บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 540 คืนนี้เกิดเรื่องใหญ่
ตอนที่ 540: คืนนี้เกิดเรื่องใหญ่
ตอนที่ 540: คืนนี้เกิดเรื่องใหญ่
เก๋อเฉียนที่ยังคงสลบไสลอยู่ ถูกเฮ่อฉางอิงกระชากคอยกขึ้นสูงกลางอากาศ
ราวกับลูกแพะน้อยรอโดนเชือด
ไม่ว่าใครต่างก็รู้ ด้วยระดับการฝึกในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณของเฮ่อฉางอิง เพียงแค่บีบนิ้วก็สามารถฆ่าเก๋อเฉียนให้ตายได้อย่างง่ายดาย
ร่างเลือนรางมองไปที่ซูอี้ด้วยความตื่นตระหนก
เขารู้นิสัยของอาจารย์ตัวเองเป็นอย่างดี ไม่เคยยอมแพ้และลดราวาศอกต่อภัยคุกคามต่อหน้า
ในทางตรงข้าม หากฝ่ายตรงข้ามฆ่าเก๋อเฉียน อาจารย์ก็จะฆ่าฝ่ายตรงข้ามไม่เหลือซาก!
“อาจารย์ เก๋อเฉียน…”
ร่างเลือนรางอดเตือนขึ้นมาไม่ได้ เขาไม่อาจทนเห็นเก๋อเฉียนถูกฆ่าได้
“วางใจเถิด เขาไม่ตายง่าย ๆ หรอก”
ซูอี้เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ขอเพียงสหายเต๋าซูยอมหยุดเพียงเท่านี้ คน ๆ นี้ก็จะไม่ตาย”
ไม่ไกลนัก เฮ่อฉางอิงกล่าวเสียงเครียด
ชุยเหิงยืนอยู่ข้างกายเขาด้วยสีหน้าหมองคล้ำ
เมื่อสักครู่หากไม่ใช่เพราะเฮ่อฉางอิงมาช่วยไว้ทัน เขาคงไม่รอดแล้ว!
“ไม่ พวกเจ้าจะต้องตาย”
สายตาของซูอี้ราบเรียบ
“เจ้าไม่ต้องการให้คน ๆ นี้มีชีวิตรอดเช่นนั้นหรือ?”
เฮ่อฉางอิงสีหน้าเคร่งเครียดลง
“เจ้าไม่มีโอกาสหรอก”
ซูอี้พูดจบ เบนสายตามองไปที่เฮ่อฉางอิงที่อยู่ไกลออกไป
ในดวงตาที่ลุ่มลึกคู่นั้น มีประกายลึกลับยากจะคาดเดาผุดขึ้นมา ลุ่มลึกประดุจเกลียวคลื่นแห่งดวงดารา และคล้ายกับประตูที่มุ่งหน้าสู่นรก
โครม!
จิตวิญญาณของเฮ่อฉางอิงเจ็บแปลบขึ้นมาในทันใด ทุกอย่างเวิ้งว้างว่างเปล่า
ผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณคนนี้รู้สึกราง ๆ ว่าจิตวิญญาณของตัวเองราวกับถูกมือขนาดใหญ่บีบ ร่วงหล่นเข้าไปในหลุมลึกที่มืดมิดอย่างควบคุมไม่อยู่
ความสิ้นหวัง ไร้ที่พึ่ง และหวาดกลัวแบบบอกไม่ถูกผุดขึ้นมากลางดวงจิตราวกับกระแสน้ำไหลท่วมเขื่อน
ไม่ได้การ!!
เฮ่อฉางอิงอาศัยจิตใต้สำนึกซึ่งผ่านการฝึกวิถีมานานนับหลายปีกัดปลายลิ้นของตัวเองอย่างแรง สุดท้ายจิตวิญญาณจึงกลับมาอยู่ในสภาวะแจ้งกระจ่างดังเดิม
โดยไม่ลังเล เขาออกแรง ต้องการจะบีบคอเก๋อเฉียน
ทว่าในชั่วขณะนี้เอง พลันการมองเห็นของเขาก็อยู่สูง ดั่งล่องลอยอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็มองเห็นศพไร้หัวศพหนึ่งบนพื้น
ศพนั้นสวมชุดเต๋า มือหนึ่งถือแส้หางจามรี อีกมือหนึ่งจับตัวเก๋อเฉียน
ตรงช่วงคอมีเลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นออกมา
“นี่…”
ดวงตาของเฮ่อฉางอิงหดเล็กลงในทันใด ตัวเองถูกฆ่า… ตัดหัว?
