บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 54 เคล็ดวิชาซูอี้ หัตถ์คว้านกกระจอก
ตอนที่ 54 เคล็ดวิชาซูอี้ หัตถ์คว้านกกระจอก
โม่เทียนหลิงอดประหลาดใจไม่ได้
คำพูดนี้ของซูอี้ มันบ้าบิ่นกว่าที่เขากล่าวต่อเหวินเจวี๋ยหยวนเมื่อไม่นานมานี้เสียอีก!
ขณะนี้เอง เขาเผยเสียงหัวเราะดัง “ข้าอยู่ในกองกำลังเกล็ดแดงมาก็นับปี สังหารศัตรูนับไม่ถ้วน พบเห็นคนบ้ามาไม่ใช่น้อย กระนั้นหาได้มีผู้ใดบ้าบิ่นเหมือนดังเจ้าผู้นามว่าซูอี้แม้สักคน!”
“ข้าคิดอยากรับชมนัก เจ้าจะคู่ควรกับดาบข้าหรือไม่!”
เสียงหัวเราะนี้ประหนึ่งฟ้าคำรามเลือนลั่น
โม่เทียนหลิงลงมือโจมตีรุนแรง กระดูกในกายเลื่อนลั่นส่งเสียงประหนึ่งเม็ดถั่วที่แตกออก ระหว่างชั่วลมหายใจ เลือดในกายเขาสูบฉีด ประหนึ่งเป็นคลื่นน้ำ
ตึง!
เพียงย่ำเท้าลงกับพื้น ลานประลองที่สร้างจากเหล็กเกิดสั่นไหวรุนแรง
ร่างนั้นเปรียบดังสายฟ้าเส้นหนึ่งที่พุ่งทะยานออก!
ขณะอยู่กลางอากาศ มือขวาที่ว่างเปล่า เปลี่ยนเป็นกำหมัดแน่น พร้อมกระแทกเข้าใส่ซูอี้อย่างเต็มแรง
พลังอันยิ่งใหญ่ สะกดข่มรุนแรง!
“งดงามนัก หมัดที่เป็นดังสายฟ้า! นี่คงจะเป็น ‘หมัดอัสนีอสูรร่ำไห้’ ระดับจุดสมบูรณ์ไม่ผิดแน่!”
นัยน์ตาฟู่ซานหรี่ลง ถ้อยคำกล่าวออก
มันเป็นวิชาลับที่โด่งดังของจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวง เชินจิ่วซง ทราบกันดีว่าวิชาหมัดนี้รวดเร็วเปรียบดังสายฟ้า มีพลังมหาศาลยากคาดเดาจนแม้แต่เหล่าอสูรยังต้องร่ำไห้ด้วยความกลัวเกรง!
และการที่สำเร็จวิชานี้ถึง ‘จุดสมบูรณ์’ นี้ได้ ก็ช่างเป็นอะไรที่น่าหวั่นเกรง!
ในสำนักดาบชิงเหอนั้น ต่อให้เป็นศิษย์สายในก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ฝึกปรือเคล็ดวิชาสังหารของตัวเองได้จนถึง ‘ระดับจุดสมบูรณ์’ ได้ ซึ่งหนีเฮ่าก็เป็นคนหนึ่งที่สามารถฝึกฝนมาจนถึงระดับดังกล่าว
“หมัดอัสนีอสูรร่ำไห้ของจวิ้นอ๋องอวิ๋นก่วง!”
“ครั้งนี้เกรงว่าซูอี้คงแหลกเละเป็นชิ้นเนื้อแน่แล้ว”
เสียงอึกทึกดังทั่วเวทีประลอง ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายเกิดสะท้าน สีหน้าถึงกับแปรเปลี่ยน
“ท่านเขย…” ใจหูเฉวียนเกิดดิ่งฮวบ
ผู้อื่นต่างกระวนกระวาย พลังของโม่เทียนหลิงชวนสะพรึงจนเกินไป ความพ่ายแพ้อันเด็ดขาดของเหวินเจวี๋ยหยวนก่อนหน้านี้คือบทเรียน!
