บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 543 อาจารย์ศิษย์นั่งสนทนาถึงวันวาน
ตอนที่ 543: อาจารย์ศิษย์นั่งสนทนาถึงวันวาน
ตอนที่ 543: อาจารย์ศิษย์นั่งสนทนาถึงวันวาน
ดึกจนล่วงเลยเข้าอีกวันแล้ว สรรพสิ่งเงียบกริบ
นครหลวงจิ๋วติ่งที่เคยคึกคักในเวลากลางวัน ราวกับนิทราอยู่ท่ามกลางยามราตรี
ณ สวนน้อยนภาเมฆ
ซูอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย “เก๋อเฉียนรู้ภูมิหลังของเจ้าหรือไม่?”
เสวียนหนิงนั่งยอง ๆ อยู่ด้านข้าง “เรียนท่านอาจารย์ ข้าไม่เคยเล่าเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับภูมิหลังของตัวเอง ส่วนเรื่องสำนักของเรา เจ้านี่ยิ่งไม่มีทางรู้”
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาถึงเอ่ยต่อ “ทว่า ศิษย์ถือวิสาสะ ถ่ายทอดเคล็ดลับวิถีเต๋าบางอย่างให้เก๋อเฉียน…”
ซูอี้โบกมือ “เรื่องนี้นับว่าเล็กน้อย ในเมื่อเก๋อเฉียนถูกใจเจ้าได้ ถือเป็นวาสนาของเขา”
เสวียนหนิงครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ศิษย์ไม่ขอปิดบังท่านอาจารย์ แม้นิสัยของเก๋อเฉียนจะระมัดระวังเกินไป กระนั้นเขาก็เป็นผู้มีจิตใจลุ่มลึกที่สุดคนหนึ่งที่ศิษย์เคยพบ เมื่อครั้งข้าเพิ่งมาถึงมหาทวีปคังชิง เหลือเพียงเศษซากจิตดั้งเดิมนี้ กังวลว่าหากประสบเคราะห์ร้ายในภายภาคหน้า วิชาของตนเองคงไร้ผู้สืบทอด จึงเลือกเก๋อเฉียนเป็นผู้รับสืบสาน”
ซูอี้ชำเลืองเสวียนหนิง “เจ้ามาถึงมหาทวีปคังชิงตั้งแต่เมื่อใด แล้วมาอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร”
นี่คือสิ่งที่เขาสงสัยที่สุด
เมื่อครั้งเขาเกิดใหม่ฝึกฝนวิถีดาบอีกครา โดยเริ่มจากเข้าไปในภพภูมิมืดมิด ยืมพลังแห่งการเวียนว่ายตายเกิด และได้พบประสบการณ์สะท้านปฐพี ‘ได้รับชีวิตใหม่’ ที่มหาทวีปคังชิง
ทว่าศิษย์คนที่เจ็ดของเขาผู้นี้ก็มาปรากฏตัวที่มหาทวีปคังชิงเช่นกัน! เรื่องนี้ทำเอาซูอี้ประหลาดใจไม่น้อย
อย่างไรเสีย กระทั่งเสวียนหนิงยังข้ามโลกมาได้ ศิษย์คนอื่น ๆ มีหรือจะทำไม่ได้?