เมื่อนึกถึงจุด ๆ นี้ เฮ่อฉางอิงก็หน้ามืดหมดสติ
ตุบ!
หัวของเขากลิ้งลงกับพื้น บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและงุนงง
ตุบ!
เสียงหนัก ๆ ดังขึ้นอีกครั้ง ร่างไร้หัวของเขาล้มลงไปกองกับพื้น
ภาพอันน่าสยดสยองเช่นนี้กระตุ้นให้ชุยเหิงหวาดผวา จนร้องเสียงหลงออกมา “เป็น… เป็นไปได้อย่างไร?”
ก่อนหน้านี้ ซูอี้เพียงแค่มองดูเฮ่อฉางอิงเท่านั้น ก่อนฟันดาบระยะไกล แล้วศีรษะของเฮ่อฉางอิงก็พลันกระเด็นออก!
อย่าว่าแต่ตอบโต้เลย ตั้งแต่แรกจนจบ เฮ่อฉางอิงไม่ได้ตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย
ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน
“บ่วงพันธนาการวิญญาณ!”
ร่างเลือนรางพึมพำ
“ความจำของเจ้าไม่เลวเลย” ซูอี้หัวเราะขึ้นมา
“ศิษย์จำได้ไม่ลืม ครั้งนั้น หลังจากที่อาจารย์ถ่ายทอดเคล็ดวิชานี้ให้กับศิษย์น้องเล็กแล้ว ศิษย์น้องเล็กยังเคยใช้เคล็ดวิชานี้มาทดลองกับข้า ตอนนั้น ข้าถูกศิษย์น้องเล็กทรมานจนพูดไม่ออก”
ร่างเลือนรางย้อนนึกถึง
ชิงถังน่ะรึ…
รอยยิ้มของซูอี้จางลง
เขาสลัดความคิดฟุ้งซ่าน มองไปที่ซุยเหิง
“เจ้าอย่าเข้ามานะ!”
ชุยเหิงตัวสั่นสะท้าน ได้สติกลับมาจากอาการหวาดกลัวแล้ว จากนั้นก็รีบหมุนตัวหนี
ครั้งที่หนึ่งรวบรวมความกล้า ครั้งที่สองความกล้าพังทลาย ครั้งที่สามความหวังก็หายไป
เมื่อหมดสิ้นแล้วซึ่งความมุ่งมั่นจึงเลือกที่จะถอยหนี ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณก็ไม่มีฤทธิ์เดชอันใดจะให้เอ่ยถึงได้อีก
ซูอี้ลอบส่ายหน้า เดิมทีเขาตั้งใจไว้ว่าจะใช้อานุภาพของวิถีดาบฟาดฟันใจดาบของคน ๆ นี้ แต่ตอนนี้ดูท่าแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องลงมือ ใจดาบของฝ่ายตรงข้ามก็โดนความหวาดกลัวครอบงำไปก่อนแล้ว
คนเช่นนี้ ไม่คู่ควรกับคำว่านักดาบอีกต่อไป
สวบ!
โดยไม่ชักช้าเสียเวลา ซูอี้ก็แกว่งดาบพุ่งออกไป
ห่างไปไกลหลายร้อยลี้ ร่างของชุยเหิงยังคงกระเสือกกระสนหลบหนี ทว่าหัวของเขาถูกฟันจนขาดไปแล้ว ร่างวิ่งพุ่งไปไกลถึงสิบกว่าจั้งแล้วจึงร่วงหล่นลงกับพื้นเสียงดัง
หักดาบคู่ใจ ทำลายใจดาบ ฟันหัวของเขาขาด!
จนถึงตอนนี้ รวมถึงเฮ่อฉางอิง ลี่หานมู่ กับชุยเหิง ผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณทั้งสาม ล้วนถูกฆ่าตายคาที่!
ชิ้ง!