แต่แล้ว เมื่อผู้คนหันกลับไปมองซูอี้ พวกเขาต่างตกตะลึงยิ่งกว่าเพราะซูอี้นั้นกลับยังคงยืนนิ่งเฉยแม้ในยามที่โม่เทียนหลิงพุ่งเข้าหา!
และเมื่อโม่เทียนหลิงเข้ามาได้ระยะ ที่ซูอี้กระทำก็เพียงยกแขนขวาขึ้น
ห้านิ้วอ้าออกเป็นฝ่ามือประดุจกำแพงสวรรค์!
หนึ่งฝ่ามือนี้ ราวกับสามารถทานทนได้แม้แต่พญามาร!
ท่าทีเฉยชาของเขา ขณะนี้แปรเปลี่ยนไปโดยเงียบงัน
ปัง!!!
เสียงดังเลือนลั่นปรากฏบนสังเวียน
ผู้คนได้เห็นภาพอันชวนตื่นตะลึงตรงหน้า ร่างโม่เทียนหลิงเป็นประหนึ่งลูกธนูพุ่งถอย หลายสิบก้าวผ่านพ้น กว่าจะยืนหยัดร่างกายให้มั่นคงได้
“ก็ว่าเหตุใดจึงกล้าขึ้นเวทีประลอง แท้จริงแล้วการบ่มเพาะของเจ้าฟื้นคืนแล้วนี่เอง!”
ดวงตาโม่เทียนหลิงสั่นไหว นอกจากประหลาดใจ เขายังได้ตระหนักทราบ
ชั่วเวลานี้เอง เกิดเป็นความโกลาหล ฝูงชนต่างส่งเสียงดัง
ซูอี้!
บุตรเขยผู้เป็นที่รู้จักกันดีในเมืองกว่างหลิง ศิษย์ผู้สูญเสียการบ่มเพาะและถูกขับไล่ออกจากสำนักดาบชิงเหอ ยามนี้ฟื้นคืนการบ่มเพาะหาได้มีผู้ใดทราบไม่!
เป็นเรื่องที่ไม่ว่าผู้ใดต่างก็ประหลาดใจ
“เป็นไปได้ยังไง!?”
หนานอิ่งแตกตื่น ใบหน้างดงามแปรเปลี่ยน ดวงตาเบิกกว้าง
ในกาลก่อน เพราะซูอี้สูญเสียการบ่มเพาะ นางจึงไม่ลังเลที่จะหักหลังอีกฝ่าย เพื่อเลือกหนทางอื่น
ผู้ใดกันคาดคิด เพียงหนึ่งปีผ่านพ้น ซูอี้ที่นางเขี่ยทิ้งประหนึ่งคนไร้ค่า ขณะนี้ฟื้นคืนการบ่มเพาะกลับมาได้แล้ว
ใจนางขณะนี้ไม่อาจสงบ กระทั่งไม่อาจควบคุมตัวเอง
“คาดไม่ถึงยิ่งนัก…” หนีเฮ่าประหลาดใจเช่นกัน ทว่าท่าทีสงบกว่ามาก
เมื่อตอนนั้นที่ซูอี้ยังอยู่สำนักดาบชิงเหอ ระดับการบ่มเพาะของซูอี้อยู่แค่ในขอบเขตโคจรโลหิตขั้นสาม ‘ขัดเกลาเส้นเอ็น’ แม้ฟื้นพลังขึ้นมาได้ตอนนี้ ก็ไม่ได้เป็นภัยต่อเขานัก
“นี่มัน…”
นับตั้งแต่ที่งานประลองเริ่ม เหวินฉางชิงที่เอาแต่เงียบไร้คำพูดจา ยามนี้แตกตื่น สีหน้าแปรเปลี่ยนเผยชัด
สารเลวผู้นี้เก็บซ่อนความลับเอาไว้!
