บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 542 สระหล่อมาร
ตอนที่ 542: สระหล่อมาร
ตอนที่ 542: สระหล่อมาร
ศีรษะมนุษย์กลิ้งตกกระแทกพื้น ส่งเสียงทุ้มต่ำ
ดวงหน้างดงามของสตรีในชุดลวดลายนกหงส์หยกซีดเผือด สีหน้าผวาตื่นตระหนก
ต่อให้นางเคยพบเห็นเรื่องราวใหญ่โตมาบ้างแล้ว และเคยตกใจกับวิธีการเด็ดขาดเลือดนองของซูอี้ ร่างบางก็ยังสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้
“อยากมีชีวิตรอดหรือ?”
ซูอี้ถาม
สตรีในชุดลวดลายนกหงส์หยกพยักหน้ารัว เอ่ยอย่างขวัญผวา “หวังว่าสหายเต๋าจะรักษาคำมั่นก่อนหน้านี้ ไว้ชีวิตข้าด้วย”
เสวียนหนิงที่เห็นทุกอย่างไม่แปลกใจนัก
ความเป็นความตายคือเรื่องสยดสยอง
เมื่อได้เผชิญหน้ากับความตายจริง ๆ อย่าว่าแต่มหาปราชญ์สวรรค์ในวิถีวิญญาณเลย กระทั่งบรรดาขอบเขตจักรพรรดิที่เกรียงไกรสะท้านฟ้าก็มีคนที่รักตัวกลัวตายอยู่ไม่น้อย
หรือก็คือ ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ ยิ่งฝึกฝนจนขอบเขตสูงส่งเพียงใด ยิ่งหวงแหนชีวิตมากขึ้น ไม่ยอมจบสิ้นลงในเส้นทางมหาวิถี ไม่ยอมให้ชื่อเสียง อำนาจ พลังที่สั่งสมมาทั้งชีวิตต้องจบสิ้นลง
แน่นอนว่าโลกนี้ยังมีบุคคลที่ไม่เกรงกลัวความตาย มองว่าเป็นสัจธรรมอยู่จำนวนหนึ่ง เพียงแต่เป็นส่วนน้อยเท่านั้น
“เลิกต่อต้านเสีย ยอมให้ข้าค้นวิญญาณ หากแน่ใจได้ว่าเจ้าไม่ได้โป้ปด ข้าย่อมปล่อยให้เจ้าไป”
ซูอี้เอ่ยราบเรียบ
สตรีในชุดลวดลายนกหงส์หยกลังเลครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็กัดฟันตกลง
ในไม่ช้า จิตสัมผัสของซูอี้พุ่งออกไป แทรกซึมเข้าไปในจิตสัมผัสของสตรีชุดลวดลายนกหงส์หยก
ริมฝีปากแดงระเรื่อของฝ่ายหลังเผลอร้องครางออกมา คล้ายว่าเจ็บปวด และคล้ายว่าตื่นกลัว สายตาเลื่อนลอยขึ้นมา
ครู่ต่อมา ซูอี้ดึงจิตสัมผัสกลับ สายตาแปลกไปเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้สตรีชุดลวดลายนกหงส์หยกไม่ได้โกหกจริง ๆ นอกจากทายาทสายเอกตระกูลหวนเผ่ามารแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ว่า ‘ศาลบรรพชน’ ของพวกเขาอยู่ที่ใด
ทว่า ในความทรงจำของสตรีชุดลวดลายนกหงส์หยก กลับมีภาพจำมากมายเกี่ยวกับการฝึกบำเพ็ญคู่ ภาพรัญจวนใจนั้น กระทั่งซูอี้ยังอดตกใจไม่ได้
เขาคิดไม่ถึงเลย สตรีซึ่งดูสง่างามผู้นี้ ลับหลังกลับเป็นหญิงแพศยาคาวโลกีย์ ไม่เพียงแต่มีสัมพันธ์กับหวนเฉ่าโหยวเท่านั้น แต่ยังมีความสัมพันธ์ลับกับพวกตาแก่ตระกูลหวนอีกด้วย…
และด้วยวิธีการ ‘เย้ายวน’ เช่นนี้ จึงยังผลให้สตรีนางนี้ยืนอยู่ในตระกูลหวนได้อย่างมั่นคง และมีอำนาจในมือพอประมาณ
ขณะเดียวกัน ในที่สุดซูอี้ก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดตระกูลหวนเผ่ามารถึงต้องการจับเป็นเก๋อเฉียน ท้ายที่สุดก็เห็นเก๋อเฉียนเป็นหมากตัวหนึ่งที่วางไว้ข้างกายตัวเอง รอจนเข้าไปในเกาะเซียนพระสุเมรุแล้ว ค่อยร่วมมือกับหวนเฉ่าโหยวเพื่อปลิดชีพตัวเอง
“สหายเต๋า ท่าน… เชื่อหรือยัง?”