“เรียนท่านอาจารย์ เมื่อครั้งท่าน ‘หายตัว’ ไปจากเก้ามหาแดนดิน ทุกคนก็เข้าใจว่าท่านวายชนม์ขณะเสาะหาวิถีเต๋าระดับสูง แม้แต่ศิษย์อย่างเรายังคิดว่า ท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว…”
เสวียนหนิงมีสีหน้าเลื่อนลอย ราวกับหวนนึกถึงภาพจลาจลในอดีต
“เรื่องเหล่านี้ข้าทราบดี ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง”
สายตาซูอี้ฉายหลากหลายอารมณ์ เสียงของเขาทุ้มต่ำ “ครานั้น ข้าได้เห็นงานระลึก ‘การตายเจ็ดวัน’ ของข้าที่ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า ผีหมัว กับศิษย์น้องเล็กของเจ้าจัดให้ และได้เห็น… ภาพน่าสนใจจำนวนหนึ่ง”
ในภาพเหล่านั้น…
ศิษย์คนโตผีหมัว ซ่องสุมพรรคพวกกับผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักหกมหาวิถี บุกเข้าไปใน ‘ถ้ำเสวียนจวิน’ เพียงเพื่อแย่งชิงมรดกของเขาซูเสวียนจวินที่ทิ้งไว้หลังจากไป
พญาปักษาปีกทองที่เคยปรนนิบัติฝึกฝนอยู่ข้างกายตัวเอง ได้ช่วงชิงเตาหลอมสวรรค์ของเขาไปท่ามกลางความอลหม่าน
ศิษย์คนที่สามฮั่วเหยา ขโมยสมบัติพิทักษ์ ‘ถ้ำเสวียนจวิน’ ไป
ลูกศิษย์คนสุดท้อง ชิงถัง ผู้ที่เขารักเอ็นดูมากที่สุด เฝ้าอยู่ในพิธีถึงเจ็ดวัน ทว่าท้ายสุดแล้วนางทำเพื่อให้ได้ดาบเก้าคุมขังมาในครอบครอง รวมถึงมรดกทุกอย่างที่เขาซูเสวียนจวินเหลือไว้
เวลานั้น ถ้ำเสวียนจวินวินาศสันตะโร เปิดศึกกันสะท้านโลกา
ส่วนชิงถังก็เผยพลังวิถีดาบทรงพลัง สยบความอลหม่านนี้ได้ในคราเดียว ได้รับการเทิดทูนให้เป็น ‘จักรพรรดินีชิงถัง’ ขึ้นเป็นใหญ่ในเก้ามหาดินแดน
และตอนนั้นเอง ซูอี้ถึงรู้ว่าศิษย์คนสุดท้องที่ตัวเองรักใคร่เอ็นดูที่สุด กลับปิดบังความสามารถที่แท้จริงกับตัวเองมาตลอด…
“ท่านอาจารย์ ก่อนที่ท่านจะ ‘หายตัว’ ไปอย่างเร้นลับได้จัดแจงให้พวกเราศิษย์ทั้งเก้าแยกย้ายกันออกจากถ้ำเสวียนจวิน หรือเวลานั้น ท่านได้ตัดสินใจ… ฝึกฝนวิถีเต๋าครั้งใหม่แล้วหรือ?”
เสวียนหนิงถามอย่างอดไม่ได้
ซูอี้พยักหน้า “ถูกต้อง เมื่อครั้งข้ายังอยู่ ยังข่มเหล่าศัตรูตัวฉกาจในปฐพีได้ พวกเขาทำได้เพียงกล้ำกลืน มิกล้าสร้างเรื่องวุ่นวาย แต่หากพวกเขารู้ว่าข้าจากไปแล้ว มีหรือที่ศัตรูเหล่านั้นจะยอมนิ่งดูดาย”
เขาหันมองเสวียนหนิง “เพราะเหตุนั้น ก่อนข้าไป จึงจัดแจงทางหนีทีไล่ให้พวกเจ้าไว้แล้ว ส่วนถ้ำเสวียนจวิน ข้าได้ตั้งค่ายกลพิฆาตครอบไว้ หากศัตรูพวกนั้นกล้าบุกเข้ามา ไม่ตายก็สาหัส”
พูดมาถึงนี่ สีหน้าเขาฉายแววหม่นหมอง น้ำเสียงอาดูร “แต่ข้าไม่คิดเลย การจัดแจงทุกอย่างกลับถูกศิษย์ของตัวเองทำลาย…”