เหวินเจวี๋ยหยวน เหวินเส้าเป่ยและสมาชิกตระกูลเหวินผู้อื่นต่างแสดงสีหน้าแตกตื่นและนิ่งงัน
ในใจพวกเขามีเพียงหนึ่งความคิด ซูอี้ผู้นี้ฟื้นคืนพลังได้ตั้งแต่เมื่อใด?
“นึกประหลาดใจอยู่แล้วว่าเหตุใดมันอวดดี ที่แท้การบ่มเพาะที่เคยเลือนหายกลับคืนมานี่เอง”
แววตาหลี่เทียนหานหมองหม่นลง
คนไร้ค่าผู้นี้กลับกลายเป็นผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่ง นี่จะทำให้แผนของเขาเสียหาย
เรื่องนี้ทำหลี่เทียนหานขมวดคิ้ว พลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่หลี่โม่อวิ๋นบุตรชายตนคิดกระทำในคืนนี้
“เจ้าหนูนี่ปกปิดพลังของตนเองได้ยอดเยี่ยมนัก”
โจวฮวายชิวถอนหายใจอย่างนึกประหลาดใจ และเกิดนึกเสียดายที่ก่อนหน้านี้ตนเองไม่ไปพบซูอี้ หลังจากเดินทางมาเยือนเมืองกว่างหลิง
หรืออาจเป็นเพราะท่าทีห่างเหินของตัวเขา ซูอี้จึงไม่คิดอยากกล่าวถึงเรื่องการบ่มเพาะที่ฟื้นคืน?
คิดได้ดังนี้ ความยินดีในใจเขาจึงเลือนหาย ความรู้สึกอันขมขื่นปะปนผสมกัน
“แท้จริงนายน้อยได้กลายเป็นนักสู้อีกครั้งหนึ่งแล้ว…” หูเฉวียนเกิดยินดีขึ้นมา
ท่ามกลางผู้คนที่รับชม มีเพียงฟู่ซาน หวงอวิ๋นชง เนี่ยเป่ยหู่ เนี่ยเถิง รวมถึงหวงเฉียนจวินที่มีอาการสงบ
เพราะพวกเขาทราบเรื่องแต่แรก ทั้งยังทราบยิ่งกว่าไม่ว่าผู้ใด
ภาพฉากบนเวทีประลอง ทำให้ฟากฝั่งเมืองกว่างหลิงกลายเป็นตื่นเต้น
แต่ในทางกลับกัน ฝั่งเมืองลั่วอวิ๋น พวกเขาต่างประหลาดใจ บุตรเขยผู้สูญเสียการบ่มเพาะไปครั้งหนึ่ง กลับต้านรับการโจมตีเพียงนี้ได้ เป็นเรื่องชวนตื่นตะลึงอย่างไม่ต้องสงสัย
ขณะนี้เอง ลี่เจี้ยนอวี่ส่งเสียงฮึมฮัมตะโกนดัง
“ฟื้นคืนการบ่มเพาะแล้วอย่างไร? ก็แค่อดีตหัวหน้าศิษย์สายนอกสำนักดาบชิงเหอ การบ่มเพาะนั้นก็หาได้แข็งแกร่งเทียบเท่าเหวินเจวี๋ยหยวน!”
หนึ่งคำพูด เสียงพูดคุยในเวทีประลองเงียบงัน บรรยากาศกลายเป็นหมองหม่นลง
“ถูกต้องแล้ว เหวินเจวี๋ยหยวนพ่ายแพ้ในหนึ่งหมัด ต่อให้ซูอี้ฟื้นคืนการบ่มเพาะ แล้วมันยังไง?”
