู่เจ็บปวดอย่างรุนแรง นิ้วมือคลายออกราวกับสัมผัสกับไฟฟ้า และตัวเขาก็ถูกกระแทกถอยร่นออกไปจนเกือบล้มลงบนพื้น
สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันใด
เหนือศีรษะของเก๋อเฉียน ปรากฏร่างเงามายาหนึ่งออกมา ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยหมอกควัน ลมปราณน่าสะพรึงกลัวมาก
ไม่ไกลนัก เฮ่อฉางอิงกับชุยเหิงต่างมองอย่างไม่ละสายตา
ในตอนที่จะมาจัดการกับเก๋อเฉียน พวกเขาก็คาดเดาว่า ในตัวชายหนุ่มอัจฉริยะเช่นเก๋อเฉียนจะต้องมีไพ่ไม้ตายไว้รักษาชีวิตมากมายแน่
แต่กลับไม่นึกเลยว่า ในตัวเก๋อเฉียนจะยังซ่อนจิตวิญญาณอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ไว้!
ไม่ให้โอกาสพวกเขาได้ตอบสนองใด ๆ เลย เก๋อเฉียนกับร่างเงานั้นได้โจมตีไปทางลี่หานมู่ทันที
ลี่หานมู่ส่งเสียงคำราม พลางอัญเชิญฝ่ามือประทับเต๋าสีครามออกมาต้านทานเอาไว้
ตูม!
เกิดเสียงดังสนั่นแสบแก้วหูขึ้น
ลี่หานมู่ถูกกระแทกถอยหลัง มุมปากมีเลือดไหลลงมา ฝ่ามือประทับเต๋าสีครามเองก็โงนเงนไปมา
เก๋อเฉียนกับร่างเงาฉวยโอกาสในตอนนี้เองพุ่งทะยานออกไปทันที
“ข้าจะทำลายค่ายกลนี้เอง เจ้าถือโอกาสนี้รีบหนีออกไปเร็ว!”
ร่างเงาตระโกนออกไป สองมือประสานกันออกท่า
ในอากาศ แสงดำแดงเปล่งออกมา ก่อนจะกลายเป็นสัตว์ขนาดมหึมาตัวหนึ่ง มีหัวเป็นเต่า มีหางเป็นงู แขนขาทั้งสี่ดุจเสาสูงเสียดฟ้า ลำตัวราวกับคีรีสูงตระหง่าน
ฝ่ามือเสวียนอู่สะท้านโลกากระบวนท่าที่หนึ่ง… ฝ่ามือพลิกภูผา!
เมื่อมองจากที่ไกล ประหนึ่งวิญญาณสัตว์เทพเต่าหางมังกรดำที่อยู่กลางอากาศ กำลังพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ปั่นป่วนก่อกวนไปทั่ว
“ไป!”
ไม่ไกลนัก นัยน์ตาเฮ่อฉางอิงฉายประกายวาวโรจน์ เขายกมือเปิดกระจกสัมฤทธิ์วิเศษออกมา
เมื่อกระจกวิเศษกลมใสปรากฏขึ้นในอากาศ ม่านตาแดงฉานพลันปรากฏอยู่บนกระจกวิเศษที่ใสแวววาวนั้น ประหนึ่งปีศาจร้ายในนรกภูมิจ้องมองอยู่ ทั้งเยือกเย็น เย็นชา และไร้ความรู้สึก
ฟึบ!
แสงโลหิตแปลกประหลาดพุ่งออกมาจากม่านตาแดงฉาน โจมตีไปที่ร่างเงานั้นด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
ร่างเงาสั่นไหวทันใด พลางแผดเสียงร้องเจ็บปวดออกมา ทำให้ฝ่ามือพลิกสวรรค์ที่เขาแสดงออกมาในคราแรก ไม่ทันได้แสดงอานุภาพก็ค่อย ๆ สลายหายไป
“ตาเฒ่า!”
เก๋อเฉียนตกใจ และใจสั่นขึ้นมา
ร่างเงาของตาเฒ่าที่อยู่ในสายตาเขา ในเวลานี้มีรอยร้าวบาง ๆ เผยออกมา ไม่แปลกใจเลย การโจมตีเมื่อครู่นั้นน่าสะพรึงกลัวมาก จนถึงขั้นทำให้ตาเฒ่าได้รับบาดเจ็บสาหัส!