สตรีชุดลวดลายนกหงส์หยกได้สติแล้ว นางปริปากด้วยความตื่นกลัว
“เจ้าไปซะ” ซูอี้โบกมือ
เขาเป็นผู้มีสัจจะมาแต่ไหนแต่ไร อีกอย่าง ลำพังฝีมือของสตรีชุดลวดลายนกหงส์หยก ต่อให้หลังจากนี้นางต้องการแก้แค้น ก็ไม่สำเร็จลุล่วงหรอก
“ขอบคุณสหายเต๋ามาก!”
สตรีชุดลวดลายนกหงส์หยกบอกด้วยความซาบซึ้ง
นางลังเลครู่หนึ่ง แล้วจึงหันหลังจากไปด้วยท่าทีหยั่งเชิง
กระทั่งเดินออกจากจวนหลังนี้ และไม่เห็นซูอี้ไล่ตามเข้ามา ถึงเชื่อได้เสียทีว่าตัวเองหลุดพ้นแล้ว และรู้สึกโล่งอกได้เสียที
“เจ้าจะไปหาหวนเฉ่าโหยวรึ?”
ทันใดนั้น เสียงของซูอี้ดังขึ้น สตรีชุดลวดลายนกหงส์หยกตกใจจนตัวแข็งทื่อ
ครู่ต่อมา นางถึงเอ่ยเสียงเบา “ข้าไม่แน่ใจว่าจะติดต่อเขาได้หรือไม่ แต่… ข้าจำต้องไปรวมพลกับเขา มิฉะนั้น หากเขารู้ว่าข้าทรยศ จุดจบ… หาใช่สิ่งที่ข้ารับไหว”
น้ำเสียงฉายแววขมขื่นจนปัญญา
ผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแล้วอย่างไร
ติดอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็ไม่อาจทำตามใจชอบได้!
เสียงของซูอี้ดังขึ้นอีกครั้ง “หากเจ้าได้พบเขา จงบอกเขา ข้าเฝ้ารอการพบเขาอีกครั้งระหว่างทางไปเกาะเซียนพระสุเมรุในวันพรุ่งนี้”
“ทราบแล้ว”
สตรีชุดลวดลายนกหงส์หยกก้มหน้าตอบตกลง
เมื่อเห็นว่าเสียงของซูอี้ไม่ดังขึ้นอีกเลยเสียนาน นางถึงจากไปอย่างรวดเร็ว
“หลังจากไปถึงเกาะเซียนพระสุเมรุในวันพรุ่งนี้แล้ว ข้าจักช่วยเจ้าปลิดชีพหวนเฉ่าโหยว”
ภายในเรือน ซูอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ
เสวียนหนิงเอ่ยเสียงเบา “ท่านอาจารย์ ข้าได้ยินมานานว่าตระกูลหวนเผ่ามารมีอำนาจใหญ่โต เพียงพอให้ต่อกรกับราชวงศ์เซี่ย ถ้าเรื่องนี้จะนำพาเรื่องวุ่นวายให้ท่านมากมาย พวกเรา…”
ซูอี้ยิ้มจาง ๆ “เป็นอะไรไป เต่าน้อยอย่างเจ้าเห็นว่าพลังของข้าไม่ทัดเทียมในอดีต จึงคิดว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลหวนเผ่ามารอย่างนั้นหรือ”
เสวียนหนิงรีบส่ายหัว “ศิษย์มิกล้า ศิษย์แค่ไม่อยากให้ท่านอาจารย์ต้องมีปัญหาให้วุ่นวายเพียงเพราะตัวเอง”
“พอได้แล้ว เจ้าไปจัดการของกำนัลจากการต่อสู้ พวกเราค่อยคุยกันหลังกลับ”
ซูอี้สั่ง
“ขอรับ”
เสวียนหนิงปฏิบัติอย่างทะมัดทะแมง
ในไม่ช้า สองอาจารย์ศิษย์ก็พาเก๋อเฉียนผู้หมดสติออกจากที่นี่
หลังจากพวกเขาไปได้ไม่นาน เวิงจิ่วพาคนกลุ่มหนึ่งเดินหน้าเข้ามา
เมื่อเห็นฉากนองเลือดและซากปรักหักพังที่เกลื่อนอยู่ในจวน เวิงจิ่วถอนหายใจยาวอย่างอดไม่ได้ “คราวนี้ เท่ากับเปิดศึกกับตระกูลหวนเผ่ามารอย่างสมบูรณ์แล้วสินะ…”