หนานอิ่งบ่นพึมพำเสียงเบา เดิมอารมณ์ที่หลุดการควบคุมค่อยกลับคืนสู่ความสงบ
ผู้อื่นต่างตอบสนอง พวกเขาเริ่มสะกดสภาวะอารมณ์ ดวงตากลับคืนจับจ้องเวทีประลอง
กระนั้นแล้ว พบเห็นซูอี้ฟื้นคืนการบ่มเพาะ ผู้คนต่างมีความคิดที่แปรเปลี่ยนกันไป
“ถือว่าเหมาะเจาะทีเดียว เมื่อไหร่ที่ข้าซัดเจ้าจนพ่ายแพ้ ผู้อื่นจะไม่ได้กล่าวว่าข้ากลั่นแกล้งผู้พิการไร้ซึ่งการบ่มเพาะ!”
โม่เทียนหลิงสงบใจลงได้ ริมฝีปากยกยิ้มเอ่ยคำออก
นับตั้งแต่แรก ท่าทีของซูอี้เรียบเฉยมาโดยตลอด
เขาเมินการยั่วยุของโม่เทียนหลิง ทว่ามองไปยังเนี่ยเถิงที่ยืนอยู่ข้างเนี่ยเป่ยหู่ตรงที่นั่งแขกผู้ทรงเกียรติก่อนจะเอ่ยคำ
“เจ้าจงรับชมให้ดี”
เนี่ยเถิงงุนงง ใบหน้าเขาเปี่ยมด้วยความสงสัย อยากทราบว่าซูอี้หมายถึงสิ่งใด
ตูม!
โม่เทียนหลิงใช้โอกาส ลงมือโจมตีอีกครั้งครา
พลังอำนาจสะท้านฟ้าสะเทือนดิน สายฟ้าทอประกาย เคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งใหญ่ มันคือเคล็ดวิชาที่ใช้สังหารในสมรภูมิสู้รบ ซึ่งแฝงกลิ่นเลือดและเหล็กเหม็นฉุนคละคลุ้ง
เหวินเจวี๋ยหยวนสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง เขานึกสังหรณ์ว่าหากเป็นตนเองที่ต้องรับการโจมตีครั้งนี้ ไม่ตายก็คงปางตาย!
ผู้คนด้านนอกเวทีประลองต่างตระหนัก โม่เทียนหลิงตั้งใจลงมือถึงตาย ไม่ใช่หย่อนยานและออมแรงเช่นช่วงแรก
ร่างซูอี้ขยับยืดเคลื่อนไหว มือกำหมัด ร่างกายบิดพลิ้วไหลลื่นประหนึ่งสายน้ำและมวลเมฆ เคลื่อนตัวไร้กลิ่นไร้เงาให้คาดเดา
โม่เทียนหลิงที่ชกหมัดเข้าใส่ พลังอำนาจยิ่งใหญ่และดุดันกลับกลายเป็นเงียบงัน มันไม่อาจสัมผัสได้แม้เสื้อคลุมของซูอี้
ที่ชวนเหลือเชื่อยิ่งกว่า คือการเคลื่อนไหวของซูอี้หาได้รวดเร็วไม่ แต่คล้ายกับเมฆเคลื่อนไหว เชื่องช้า เบาบาง แต่ไร้ลักษณ์ เป็นท่วงทำนองอันน่าประหลาด
“ย่างก้าวบุปผาลู่ลม?”
ใบหน้าโม่เทียนหลิงแปรเปลี่ยน เคล็ดวิชาท่าร่างที่ซูอี้ใช้อยู่ขณะนี้ ไม่ใช่เคล็ดวิชาที่สูงล้ำเลย มันเป็นเพียงวิชาธรรมดาทั่วไปที่สามารถหาฝึกได้ง่าย ๆ
แต่กระนั้นยามซูอี้ใช้งาน มันกลับทรงเสน่ห์ไร้ที่ติ สมบูรณ์แบบอย่างไม่อาจหาจุดบกพร่อง
ตู้ม!