ไม่ไกลนัก เฮ่อฉางอิงเก็บกระจกสัมฤทธิ์วิเศษ พลางเอ่ยด้วยท่าทางผ่อนคลาย “สหายน้อยเก๋อ คนหนุนหลังเจ้าดูเหมือนจะใช้ได้เลยนะ”
ชุยเหิงกับลี่หานมู่ยิ้มเยาะขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ได้
สีหน้าเก๋อเฉียนเปลี่ยนไปจนคาดเดาไม่ได้
“ก็แค่แสงโลหิตกัดวิญญาณเท่านั้น เมื่อข้าผู้นี้อยู่ในจุดสูงสุด พลังเช่นนี้ไม่มากพอที่จะทำให้ข้าผู้นี้ระคายเคืองหรอก ทว่ายามนี้ ตัวข้าผู้นี้เหมือนพยัคฆ์ลงสู่ที่ราบ กลับถูกเหยียดหยามโดยไอ้มดแมลงกลุ่มหนึ่ง…”
ร่างเงานั้นถอนหายใจยาว
“มดแมลง?”
เฮ่อฉางอิงและคนอื่น ๆ หัวเราะเยาะออกมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่ไหว ไอ้ขยะที่เป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงผู้นี้ ช่างโอ้อวดเสียจริง!
“ตาเฒ่า มาถึงขนาดนี้แล้ว พวกเราอย่าคุยโวโอ้อวดอยู่เลย อย่างมากก็แค่ตายเท่านั้น ข้าเก๋อเฉียนหาใช่คนที่รักตัวกลัวตายไม่”
เก๋อเฉียนสูดหายใจเข้าลึก และแสยะยิ้มขึ้น “ก็เหมือนกับที่ท่านบ่นอยู่เสมอ เรื่องของการฝึกฝน ในยามที่หลบหนีจากความเป็นความตายไม่ได้จริง ๆ ก็แค่จัดการให้มันเสร็จ ๆ ไป!”
ร่างเงาเอ่ยเสียงเบา “ข้าก็ไม่กลัวตายเช่นกัน เพียงแต่หากไม่อาจไขความสงสัยที่อยู่ภายในใจและตายไปก่อน ข้าก็ยอมไม่ได้จริง ๆ… ”
พลันร่างเงานั้นเงยหน้าขึ้น และส่งเสียงฮึมฮัมเสียงต่ำออกมา ราวกับอ่านคัมภีร์บางอย่าง น้ำเสียงเขาทุ้มลึก สั่นกระเพื่อมไปทั่วฟ้าดิน
ไม่ไกลนัก เฮ่อฉางอิงและคนอื่น ๆ ต่างขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจเล็กน้อย
เสียงฮึมฮัมเช่นนี้ ไม่มีกลิ่นอายน่ากลัวอันใดเลย จนทำให้พวกเขาอดแปลกใจไม่ได้ว่าร่างเงาผู้นี้ต้องการจะทำสิ่งใดกันแน่
ในเวลาเดียวกัน
ณ สวนน้อยนภาเมฆ
ซูอี้ที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ในห้อง ลืมตาขึ้นทันที สีหน้าเขาเผยความลังเลออกมา
“นี่มันบทเหนี่ยวนำเสวียนจวิน…”
เมื่อชาติก่อน ซูอี้ที่มีฐานะเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน เคยสร้างเคล็ดวิชาลับหนึ่งขึ้นมาและถ่ายทอดให้กับศิษย์ทั้งเก้าของสำนัก ไว้ใช้ในยามไปท่องโลกกว้าง สำหรับยามเจอกับเรื่องยากรับมือ แค่ใช้พลังจิตวิญญาณขับเคลื่อนเคล็ดวิชานี้ เขาก็จะรู้ทันที และจะเร่งเดินทางไปช่วยเหลือ
เคล็ดวิชาลับนี้คือ ‘บทเหนี่ยวนำเสวียนจวิน’ เป็นชื่อที่ซูอี้ตั้งเมื่อชาติก่อน!
เพียงแต่ ซูอี้กลับไม่นึกเลยว่า จะได้สัมผัสพลังของเคล็ดวิชาลับนี้อีกครั้งที่นครหลวงจิ๋วติ่งในค่ำคืนนี้
สภาพจิตใจของเขา ราวกับผิวน้ำอันสงบนิ่งที่สาดกระทบเข้ากับก้อนหินขนาดใหญ่ ก่อเกิดคลื่นที่สูงหมื่นจั้ง
“จะเป็นเจ้าเต่าน้อยนั้นหรือไม่หนอ…”
ท่ามกลางเสียงไพเราะดังอยู่ ซูอี้พลันลุกขึ้น และออกไปจากสวนน้อยนภาเมฆ
…..
