บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 544 ใช้หินจากภูเขาลูกอื่น ขัดเกลาหยกของตัวเอง
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 544 ใช้หินจากภูเขาลูกอื่น ขัดเกลาหยกของตัวเอง
ตอนที่ 544: ใช้หินจากภูเขาลูกอื่น ขัดเกลาหยกของตัวเอง
ตอนที่ 544: ใช้หินจากภูเขาลูกอื่น ขัดเกลาหยกของตัวเอง
“แต่ทว่า”
เสวียนหนิงเงยหน้าขึ้นมอง ความขมขื่นและความจนใจบนใบหน้าชะล้างออกไปด้วยรอยยิ้มจากใจ “ตอนนี้ได้พบกับท่านอาจารย์อีกครั้ง ศิษย์รู้สึกว่าคุ้มค่ายิ่ง!”
เขาอดไม่ได้ที่จะมีความสุข
เมื่อห้าร้อยปีก่อน เก้ามหาดินแดนเชื่อกันหมดว่าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้มีวิชาดาบเทียมฟ้า เป็นใหญ่ในเก้ามหาดินแดนประสบเคราะห์ร้ายเพราะไขว่คว้าวิถีเต๋า และจบสิ้นลง
ใต้หล้าจึงตกอยู่ในความโกลาหล
กลุ่มเต๋าชั้นนําทั้งหลายพากันแทรกแซง ปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของโลกเสียใหม่
แม้แต่ภายในสำนักของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินก็มีความขัดแย้งภายใน เหล่าศิษย์หันมาบาดหมางกันเอง
นับเป็นช่วงเวลาที่นองเลือดปั่นป่วนอย่างมาก
สําหรับเสวียนหนิง นั่นเป็นช่วงเวลาที่โดดเดี่ยวและหดหู่ที่สุด
แต่ในเวลานี้ เมื่อเขาเห็นว่าท่านอาจารย์ของเขายังมีชีวิตอยู่ ก็เปรียบเสมือนได้เจอแสงสว่างอีกครั้งท่ามกลางความมืดมิด พอจินตนาการได้ว่าเขาจะตื้นตันและปีติในใจเพียงใด
“มีแต่เต่าตัวน้อยหัวดื้ออย่างเจ้าเท่านั้นกระมัง ที่มาหาข้าโดยไม่สนว่าจะเป็นหรือตาย”
ซูอี้ถอนหายใจ
ในบรรดาศิษย์ทั้งเก้าของเขา
เสวียนหนิงผู้เป็นทายาทของเต่าสัตว์ร้ายบรรพกาล เป็นคนที่นิสัยดื้อรั้นที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
บางทีมีเพียงนิสัยเช่นนี้เท่านั้น ที่ทําให้เสวียนหนิงยอมท่องไปในภูมิมืดมิดเป็นเวลาหลายร้อยปีเพื่อเสาะหาตำแหน่งของตัวเอง
และทำให้เขารู้ทั้งรู้ว่าความหวังนั้นริบหรี่ แต่ยังคงเด็ดเดี่ยวมาดมั่น
ซูอี้สงบจิตใจ จากนั้นจึงเอ่ยอย่างใช้ความคิด “เมื่อครั้งชุยหลงเซี่ยงช่วยเหลือเจ้า ได้บอกสิ่งใดไว้หรือไม่”
เขารู้สึกผิดปกตินิดหน่อย
‘ยมราชพิพากษา’ อย่างชุยหลงเซี่ยงนิสัยเถรตรงทระนง ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเขาไม่นับว่าชิดเชื้อเท่าใด และเมื่อครั้งอดีต ตาเฒ่านี่เคยคับแค้นใจเพราะแพ้ให้กับตัวเองในการสนทนาเต๋ากันอยู่หลายครั้ง
แต่การช่วยเหลือเสวียนหนิง ชุยหลงเซี่ยงกลับดูเต็มใจยิ่ง กระทั่งยอมเปิดใช้พฤกษาหมื่นแดนซึ่งเป็นสถานที่ของตระกูลชุย จนซูอี้เองอดแปลกใจไม่ได้
นัยน์ตาของเสวียนหนิงฉายแววสงสัย “ครานั้น ผู้อาวุโสชุยหลงเซี่ยงแค่บอกว่าหากศิษย์ได้พบท่านอาจารย์จริง ๆ ช่วยถามให้เขาหน่อยว่า จิตสำนึกของท่านอาจารย์… ปวดร้าวบ้างหรือไม่”
ซูอี้ “…”
เขาใคร่ครวญอยู่นาน ขมวดคิ้วมุ่นพลางกล่าว “เหมือนว่าข้าไม่เคยกระทำสิ่งใดที่เป็นการล่วงเกินตระกูลชุยของเขา เมื่อครั้งยังอยู่ที่ภูมิมืดมิด ก็ไม่เคยข้องแวะกับผู้ใดในตระกูลชุย เขาว่าเช่นนี้… หมายความว่าอย่างไร”
เสวียนหนิงส่ายหัว “ศิษย์เองก็ไม่ทราบ”
หรือว่า…
เกี่ยวข้องกับเย่น้อย?