คืนนั้น เวิงจิ่วกราบทูลทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้แด่จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาฉายแววเย็นยะเยือก “ออกโองการไป จากนี้ หากมีผู้แกร่งจากตระกูลหวนเผ่ามารเข้ามาในนครหลวงจิ๋วติ่ง ให้จับตาดูทันที ถ้าผู้แข็งแกร่งจากตระกูลหวนเผ่ามารบังอาจก่อเรื่องในเมืองนี้ ไม่ว่าด้วยสาเหตุใด ประหารได้เลยทุกกรณี!”
น้ำเสียงราบเรียบนั้นเจือแววสังหาร
เวิงจิ่วผงะ ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว “ฝ่าบาท หากทำเช่นนี้ น่ากลัวว่าเหตุการณ์จะดูเหมือนพวกเราประกาศศึกต่อตระกูลหวนนะพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยแค่นเสียงเย็น “ตระกูลหวนรู้ทั้งรู้ว่าราชวงศ์เซี่ยของเราคุ้มครองซูอี้อยู่ คืนนี้ยังกล้าลงมือในนครหลวงจิ๋วติ่ง เป็นการไม่ไว้หน้าราชวงศ์เซี่ยของเราชัด ๆ!”
เสียงนั้นฉายแววขุ่นเคือง
เว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง แววตาจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยเคร่งขรึมลง “เจ้าจงแจ้งโองการนี้ต่อตระกูลหวน หากพวกเขาไม่สนสิ่งใดและต้องการเปิดศึกจริง ๆ เช่นนั้นก็ทำสงครามกันเสีย!”
เวิงจิ่วเงียบไปเนิ่นนาน “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทีท่าของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยในเวลานี้ ทำให้เขาเชื่อเรื่องหนึ่งอย่างสนิทใจ นั่นก็คือ ในใจของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย ซูอี้สำคัญกว่าตระกูลหวนเผ่ามารมาก!
ยอมแลกด้วยทุกอย่างเพื่อเปิดศึกกับตระกูลหวน ก็ต้องคุ้มครองซูอี้!
…..
รัตติกาลมืดมนลงเรื่อย ๆ
แคว้นชาง
ภายในหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง ท่ามกลางตำหนักวังที่สร้างอยู่ตรงไหล่เขา มองเห็นได้อย่างเลือนรางท่ามกลางม่านหมอก
ภายในตำหนักหนึ่งในส่วนลึก
หวนเฉ่าโหยวแช่ตัวอยู่ในสระเลือดแห่งหนึ่ง
สระเลือดนั้นมีขนาดหลายจั้ง รอบ ๆ มีเสาสำริดอยู่สิบสองต้น ผิวเสาสลักลายอสูรดุร้ายสะท้านโลกาแตกต่างกันไป
ปี้อั้น หยาจื้อ ปี้ฟาง เจินโห่ว งูปาเสอ หงส์ทุนเทียนเชวี่ย…
ทั้งหมดสิบสองลวดลายด้วยกัน
และใต้ฐานเสาทุกต้นล้วนมีร่องอยู่ โลหิตแดงชาดไหลลงมาตามเสาสำริด ทะลักออกจากร่อง ค่อย ๆ ไหลลงสระเลือด
สระเลือดแห่งนี้มีม่านหมอกลอยคลุ้ง กลิ่นอายความสยองที่ต่างชั้นอย่างมากขจรขจาย
ที่นี่คือสระหล่อมาร
สถานที่สำคัญของตระกูลหวนเผ่ามาร
มีเพียงทายาทสายหลักแห่งตระกูลหวนซึ่งมี ‘สายเลือดที่แท้จริงของอสูรสวรรค์’ ถึงมีโอกาสฝึกฝนภายในสระหล่อมาร ดูดกลืนโลหิตมารปราณแท้!