ซูอี้เก็บดาบนิลกาฬกลืนฟ้า ชายตามองไปที่ร่างเลือนราง
ร่างเลือนรางตะลึงนิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นจึงไปเก็บอาวุธที่ได้จากชัยชนะราวกับเข้าใจความหมาย
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่าในใจของเขาไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกตะขิดตะขวง กลับยังรู้สึกปีติยินดีอย่างบอกไม่ถูกเสียด้วยซ้ำ ราวกับว่าได้ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ออกพเนจรติดตามซูอี้
ทุกครั้งเมื่อฆ่าศัตรูเสร็จ พวกเขาผู้เป็นศิษย์เหล่านี้ก็จะแย่งกันไปเก็บอาวุธที่ได้จากชัยชนะ บางครั้งหากพบของหายาก ทุกคนก็จะพากันแย่ง แลดูมีความสุขยิ่งนัก
มองเห็นอากัปกิริยาของร่างเลือนรางแล้ว ซูอี้ก็ตาพร่ามัวขึ้นมา
เมื่อชาติที่แล้ว ในบรรดาศิษย์ทั้งเก้าที่เขารับมา เต่าน้อยอยู่อันดับที่เจ็ด มีสมญานามว่าเสวียนหนิง คอยเฝ้าสำนักมาโดยตลอดเพื่อสะกดโชคชะตาของสำนัก
เขาเป็นทายาทของสายเลือดเสวียนหนิงบริสุทธิ์ พรสวรรค์พิสดาร พลังในสายเลือดเป็นที่ครั่นคร้ามไม่มีใครเทียบเทียม
ทว่าหากพูดถึงปัญญา ไม่อาจเทียบศิษย์คนอื่น ๆ ได้ เคยถูกซูอี้ตัดสินว่าเป็นคนโง่ทึ่ม เดินทางลัดเหมือนคนอื่นไม่ได้ มีแต่ต้องค่อย ๆ เดินทีละก้าวอย่างมั่นใจเท่านั้น
แม้กระทั่งซูอี้ก็ยังคาดไม่ถึงว่าจะมาเจอกับศิษย์คนนี้บนมหาทวีปคังชิง
เสวียนหนิงมาถึงมหาทวีปคังชิงได้อย่างไร?
และเหตุใดอีกฝ่ายจึงตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้ได้?
ในช่วงเวลาหลังจากที่ตัวเองกลับชาติมาเกิด เกิดความเปลี่ยนแปลงอันใดขึ้นอีกเช่นนั้นหรือ?
ข้อสงสัยมากมายผุดขึ้นในใจของซูอี้
ท้ายที่สุด เขาก็เก็บกดข้อสงสัยเหล่านั้นลง
เรื่องในคืนวันนี้ ยังไม่ถึงเวลาสิ้นสุด!
“อาจารย์”
ร่างเลือนรางเก็บอาวุธมาจนเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับหิ้วเก๋อเฉียนกลับมา
เมื่อมาอยู่ต่อหน้าซูอี้ ทายาทเสวียนหนิงผู้ที่ชอบคุยโม้โอ้อวดเวลาอยู่ต่อหน้าเก๋อเฉียนคนนี้กลับทำตัวสงบเสงี่ยมคล้ายกับศิษย์เวลาที่อยู่ต่อหน้าครู ในความเคารพยำเกรงแฝงไว้ซึ่งความระมัดระวัง
นี่เป็นนิสัยที่ติดมาตั้งแต่อดีต แก้ไม่ได้
“อย่าเพิ่งปลุกให้เขาตื่น”
ซูอี้ชายตามองไปที่เก๋อเฉียน
“ขอรับ”
เสวียนหนิงพยักหน้า ไม่ได้ถามเหตุผล
“พวกเขาคือคนที่ตระกูลหวนเผ่ามารส่งมาจัดการกับพวกเจ้าเช่นนั้นหรือ?” ซูอี้ถาม
“ขอรับ” เสวียนหนิงพยักหน้าอีกครั้ง
“ตอนนี้ตามข้าไปหาพวกเขา เมื่อจัดการกับพวกเขาเสร็จ ข้าจะรักษาบาดแผลให้เจ้า”
ซูอี้พูดจบก็หมุนตัวเดินไปข้างหน้าแล้ว
เสวียนหนิงนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ ในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
เขาไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่ติดตามไปเงียบ ๆ
เมื่อชาติก่อน หากศิษย์ในสำนักถูกคนอื่นรังแก ไม่ว่าอาจารย์จะปิดตนฝึกฝนอยู่ หรือว่ากำลังยุ่งกับงานอื่น จะต้องออกโรงช่วยแก้แค้นแทนอยู่ตลอด
จนเป็นเหตุให้เบื้องหลังสายมหาวิถีบางกลุ่มในเก้ามหาแดนดินตั้งฉายาให้อาจารย์…
ซูเสวียนจวินปีศาจคลั่งหวงลูกศิษย์
โครม!