ซูอี้เงียบไป ในภูมิมืดมิด มีเพียงคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกผิด
นั่นก็คือเย่อวี๋
จักรพรรดินีคนแรกในประวัติศาสตร์ของ ‘เผ่าปีศาจงู’ ซึ่งเป็นหนึ่งในเก้าเผ่าใหญ่
ร่างอรชรนั้นปรากฏขึ้นในหัวอีกครั้ง คิ้วตาโค้งมน สวมมงกุฎบนหัว คลุมเสื้อคลุมขนกระเรียน มือถือตะเกียงบงกชเจิดจ้าใสสกาว
“ซูเสวียนจวิน อย่างไรข้าก็จะรอเจ้ากลับมา ให้รอทั้งชีวิตก็ไม่เป็นไร”
เสียงอ่อนโยนทว่าแน่วแน่นั้น ประหนึ่งตราประทับที่ไม่อาจลบเลือน จนซูอี้นึกขึ้นในเวลานี้ ความรู้สึกผิดในใจก็ยังไม่จางหายไป
ซูอี้ถอนหายใจ หยิบน้ำเต้าสุราออกมาดื่มอึกหนึ่ง “เต่าน้อย หลังจากนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องในอดีตอีกแล้ว ประเดี๋ยวได้กลับเก้ามหาดินแดนเมื่อใด ข้าจะไปจบด้วยตัวเอง”
เสวียนหนิงพยักหน้า
เขาดูออกว่าท่านอาจารย์เริ่มมีรู้สึกหม่นหมอง
“ถึงแม้อาการบาดเจ็บของเจ้าในตอนนี้จะยังสาหัสอยู่ แต่ใช่ว่าฟื้นฟูไม่ได้ ต่อให้กายเนื้อหรือร่างเต๋าถูกทำลาย ข้าก็ช่วยสร้างใหม่ให้เจ้าได้”
ซูอี้หันมองเสวียนหนิง
ในอดีต ก่อนเขามาเกิดใหม่ พลังของเสวียนหนิงอยู่ที่ขั้นหยั่งเห็นลึกล้ำ ซึ่งเป็นขั้นแรกของขอบเขตจักรพรรดิแล้ว
แต่ตอนนี้ ร่างเต๋าของเสวียนหนิงถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิง กระทั่งจิตดั้งเดิมยังเหลือแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น ซ้ำยังบาดเจ็บหนัก
เกือบจะเทียบเท่ากับการทำลายวิถีเต๋าของเสวียนหนิงโดยสิ้นเชิง!
อาการบาดเจ็บเช่นนี้ หากต้องการฟื้นฟูถือว่าง่าย แต่เป็นการยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ หากต้องการฟื้นฟูวิถีเต๋าของเสวียนหนิงจนกลับไปอยู่ระดับดังเดิม!