“ท่านอาจารย์ ในครานั้น ข้าเชื่อฟังคำสั่งของท่าน เดินทางไปฟังคำเทศน์ ณ แดนบูรพาน้อย และได้รู้ในภายหลังว่าถ้ำเสวียนจวินเกิดเหตุการณ์วินาศสันตะโร หลังจากเหตุการณ์นั้น ศิษย์น้องเล็กเป็นผู้ปกครองถ้ำเสวียนจวิน ได้กลายเป็นใหญ่ในเก้ามหาดินแดน”
เสวียนหนิงเอ่ยเสียงเข้ม “ส่วนศิษย์พี่ใหญ่ประกาศต่อคนภายนอกว่า ในเมื่อท่านอาจารย์ไม่อยู่แล้ว มรดกที่เหลืออยู่ย่อมตกเป็นของพวกเราเหล่าศิษย์… โดยแบ่งคนละเท่า ๆ กัน ห้ามมิให้ศิษย์น้องเล็กได้ไปคนเดียวเด็ดขาด”
“นอกจากนั้น ศิษย์พี่ใหญ่ยังร่วมมือกับสำนักหกมหาวิถีแห่งเก้ามหาดินแดน ก่อตั้ง ‘พันธมิตรเสวียนจวิน’ ในนามของท่านอาจารย์ สาบานว่าจะชิงถ้ำเสวียนจวินกลับมา และลงโทษศิษย์น้องเล็กให้หนัก”
“ตอนนั้นศิษย์พี่ใหญ่ออกไปตามหาศิษย์พี่คนอื่น ๆ อีกด้วย เพราะหวังให้ศิษย์พี่เหล่านี้ช่วยสนับสนุนเขา ร่วมต่อกรกับศิษย์น้องเล็ก”
“ทว่า ท้ายที่สุดแล้วมีเพียงศิษย์พี่สามฮั่วเหยา ศิษย์พี่สี่ผอซัว ศิษย์พี่หกเย่ลั่วสามคนที่รับปาก และร่วมเข้าสมาพันธ์กับศิษย์พี่ใหญ่”
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ ซูอี้คลี่ยิ้มเย็นอย่างอดไม่ได้ “เจ้าศิษย์เนรคุณผีหมัวใจกล้านัก คิดว่าข้าตายไปแล้ว ก็สามารถก่อตั้งพันธมิตรโดยอ้างนามข้า ทำทุกอย่างตามอำเภอใจอย่างนั้นหรือ?”
เสวียนหนิงเอ่ยเสียงเบา “ท่านอาจารย์ เรื่องราวเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องที่ศิษย์ได้ยินมาอีกที ความจริงอาจมีเหตุผลที่ต่างออกไปเรามิอาจล่วงรู้”
“เหตุผลที่ต่างออกไป?”
นัยน์ตาของซูอี้สั่นระริก “ข้าหวังอย่างยิ่งว่ามีเหตุผลที่ต่างออกไปจริง ๆ เมื่อข้าได้กลับไปยังเก้ามหาดินแดนอีกครั้ง ย่อมต้องถามพวกเขาต่อหน้า ดูว่าพวกเขาจะให้คำตอบข้าอย่างไร”
น้ำเสียงของเขาเรื่อยเปื่อย ทว่าน้ำเสียงนั้นแฝงความหนาวเหน็บที่ทิ่มแทงสู่ขั้วหัวใจ
พูดมาถึงนี่ เขาทอดสายตามองเสวียนหนิง “ผีหมัวคงติดต่อเจ้ามาแล้วใช่หรือไม่”
เสวียนหนิงใจหายวาบ เขาตอบเสียงเบา “เรียนท่านอาจารย์ ไม่ใช่แค่ศิษย์พี่ใหญ่เคยติดต่อข้า ศิษย์น้องเล็กก็เคยส่งสารมา หวังให้ศิษย์ไปช่วยพวกเขา ทว่าศิษย์ปฏิเสธไปหมด หนึ่งเพราะไม่รู้ความจริงที่ซ่อนอยู่ สองคือในใจของศิษย์ ไม่เคยคิดว่าท่านอาจารย์จากโลกนี้ไปแล้ว”
ซูอี้ยิ้ม “เล่ามาสิ เจ้ามาที่มหาทวีปคังชิงได้อย่างไร”
เสวียนหนิงรวบรวมคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง “ในตอนนั้น ท่านอาจารย์จัดแจงให้ข้าคอยติดตามฟังเทศน์ ณ แดนบูรพาน้อย หลังจากทราบข่าวว่าเกิดเรื่องกับท่านอาจารย์ ศิษย์ก็เคยร้อนใจ อยากสืบเสาะที่มาที่ไปของเรื่องราว”