ดวงตาโม่เทียนหลิงทอประกายดุร้าย หมัดเหวี่ยงออกหมายสังหาร
เพื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาหมัดอัสนีอสูรร่ำไห้ ตัวเขาต้องต่อสู้ในกองกำลังเกล็ดแดงยาวนานนับปี สังหารศัตรูร้ายกาจในสมรภูมิสู้รบจนเลือดหลั่งนอง สุดท้ายจึงได้สำเร็จเคล็ดวิชานี้ถึงระดับจุดสมบูรณ์
ชั่วขณะเวลานี้ ตัวเขาทุ่มเทพลังทั้งหมดออกมา จนเปรียบดังพยัคฆ์ร้ายตัวหนึ่ง หมัดที่รวดเร็วดุจสายฟ้า มันพุ่งตรงราวกับเป็นศาสตราวิเศษอันแหลมคมที่ไม่อาจหยุดยั้ง
แต่แล้วเหตุการณ์ต่อมากลับทำโม่เทียนหลิงสีหน้าแปรเปลี่ยน
ถัดมา ซูอี้ไม่หลบหลีกอีกต่อไป ทุกครั้งที่โม่เทียนหลิงเข้าโจมตี ซูอี้จะปัดป้องออกไปได้โดยง่ายดาย ทำเอาโม่เทียนหลิงทั้งโกรธเกรี้ยวและหัวเสีย
ท่ามกลางสายตาผู้คน โม่เทียนหลิงเป็นประหนึ่งพายุรุนแรง พัดพาเข้าหาซูอี้จากทั่วทิศทาง
ขณะที่อีกทางหนึ่งนั้นซูอี้ประหนึ่งเป็นก้อนหินใหญ่ แม้ลมพายุพัดพาจากทิศทางใด เขายังคงอยู่นิ่ง ไม่อาจแตะต้องให้เขาหวั่นไหว
ภาพฉากที่ได้เห็น ผู้คนทั้งหมดต่างสนใจ
ผู้ยิ่งใหญ่บางส่วนกระทั่งตื่นตะลึง ท่าทีราวไม่นึกเชื่อสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า
มีเพียงเนี่ยเถิงและเนี่ยเป่ยหู่ที่ตื่นเต้นกว่าผู้ใด
พวกเขาได้เห็น สิ่งที่ซูอี้กำลังใช้งานขณะนี้ คือเคล็ดวิชาที่ทั้งบิดาและบุตรชายต่างชำนาญ ‘หัตถ์คว้านกกระจอก’ นั่นเอง!
เพียงแต่หัตถ์คว้านกกระจอกที่พวกเขาใช้งาน คือการใช้แรงจากฝ่ามือคว้าจับ ประหนึ่งเป็นกรงขังที่มองไม่เห็น ขังนกไว้ไม่ให้บินหนี
กระนั้นหากเทียบกับซูอี้ พวกเขาพลันได้ทราบ ว่าตนเองหาได้เทียบเปรียบแม้แต่เล็กน้อย
ในมือของซูอี้ เคล็ดวิชาดังกล่าวแสดงออกอย่างลึกล้ำเกินกว่าจินตนาการคาดคิด
เป็นประหนึ่งเทพเซียนสำแดงพลัง
ราวกับว่าทุกชีวิตนั้นเป็นนก และฟ้าดินเป็นเสมือนกรงขัง!
เนี่ยเถิงตกตะลึง จิตอยู่ในภวังค์ อาการแตกตื่นไม่อาจสงบลง
ขณะนี้เองที่เขาได้ตระหนัก เคล็ดวิชาที่ตนเองฝึกฝนยาวนาน แท้จริงกลับมีความน่าทึ่งได้ถึงเพียงนี้!