ทันใดนั้น หวนเฉ่าโหยวเบิกตาโพลง
ซ่า!
โลหิตมารปราณแท้ภายในสระหล่อมารโถมทับใส่เขา ส่งผลให้ข้อเอ็นกระดูกที่เคยหักของเขา รวมถึงอวัยวะภายในที่บาดเจ็บคล้ายได้รับการก่อร่างใหม่อีกครั้ง เปล่งพลังชีวิตใหม่เอี่ยมออกมา!
และคล้อยตามโลหิตมารปราณแท้ที่ดูดกลืนเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ พลังในตัวหวนเฉ่าโหยวก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ น่าสะพรึงขึ้นเรื่อย ๆ!
เพียงไม่กี่อึดใจ โลหิตมารปราณแท้ก็ถูกดูดกลืนไปกว่าครึ่ง
“พอได้แล้ว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ต่อให้ในตัวเจ้ามีผนึก ก็ระงับพลังมหาศาลนี้ไม่ได้”
เสียงสูงวัยเสียงหนึ่งดังขึ้น
และได้เห็นผู้เฒ่าชุดขาวเท้าเปล่า ผอมจนเห็นกระดูก ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงคนหนึ่งปรากฏตัวกลางอากาศ
เขาไพล่มือไว้ด้านหลัง ก้มมองหวนเฉ่าโหยวในสระหล่อมาร เมื่อนัยน์ตาคู่นั้นลืมขึ้น ประหนึ่งมีทะเลเลือดภูเขาศพปรากฏในนั้น สยดสยองชวนขวัญผวา
หวนเฉ่าโหยวเลียปากอย่างยังไม่เต็มอิ่ม แล้วจึงยันตัวขึ้นจากสระหล่อมาร “ท่านปู่สาม ข้ารู้สึกได้ หลังจากพ่ายแพ้ในครานี้ กลับทำให้พลังวิถีของข้าได้รับการหล่อหลอมและวิวัฒนาการใหม่อีกครั้งในสระหล่อมารแห่งนี้ พลังและรากฐานของข้าแข็งแกร่งขึ้นกว่าเก่ามาก!”
เส้นผมสีม่วงของเขาปลิวไสว หน้าตาเปี่ยมด้วยขวัญกำลังใจ “หากข้าเต็มใจ ขอเพียงปลดผนึกในตัว ก็จะมีด่านเคราะห์บรรลุเกิดขึ้นทันที และก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้ในคราเดียว!”
ผู้เฒ่าชุดขาวเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “พลังในสระหล่อมารเกิดขึ้นโดยท่านตาของเจ้า ‘ราชันย์มารเทียนอวี้’ ความอัศจรรย์ของมันหาใช่สิ่งที่สระน้ำธรรมดาเทียบได้ ข้าถามเจ้าเพียงอย่างเดียว ด้วยพลังในตอนนี้ของเจ้า พอต่อกรกับซูอี้ผู้นั้นหรือไม่?”