“ทว่าหลวงจีนเยี่ยนซินหยุดข้าไว้ โดยกล่าวว่าท่านอาจารย์หายไปจากโลกนี้ ย่อมก่อให้เกิดความโกลาหลในเก้ามหาดินแดนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในฐานะผู้สืบทอดของท่านอาจารย์ ศิษย์ต้องเข้าไปพัวพันในความวุ่นวายนี้อย่างแน่นอน”
“แต่ไฉนศิษย์ต้องสนเรื่องพวกนี้ด้วยเล่า ศิษย์ยืนกรานจะไปจากแดนบูรพาน้อย เพื่อไปตามหาความจริง หลวงจีนเยี่ยนซินเห็นดังนั้น จึงบอกศิษย์ว่าด้วยพลังและความเกรียงไกรของท่านอาจารย์ ต่อให้พานพบกับเคราะห์ร้ายจนตัวตาย ก็ย่อมต้องวางแผนไว้แล้วล่วงหน้า ดั่งที่ท่านอาจารย์จัดแจงให้ศิษย์ฝึกฝนอยู่ข้างกายเขา ย่อมเป็นแผนที่ท่านอาจารย์คาดการณ์ไว้แต่แรก”
ซูอี้พยักหน้าพลางกล่าว “ด้วยปัญญาของหลวงจีนเฒ่าเยี่ยนซิน ย่อมมองเรื่องนี้ออก”
เสวียนหนิงกล่าว “แต่เวลานั้นศิษย์ไม่อาจมองเห็นความจริง เป็นห่วงเป็นใยจนสับสน คำพูดเหล่านี้ไม่เข้าหูเลยสักนิด ท้ายสุดหลวงจีนเยี่ยนซินจนปัญญา จึงชี้ทางให้ศิษย์”
“ทางใด”
ซูอี้มีท่าทีสนใจ
“หลวงจีนเยี่ยนซินคิดว่าท่านอาจารย์มีสติปัญญาเหนือปุถุชน ฝีมือดาบเหนือปวงชนในเก้ามหาดินแดน แม้เป็นใหญ่ในใต้หล้า ไร้ผู้ใดทัดเทียม ทว่าวิถีเต๋าของตัวเองกลับติดชะงักที่ขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์ ไม่พบวิถีเต๋าที่สูงขึ้นไปเสียที ที่คราวนี้จากโลกไปกะทันหัน เป็นไปได้สูงว่าเพื่อค้นหาวิถีเต๋าที่สูงส่งยิ่งขึ้น”
เสวียนหนิงเอ่ย “แต่หลวงจีนเยี่ยนซินมองว่า ท่านอาจารย์ต้องการแก้ปัญหานี้ เหลือเพียงสองทางเลือก หนึ่งคือเสี่ยงชีวิตทะยานขึ้นไปบนจักรวาล ค้นคว้าเขตหวงห้าม”
“สองคือค้นหาจากวิถีเต๋าของตัวเอง ค้นหาคำตอบจากการเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่”
“ท้ายที่สุด หลวงจีนเยี่ยนซินเดาว่า ด้วยนิสัยของท่านอาจารย์ หากต้องการทะยานขึ้นจักรวาลเพื่อค้นคว้าเขตหวงห้าม คงทำได้นานแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอถึงตอนนี้ เขาจึงสงสัยว่าท่านอาจารย์น่าจะมุ่งหน้าไปที่ภูมิมืดมิด เพื่อค้นหาเส้นทางเวียนว่ายตายเกิดในตำนาน”
ได้ยินดังนั้น ซูอี้ก็เลิกคิ้ว และอุทานออกมาอย่างอดไม่ได้ “หลวงจีนเฒ่าเยี่ยนซินรู้จักข้าดีจริง ๆ”
เสวียนหนิงเอ่ย “ด้วยเส้นทางนี้ที่หลวงจีนเยี่ยนซินชี้ให้ศิษย์ ทำให้ศิษย์เลือกมุ่งหน้าไปยังภูมิมืดมิด”
จากที่เสวียนหนิงพูดมา หลังจากเขาไปถึงภูมิมืดมิด ก็ได้พบอุปสรรคมากมายเช่นกัน ตรากตรำค้นหาอยู่หลายร้อยปี ถึงพบเบาะแส
เขาได้พบตัวตนขอบเขตจักรพรรดินามว่า ‘นักบวชหกวิถีตระกูลชุย’!
“ชุยหลงเซี่ยงหรือ?”