เขาไม่กล้าวอกแวก ก่อนจะกลั้นใจ รับชมต่อโดยเงียบงัน
“บุตรชายตระกูลเนี่ยได้รับความชมชอบจากคุณชายซู ช่างโชคดียิ่งนัก!” ฟู่ซานทอดถอนใจให้ตัวเอง
มีหรือเขาจะไม่ทราบว่าซูอี้คิดใช้การต่อสู้ครั้งนี้ เป็นการชี้แนะแก่เนี่ยเถิง แสดงหัตถ์คว้านกกระจอกให้เห็นถึงความน่าอัศจรรย์เป็นการส่วนตัว
ท่าทีหวงอวิ๋นชงแปรเปลี่ยนคล้ายคลึงกับฟู่ซาน เขาเห็นได้ชัดถึงความตั้งใจของซูอี้เช่นกัน
ช่างเหนือล้ำยิ่ง!
ชั่วเวลาเดียวกันนี้ ผู้คนรอบเวทีประลองต่างได้เห็นโม่เทียนหลิงกำลังตกเป็นรอง
ภายใต้ฝ่ามือของซูอี้ อีกฝ่ายกลายเป็นเหมือนสัตว์ร้ายในกรงขัง ทุกฝ่ามือของซูอี้เปรียบดังกรงที่ไม่อาจมองเห็น ปกคลุมร่างอีกฝ่ายเอาไว้ ไม่ว่าแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่อาจหลีกหนี หรือออกพ้นจากกรงนี้ได้
ฉากอันตระการตานี้ เป็นเหตุให้ทั่วทั้งบริเวณเกิดเป็นเสียงอุทานแตกตื่น
ชั่วขณะก่อนหน้านี้ หลายคนต่างเชื่อว่าแม้ซูอี้ฟื้นคืนการบ่มเพาะ ชะตาก็ถูกกำหนดให้ห่างชั้นจากโม่เทียนหลิงผู้เป็นคู่ต่อสู้อันดุร้าย
แต่แล้วขณะนี้ ผู้คนต่างต้องชะงัก
โดยเฉพาะกับหนานอิ่ง หนีเฮ่า เหวินเจวี๋ยหยวน และเหวินเส้าเป่ย พวกเขาต่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเรื่อยอย่างชวนน่ารับชม
ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งพวกเขาเคยดูหมิ่นหยามเหยียด เมินเฉย เย้ยหยัน ขณะนี้กลับแสดงอำนาจต่อสู้ที่พวกเขาไม่อาจคาดคิด เรื่องนี้ พวกเขามีหรือจะยอมรับได้?
“ย่าห์!”
ที่บนสังเวียน โม่เทียนหลิงผู้มีใบหน้าเคร่งเครียดคำรามประหนึ่งคลุ้มคลั่ง ทั้งร่างทุ่มเทแรงใส่หมัดขวา ชกออกซึ่งหน้ารุนแรง
หมัดรวดเร็ว เสียงคำรามเลือนลั่น ประหนึ่งสายฟ้าแหวกผ่าน แสดงให้เห็นถึงความเป็นยอดฝีมือขอบเขตโคจรโลหิตอันเด่นชัด
“ช่างเถอะ เดี๋ยวข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นก็แล้วกันว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงเป็นเช่นไร!”
ซูอี้ถอนหายใจเบา ก่อนซัดฝ่ามือไปในความว่างเปล่า
ฝ่ามือที่ซัดออกไปนี้เชื่องช้า ราวกับเบาหวิวไร้ซึ่งพลัง
แต่กระนั้นโม่เทียนหลิงกลับเผยสีหน้าซีดเผือดแตกต่าง เขารู้สึกรับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงฝ่ามือของซูอี้ มันเปรียบดังกรงขังอันหนึ่ง ที่ทำเขาถูกสะกดข่มด้วยพลังอันไร้ขอบเขตจากทั้งฟ้าดินกดทับ
ยามเผชิญกับกรงขังที่เป็นประหนึ่งฟ้าดิน ตัวเขารับรู้ได้ถึงความกระจ้อยร่อยของตนเอง ทั้งไร้ซึ่งพลัง
ไร้ทั้งหนทางหนี และหนทางรอดพ้น!