หวนเฉ่าโหยวหรี่ตาลงเล็กน้อย เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าว “ขอเรียนท่านปู่ตามตรง ข้าในตอนนี้ ก็ยากจะบอกว่าชนะซูอี้ได้”
เว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวต่อ “ทว่า พลังของเขาในตอนนี้อยู่เพียงขอบเขตเปิดทวารเท่านั้น ขอแค่ข้าเข้าไปในเกาะเซียนพระสุเมรุ คว้าโอกาสวาสนาเพียงสักนิดมาอยู่ในมือ จนเพียงพอให้พิสูจน์ตัวเองในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ และบรรลุได้อย่างสมบูรณ์ ถึงเมื่อนั้น การเข่นฆ่าคนอย่างซูอี้ ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ!”
ผู้เฒ่าชุดขาวพยักหน้า “ซูอี้เป็นคนไม่ธรรมดาที่สะท้านโลกได้จริง ๆ ต่อให้เป็นกลุ่มวิถีปราชญ์เมื่อสามหมื่นปีก่อนก็ถือเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับยาก แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ยิ่งปล่อยให้เขามีโอกาสรอดไม่ได้”
นัยน์ตาหวนเฉ่าโหยวฉายแววอาฆาต “ท่านปู่สามโปรดวางใจ ข้ารู้ดีว่าหากซูอี้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ในภายหลัง ย่อมกลายเป็นหอกข้างแคร่ของพวกเราตระกูลหวน การไปยังเกาะเซียนพระสุเมรุในครานี้ ข้าจะทำลายเขาให้เป็นจุณ เพื่อล้างแค้นแทนท่านปู่สี่!”
ปู่สี่ของเขาก็คือหวนเทียนจ้ง หรือก็คือจิตดั้งเดิมขอบเขตสยายวิญญาณที่ถูกซูอี้สังหารเมื่อวาน ณ ชุมนุมมวลพฤกษา
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว พรุ่งนี้เจ้าต้องเดินทางไปยังเกาะเซียนพระสุเมรุ จงจำไว้ นำยันต์ลับของท่านตาของเจ้าไปด้วย ต่อให้เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้น มียันต์ลับนี้อยู่ ช่วยให้เจ้าฆ่าซูอี้ได้สบาย”
พูดจบ ผู้เฒ่าชุดขาวก็หมุนตัวจากไป “ไปเถิด อย่าให้ตระกูลหวนต้องขายหน้า และอย่าให้ผู้คนคิดว่าหลังจากผ่านพ้นการจองจำแห่งยุคมืดสามหมื่นปีมาได้ ตระกูลหวนของพวกเราหาได้เกรียงไกรดังเดิมไม่”
“ขอรับ!”
หวนเฉ่าโหยวสูดหายใจเข้าลึก หันหลังจากตำหนักนี้ไป
ทันทีที่เขากลับถึงสถานที่พำนักของตัวเอง ก็มีบ่าวชราผู้หนึ่งเข้ามารายงาน “นายน้อย พวกเราเพิ่งได้รับข่าวมาว่าปฏิบัติการจัดการเก๋อฉางหลิงผู้นั้นที่นครหลวงจิ๋วติ่งในคืนนี้ล้มเหลว”
หวนเฉ่าโหยวชะงัก สีหน้าอึมครึมลงทันที “มีขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอยู่ตั้งหลายคน กลับจัดการเก๋อฉางหลิงคนเดียวไม่ได้อย่างนั้นหรือ!?”
บ่าวชราก้มหน้า ไม่กล้ามองตาหวนเฉ่าโหยว “ได้ข่าวว่าซูอี้แทรกแซง และปลิดชีพเฮ่อฉางอิง ชุยเหิง ลี่หานมู่ เซียนหง ไป๋ซิวเยวียนห้าคน รวมถึงฐานทัพของเราที่ตั้งอยู่ในนครหลวงจิ๋วติ่งก็พินาศเช่นกัน บาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ มีเพียงฮูหยินรั่วเหวินที่โชคดีรอดชีวิตมาได้”
“ข่าวนี้ฮูหยินรั่วเหวินก็เป็นผู้ส่งกลับมา น่าจะ… เป็นเรื่องจริง”
เมื่อฟังจบ ตาของหวนเฉ่าโหยวก็กระตุก ดวงหน้าหล่อเหลากลายเป็นสีเขียว ย่ำแย่ถึงขีดสุด
ซูอี้!
เจ้าอีกแล้ว!!