ซูอี้เริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“ที่แท้ท่านอาจารย์รู้จักกับเขาจริง ๆ”
เสวียนหนิงมีท่าทางกระจ่างแจ้ง
“เขาคือผู้อาวุโสสูงศักดิ์แห่งตระกูลชุย มีสมญานามว่า ‘ยมราชพิพากษา’ ในภูมิมืดมิด เขาเป็นคนระดับตำนานแห่งภูมิมืดมิดมาช้านาน ถือเป็นหนึ่งใน ‘หกผู้ยิ่งใหญ่แห่งภูมิมืดมิด’ เลยทีเดียว”
นัยน์ตาซูอี้ฉายแววระลึกวันเก่า “ในภูมิมืดมิด ผู้ที่ล่วงรู้ความลับของการเวียนว่ายตายเกิดน้อยยิ่งกว่าน้อย ชุยหลงเซี่ยงคือหนึ่งในนั้น เมื่อนานมาแล้ว ข้าเคยสนทนาเต๋ากับเขาหลายครา มีเขาคอยช่วยเจ้า ข้าไม่แปลกใจเท่าใด เพียงแต่…”
เขาขมวดคิ้วนิดหน่อย หันมองเสวียนหนิง “ต่อให้เป็นพลังของเขา ก็ไม่มีทางล่วงรู้ว่าข้าไปเกิดใหม่ที่ใด แล้วเจ้าหาตัวข้าพบได้อย่างไร”
เสวียนหนิงเอ่ยเสียงเบา “โชคดีที่มี ‘ดาบยุทธ์เที่ยง’ ที่ท่านอาจารย์เคยหลอมไว้ให้ศิษย์ ดาบเล่มนี้มีแก่นเลือดของท่านอาจารย์ ผู้อาวุโสชุยหลงเซี่ยงใช้วิชาลับสัมผัสญาณ ช่วยให้ศิษย์ได้รับรู้สัญญาณอันเลือนราง”
ซูอี้ถึงบางอ้อ
ดาบยุทธ์เที่ยงคือดาบประจำตัวที่เขาหลอมให้เสวียนหนิง
ครานั้น เพื่อยกระดับของดาบเล่มนี้ ซูอี้เคยนั่งอยู่อย่างนั้นถึงเก้าวันเก้าคืน ใช้แก่นเลือดเป็นตัวนำ หล่อเลี้ยงดาบเล่มนี้ไม่หยุดหย่อน ท้ายที่สุด ดาบเล่มนี้ก็ทรงพลังสะท้านโลกา เผย ‘ความเกรียงไกรดุจภูผาค้ำนภา ดุดันดั่งทางช้างเผือกโถมทับออกไปสิบทิศ’ ออกมา!
ยุทธ์เที่ยง คือชื่อที่ซูอี้ตั้งให้ดาบเล่มนี้
เพียงแต่ซูอี้คิดไม่ถึงว่าตาแก่ชุยหลงเซี่ยงจะทำนายความลับสวรรค์นี้จากพลังของดาบเล่มนี้ได้!
เสวียนหนิงเอ่ยต่อ “หลังจากนั้น ผู้อาวุโสชุยหลงเซี่ยงลงมือ ใช้ ‘พฤกษาหมื่นแดน’ ซึ่งเป็นสถานที่ประจำตระกูลชุย ช่วยศิษย์เปิดเส้นทางเชื่อมต่อโลก ศิษย์ถึงมาเยือนมหาทวีปคังชิงได้ในที่สุด ด้วยสัญญาณที่สัมผัสได้จากดาบยุทธ์เที่ยงนี้”
หน้าตาเขาฉายแววหวาดผวา “เพียงแต่ศิษย์นึกไม่ถึงเลย ระหว่างทางข้ามโลกจะโหดเหี้ยมสยดสยองถึงปานนั้น เต็มไปด้วยความพิศวงภยันตรายที่น่าเหลือเชื่อ ถึงแม้สุดท้ายแล้วศิษย์จะมาถึงมหาทวีปคังชิงได้ในที่สุด แต่กายเนื้อถูกพายุมิติทำลายทิ้งจนสิ้น กระทั่งจิตดั้งเดิมก็ได้รับบาดเจ็บหนักจนแทบฟื้นตัวไม่ได้…..”
พูดมาถึงตอนท้าย เสียงของเสวียนหนิงเจือความขมขื่นจนใจอย่างมาก