“พวกเจ้าไปขวางเขาเอาไว้ ข้าจะไปจับเจ้าเด็กนั่น!”
เฮ่อฉางอิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
แม้จะไม่เข้าใจว่าร่างเงานั้นกำลังพึมพำสิ่งใดอยู่ แต่ยิ่งนานก็อาจเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้น เฮ่อฉางอิงจึงตัดสินใจที่จะลงมือ
“ได้”
ลี่หานมู่กับชุยเหิงตอบรับ และเคลื่อนไหวทันที
ด้านหน้ากระตุ้นฝ่ามือขนาดใหญ่สีคราม ด้านหลังอัญเชิญดาบบินหิมะขาวออกมา พลางพุ่งไปสังหารร่างเงานั้นพร้อมกัน
ตูม!
การต่อสู้ครั้งใหญ่ได้ระเบิดขึ้น
ด้วยการต่อสู้แบบหนึ่งต่อสอง แม้ร่างเงาจะพยายามต่อสู้อย่างสุดกำลัง แต่เขากลับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทั้งสองคนที่มีขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ
เขาจึงได้รับบาดเจ็บสาหัส เดิมทีก็อ่อนแอมากอยู่แล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงเก๋อเฉียน แม้แต่ตัวเขาเองก็มีโอกาสตายได้ทุกเมื่อ
และในขณะเดียวกันนั้น เฮ่อฉางอิงได้พุ่งไปทางเก๋อเฉียนแล้ว
เก๋อเฉียนไม่นั่งรอความตายแน่นอน เขากระตุ้นไม้บรรทัดคีรีเทพ และขับเคลื่อนความสามารถทั้งหมดไปจนถึงขีดสุด
“สหายน้อย ข้าจะไม่ทำบุ่มบ่ามกับอัจฉริยะเช่นเจ้าแน่นอน”
เฮ่อฉางอิงยิ้มเล็กน้อย พลันในมือปรากฏเชือกเส้นใหญ่สีทองอร่าม และถูกสะบัดออกไป เสี้ยวอึดใจเดียวก็กลายเป็นตาข่ายสีทองขนาดใหญ่ แผ่ปกคลุมลงมา
ม่านตาเก๋อเฉียนหดลง แสงศักดิ์สิทธิ์ของไม้บรรทัดคีรีเทพเปล่งออกจ้า พลางตวัดออกไปอย่างรุนแรง
แต่ไม่นึกเลยว่า นอกจากไม้บรรทัดคีรีเทพจะทำอะไรตาข่ายสีทองไม่ได้แล้ว ยังถูกตาข่ายใหญ่สีทองนั้นมัดเอาไว้แน่น ราวกับแมลงที่ติดหนึบอยู่บนใยแมงมุม
แย่แล้ว!
สีหน้าเก๋อเฉียนเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาสละไม้บรรทัดคีรีเทพและถอยตัวออกไปทันใด
“สหายน้อย ภายใต้ ‘แพรตรึงวิญญาณ’ ผู้ที่มีระดับการฝึกฝนต่ำกว่าขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณลงไป หลบหนีไปไหนไม่พ้นหรอก”
แววตาของเฮ่อฉางอิงเจือไปด้วยความสนุกสนาน
ภายใต้การควบคุมของเขา ตาข่ายใหญ่สีทองที่แปรสภาพมาจากแพรตรึงวิญญาณพลันขยายขนาดไปหนึ่งร้อยจั้งปิดล้อมทางหลบหนีของเก๋อเฉียนทั่วสารทิศ และปกคลุมลงมา
ดวงตาเก๋อเฉียนเข้มขึ้นอย่างน่ากลัว พลังทั้งหมดของเขาสั่นไหว แต่กลับไร้ประโยชน์
แค่พริบตาเดียวเท่านั้น ร่างเขาก็ถูกมัดเอาไว้ มิอาจขยับตัวไปไหนได้อีก
“สหายน้อย หากต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งด้วยการใช้แค่พลัง ใช่ว่านักพรตผู้นี้จะเอาชีวิตอัจฉริยะเช่นเจ้าไปได้ เพียงแต่ เมื่อมีแพรตรึงวิญญาณ หนึ่งในเก้าสมบัติของตระกูลหวนเผ่ามาร การจับเจ้าก็ง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ”
เฮ่อฉางอิงยิ้มพลางก้าวเดินไปข้างหน้า พร้อมกับดีดนิ้ว
ตุบ!