ถ้าเป็นซูอี้ในจุดสูงสุดของชาติก่อน ยังต้องใช้ความพยายามและแรงกายแรงใจอย่างมาก เพื่อช่วยให้เสวียนหนิงฟื้นพลังกลับไปอยู่ในระดับเดิม
สำหรับตอนนี้…
ต่อให้ซูอี้มีวิธีฟื้นฟู ก็เป็นดั่งรู้วิธีหุงข้าวโดยไม่มีข้าว
ช่วยไม่ได้ พลังของเขาในตอนนี้เพิ่งจะอยู่แค่ขอบเขตเปิดทวารเท่านั้น
และในมหาทวีปคังชิงนี้ หากต้องการหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยฟื้นพลังให้คนขอบเขตจักรพรรดิก็ยังเป็นเรื่องยากมาก
อย่างไรก็ตาม ซูอี้ยังมีแผนอื่น
เสวียนหนิงคลี่ยิ้ม “ท่านอาจารย์ ศิษย์ไม่หวังให้พลังกลับคืนสู่ระดับเดิมแล้ว ตราบใดที่สามารถมีชีวิตอยู่รับใช้เคียงข้างท่านอาจารย์ได้ ศิษย์ก็พอใจแล้ว”
มีหรือที่เขาจะไม่รู้ หากต้องการฟื้นฟูบาดแผลของตัวเอง และฟื้นพลังคืนกลับไปดังเดิมนั้นยากเย็นเพียงใด
ซูอี้หัวเราะ “สภาพอย่างเจ้าคอยอยู่รับใช้ข้าแบบนี้ ใครมาเห็นเข้ารังแต่จะดูว่าข้าไร้ความสามารถเกินไป”
เขาเว้นจังหวะ ก่อนจะเอ่ยด้วยแววตาลึกล้ำ พร้อมกล่าว “ข้าในตอนนี้ ไม่สามารถช่วยฟื้นพลังของเจ้าให้กลับไปดังเดิมได้จริง ๆ แต่ข้าช่วยเลือกเส้นทางอื่นให้เจ้าได้ เจ้าอยากลองหรือไม่”
เสวียนหนิงกระตือรือร้นขึ้นมา “ท่านอาจารย์โปรดชี้แนะด้วย”
“เก่าไม่ไป ใหม่ไม่มา ทำลายสิ้นแล้วสร้างใหม่”
ซูอี้กล่าว “ละทิ้งวิถีในอดีต สร้างหนทางขึ้นใหม่”
ดวงตาของเสวียนหนิงเป็นประกาย ก่อนจะหม่นหมองลง “ท่านอาจารย์ ร่างเต๋าของข้าถูกทำลายไปแล้ว จิตดั้งเดิมบาดเจ็บเสียหายอย่างรุนแรง มีโอกาสสร้างใหม่เสียที่ไหน”
ซูอี้เอ่ยอย่างมีความนัย “จำภูมิหลังของฮั่วเหยา ศิษย์พี่สามของเจ้าได้หรือไม่”
เสวียนหนิงตอบ “ศิษย์ย่อมจำได้ เมื่อครั้งศิษย์พี่สามถือกำเนิด ก็ถูกผนึกไว้ในครรภ์อสูร หล่อเลี้ยงที่แหล่งกำเนิดไฟ ครั้งนั้นท่านอาจารย์เป็นผู้พาศิษย์พี่สามกลับจากแหล่งกำเนิดไฟมายังสำนัก”
เมื่อพูดมาถึงนี่ เสวียนหนิงก็ผงะไป ราวกับเข้าใจ “ท่านอาจารย์หมายความว่า ให้ศิษย์เข้าไปฝึกฝนใหม่อีกครั้งในครรภ์อสูรอย่างนั้นหรือ”
ซูอี้พยักหน้า “ถูกต้อง”
เสวียนหนิงสูดหายใจเข้าลึก “นี่นับเป็นหนทางหนึ่งจริง ๆ เพียงแต่… เท่าที่ศิษย์ทราบ การจะสร้างครรภ์อสูร นับเป็นเรื่องยากเข็ญไม่แพ้กัน…”
ครรภ์อสูร มีเพียงผู้ยิ่งใหญ่วิถีปีศาจเท่านั้นจึงจะสร้างได้ ซ้ำยังยุ่งยากยิ่ง
เพราะจำเป็นต้องเสาะหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นามว่า ‘ไขกระดูกต้นกำเนิดอสูรสวรรค์’ เพื่อนำมาเป็นหัวใจครรภ์ ก่อนจะผนึกด้วยวิชาลับ หล่อเลี้ยงอยู่ในแหล่งพลังของฟ้าดินผืนหนึ่ง
เช่นนี้ ปัญญาและพลังชีวิตภายในครรภ์มารจึงจะได้รับการหล่อเลี้ยง และเปลี่ยนแปลงไป
ส่วนของล้ำค่าอย่างครรภ์มาร ต่อให้เป็นที่เก้ามหาดินแดนก็นับว่าหาได้ยาก!