ด้านหน้า ซูอี้สะบัดแขนเสื้อ ค่ายกลที่ครอบคลุมแผ่นดินแผ่นฟ้าในบริเวณนี้ก็ทลายลง
เวลานี้เป็นเวลาดึกสงัด ลมหนาวพัดเข้ากระดูก ใบไม้ปลิวว่อน
ท้องถนนเงียบสงบไร้สุ้มเสียงไปนานแล้ว
ซูอี้ก้าวเดินไปข้างหน้า
อย่างรวดเร็ว ร่างของคนกลุ่มหนึ่งก็พากันพุ่งเข้ามาหา คนที่เดินนำหน้าก็คือเวิงจิ่ว
เมื่อเห็นซูอี้แล้ว เขาถึงกับตะลึง
“ความเคลื่อนไหวเมื่อสักครู่ สหายเต๋าซูเป็นผู้สร้างขึ้นเช่นนั้นหรือ?”
เวิงจิ่วสงสัย ขณะที่พูดสายตามองไปที่เสวียนหนิงซึ่งติดตามอยู่ข้างหลังซูอี้
“ข้าเข้าใจว่าในนครหลวงจิ๋วติ่งแห่งนี้ ไม่ว่าเกิดการต่อสู้อันใดขึ้น ราชวงศ์เซี่ยจะรู้สึกก่อนเป็นอันดับแรก ไม่นึกเลยว่า พวกคนตระกูลหวนเผ่ามารตายกันหมดแล้ว พวกเจ้ากลับเพิ่งมาถึง”
ซูอี้กล่าวเสียงเรียบ
คำพูดที่กล่าวมาทิ่มแทงใจเวิงจิ่วให้รู้สึกตระหนกและรู้สึกลำบากใจ
“ตระกูลหวนเผ่ามารโจมตีสหายเต๋าในคืนนี้เช่นนั้นหรือ?”
เวิงจิ่วสีหน้าคร่ำเคร่ง
“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย เจ้าจงบอกข้ามาก่อนว่าตระกูลหวนเผ่ามารปักหลักอยู่ที่แห่งใดในเมือง”
ซูอี้เอ่ยถามขึ้น
เวิงจิ่วสะดุ้งในใจถึงกับสูดปาก เพราะรู้ว่าซูอี้ตั้งใจจะฆ่าล้างโคตร!
“สหายเต๋าซู…”
เวิงจิ่วต้องการจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เมื่อมองเห็นสายตาลุ่มลึกราบเรียบคู่นั้นของซูอี้แล้ว ร่างของเขาถึงกับหนาววาบขึ้นมา ไม่กล้าพูดมากอีก ได้แต่บอกที่อยู่ของตระกูลหวนเผ่ามารออกมาโดยตรง
ซูอี้พยักหน้า พลางกล่าว “ศพพวกนั้นยังคงอยู่ไม่ไกลมากนัก รบกวนพวกเจ้าไปตรวจดูด้วย ไปตรวจดูตอนนี้ได้”
พูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินออกไป
เสวียนหนิงตามไปติด ๆ
เห็นว่าพวกเขาไปกันแล้ว สีหน้าของเวิงจิ่วสลดลง นิ่งเงียบไปนานจึงกล่าวถอนใจ “คืนนี้… เกรงว่าคงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!”