พลันตรงหน้าเก๋อเฉียนดำมืด และล้มหมดสติไปทันที
“ล่วงเกินสหายน้อยแล้ว เจ้าสำคัญกับตระกูลหวนเผ่ามารมาก ข้ากังวลว่าเจ้าจะคิดมากเรื่องจัดการข้า จึงต้องทำให้เจ้าหมดสติไปก่อน”
ขณะที่เฮ่อฉางอิงเอ่ย เขาก็พยุงเก๋อเฉียนขึ้น
จากนั้นสายตาก็มองออกไปยังที่ที่อยู่ไม่ไกลนัก
ภายใต้การโจมตีประสานของชุยเหิงกับลี่หานมู่ ร่างเงานั้นก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสและอ่อนกำลังลง คล้ายกับกลุ่มหมอกหนาทึบที่ใกล้จะสลาย และอาจจะดับสูญไปได้ทุกเมื่อ
“ทั้งสองท่าน พลังของค่ายกลอำพรางฟ้าซ่อนตะวันใกล้สลายหายไปหมดแล้ว ขอทั้งสองรีบสู้ให้จบโดยเร็ว”
เฮ่อฉางอิงเอ่ยเตือน
ค่ายกลอำพรางฟ้าซ่อนตะวันที่พวกเขาติดตั้งเอาไว้ใกล้ ๆ อยู่ได้เพียงแค่หนึ่งถ้วยชาเท่านั้น จุดประสงค์คือไม่ได้ใช้เพื่อกักขังเก๋อเฉียนกับร่างเงาเอาไว้ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะไปกระตุ้นค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนที่ปกคลุมอยู่ภายในนครหลวงจิ๋วติ่ง
“อืม ข้าจะส่งเขาไปอีกภพหนึ่งเดี๋ยวนี้เลย”
ลี่หานมู่แสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา พลางเคลื่อนไหวทันใด อานุภาพทั่วร่างระเบิดออก กระตุ้นฝ่ามือขนาดใหญ่สีคราม และพุ่งเข้าไปฟาดร่างเงาอย่างรุนแรง
ตูม!!
ร่างเงากระเด็นลอยออกไป
ร่างของเขามีร่อยรอยปริแตกเลือนรางเล็กน้อย
เวลานี้ ร่างเงามองเก๋อเฉียนที่ถูกเฮ่อฉางอิงจับเอาไว้ สีหน้าเผยความผิดหวังและอ้างว้างออกมาอย่างช่วยไม่ได้ และเอ่ยพึมพำ
“หรือว่า… ข้าจะคิดผิดไป ซูอี้ผู้นั้นไม่ใช่…”
“ตายซะ!”
ชุยเหิงกระตุ้นดาบบินหิมะขาว พลางตวัดออกมา
อานุภาพของปราณดาบ ทำให้ร่างเงาถอนหายใจยาวออกมาอย่างทนไม่ไหว คล้ายกับผิดหวัง
ทันใดนั้น
ฟ้าดินที่ถูกปกคลุมด้วยค่ายกลขนาดใหญ่สั่นไหวทันใด และเกิดเสียงระเบิดขึ้น
ตู้ม!!!
จากนั้น เสียงปะทะที่เหมือนกับเสียงเจาะหินให้แตกพลันดังสนั่น
ดาบบินหิมะขาวที่ตวัดไปทางร่างเงา ถูกคมดาบหนึ่งฟาดใส่อย่างรุนแรงจนกระเด็นลอยออกไป
เสียงคำรามดังสนั่นไปทั่ว
ทุกสรรพสิ่งหนีตาย ทำให้ร่างเงานิ่งไป และสิ่งที่เขาเห็นคือ มีร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งมายืนอยู่ข้างตนตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ ร่างนั้นสวมชุดสีเขียวดุจหยก ให้ความรู้สึกที่ไม่ธรรมดา
“ท่าน… ท่านคือ…”
ร่างเงาเบิกตากว้างทันใด ราวกับไม่อยากจะเชื่อ
เมื่อมองเขา ซูอี้ก็รู้สึกวูบไหว ยากที่จะควบคุม และเอ่ยเสียงเบาออกมา “ชือเอ๋อร์”