——
ชุมชนดอกอวี้หลัน ริมร่องน้ำแพะเขียว
ภายในจวนที่มีอาคารตัวเรือนเรียงรายติดต่อกัน
ณ ห้องโถงใหญ่ แสงไฟสว่างเจิดจ้า
“นายน้อยสั่งกำชับไว้แล้ว หลังจากที่จับตัวเก๋อฉางหลิงมาได้ ให้เซียนหงเป็นผู้ลงมือ ใช้ ‘วิชาอสูรป่วนสะกดวิญญาณ’ สยบจิตวิญญาณของเขา ทำให้เขายอมรับใช้พวกเราแต่โดยดี”
หญิงสาวในชุดลวดลายนกหงส์หยกนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานกลางห้องโถง กล่าวเบา ๆ
นางนั่งเรียบร้อยงดงาม สวมชุดลวดลายนกหงส์หยก เกล้าผมยาวสลวยขึ้น มีความน่าเกรงขาม
“ฮูหยินรั่วเหวินโปรดวางใจได้”
ตำแหน่งที่นั่งด้านข้าง ผู้เฒ่าหนวดแพะผมเคราขาวโพลนหัวเราะพลางเอ่ยออกมา
เขาลอบพินิจมองเรือนร่างสะโอดสะองของหญิงสาวในชุดลวดลายนกหงส์หยกอย่างเงียบ ๆ ในสายตามีประกายแห่งความเจ้าชู้
เขาได้ยินมานานแล้วว่า ฮูหยินรั่วเหวินฝึกฝนจนได้มาซึ่งวิชาการฝึกคู่อันล้ำเลิศสุดยอดหลากรูปแบบ ไม่ว่าผู้ชายหน้าไหนล้วนต้องหลงใหลหัวปรักหัวปรำ
ติดตรงที่ฮูหยินรั่วเหวินเป็นผู้หญิงนางในของหวนเฉ่าโหยว ผู้เฒ่าหนวดแพะจึงไม่มีโอกาสได้ลิ้มลอง
“เฒ่าลามกคนนี้ นับวันก็ยิ่งจะลามปามมากขึ้นทุกที วันข้างหน้าจะต้องหาโอกาสปาดน้องชายของเขาให้ได้!”
หญิงสาวในชุดลวดลายนกหงส์หยกลอบสบถ
“ฮูหยินรั่วเหวิน เก๋อเฉียนคนนี้มีความสำคัญถึงขั้นต้องให้เฮ่อฉางอิง ลี่หานมู่ กับชิงเหอต้องลงมือพร้อมกันเลยเชียวหรือ?”
อีกด้านหนึ่ง ชายวัยกลางคนในชุดยาวสีม่วงหน้าตาค่อนข้างดีถามเสียงเข้ม
“วิชาที่เก๋อเฉียนฝึกฝน เหมือนกับวิชาที่หยวนเหิงคนรับใช้ของซูอี้ฝึก นี่เป็นเรื่องที่ใครต่อใครต่างก็รู้ หากไม่เกิดความผิดพลาด เก๋อเฉียนกับซูอี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องอันใดบางอย่างเป็นแน่”
หญิงสาวในชุดลวดลายนกหงส์หยกกล่าว “ตามแผนของนายน้อย หลังจากที่เก๋อเฉียนยอมสยบแล้ว ก็เท่ากับแอบส่งสายไปอยู่ข้างกายซูอี้ เมื่อเข้าไปในเกาะเซียนพระสุเมรุได้แล้ว สามารถหลอกใช้เก๋อเฉียนเพื่อวางแผนลอบฆ่า ประสานงานกับนายน้อยที่อยู่ด้านนอกเพื่อฆ่าซูอี้”
เซียนหงกับชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงจึงเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นมา
“หากว่าข้าเป็นนายน้อย เจอการสบประมาทหยามน้ำหน้าเช่นเมื่อวานนี้ จะต้องคิดหาวิธีแก้แค้นอย่างแน่นอน”
ชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงกล่าว “ซูอี้คนนั้นอาจจะมีกำลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง แต่ผิดใจต่อตระกูลหวนเผ่ามาร ไม่เท่ากับหาหนทางตายหรอกหรือ? บนเกาะเซียนพระสุเมรุ ต่อให้เป็นราชวงศ์เซี่ยก็ไม่อาจช่วยเหลือเขาได้!”
“น่าแปลก พวกเฮ่อฉางอิงออกไปเป็นเวลาจุดธูปหนึ่งดอกแล้ว เหตุใดจนป่านนี้แล้วก็ยังไม่กลับมากันอีก?”
เซียนหงหนวดแพะขมวดคิ้วกล่าว
“อย่าร้อนใจไป อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นนครหลวงจิ๋วติ่ง หากไม่ต้องการเป็นที่จับตามองของราชวงศ์เซี่ย ยังคงเป็นเรื่องยาก แต่ด้วยพลังของพวกเฮ่อฉางอิง ไม่น่าจะพลาด”
หญิงสาวในชุดลวดลายนกหงส์หยกพูดด้วยสีหน้ามั่นใจ
“เป็นเช่นนี้ก็ดี”
เซียนหงหัวเราะขึ้นมา สายตาลอบมองดูเรือนร่างอรชรนูนเว้าของหญิงสาวในชุดลวดลายนกหงส์หยก
ในขณะนี้เอง เสียงราบเรียบเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากนอกห้องโถงใหญ่…
“หวนเฉ่าโหยวอยู่ที่ใด?”