ซูอี้สะบัดแขนเสื้อ หีบสัมฤทธิ์ใบหนึ่งปรากฏออกมากลางอากาศ
“ภายในหีบสัมฤทธิ์นี้ มีครรภ์มารผนึกอยู่”
ซูอี้บอกเสียงเบา
เมื่อครั้งงานชุมนุมหลิงชวีที่เมืองหลิงชวี ซูอี้ทำลายแผนชั่วของพรรคมารหยินได้ในคราเดียว และกำราบครรภ์มารนี้ที่มาจากพรรคมารหยินได้
เพียงแต่ สำหรับซูอี้ในตอนนั้น ครรภ์มารนี้ไร้ซึ่งประโยชน์ใช้สอย เขาจึงผนึกด้วยบัญญัติผนึกวิญญาณ และโยนทิ้งไว้ในจี้หยกหอยหิมะ
ขณะที่พูด ซูอี้เปิดหีบสัมฤทธิ์ออก เผยให้เห็นครรภ์มารซึ่งสร้างขึ้นด้วย ‘ไขกระดูกต้นกำเนิดอสูรสวรรค์’ ถูกปกคลุมด้วยผนึกหลายชั้น นิ่งสนิทไม่ไหวติง
เสวียนหนิงพลันตกตะลึง สายตามองจ้องครรภ์มารโดยไม่รู้ตัว
พอเห็นได้ราง ๆ ว่าภายในครรภ์มารมีร่างวิญญาณเลือนรางคล้ายไม่ใช่ความจริงอยู่ภายในนั้น ดูไม่ออกเลยว่ามีรูปลักษณ์อย่างไร
ราวกับรับรู้ถึงการจ้องมองจากเสวียนหนิง ครรภ์มารจึงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พลังผนึกที่เปลือกผิวเปล่งประกาย พลังอันเร้นลับกระเพื่อมสั่นไหว
ซูอี้พูดอย่างไม่ใส่ใจนัก “แม้ข้าไม่รู้ที่มาที่ไปของสิ่งมีชีวิตภายในครรภ์มาร แต่พลังของมันน่าทึ่งยิ่ง หากไม่ใช่ว่ามีพลังผนึกคอยสะกด น่ากลัวว่าทะลุเปลือกออกมาได้นานแล้ว ถ้าข้าประเมินไม่ผิด มีโอกาสสูงที่สิ่งมีชีวิตนี้จะมีพลังในขั้นวิถีวิญญาณอยู่แล้ว”
เสวียนหนิงเต็มตื้นจนไม่อาจปกปิดได้ “ท่านอาจารย์จะให้ศิษย์ ‘ยึดครองรังผู้อื่น’ อย่างนั้นหรือ”
ซูอี้พูดอย่างไม่พอใจ “ยึดครองรังผู้อื่นอะไรกัน นั่นมันวิธีการของพวกมารนอกรีต อย่างเราเรียกว่าใช้หินจากภูเขาลูกอื่น ขัดเกลาหยกของตัวเอง”
เสวียนหนิงมีสีหน้าละอายทันที พลางกล่าว “ท่านอาจารย์พูดถูกยิ่ง”
ซูอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เมื่อมีครรภ์มารนี้แล้ว ถึงแม้ช่วยสร้างร่างใหม่ให้เจ้าได้ แต่ก็หมายความว่าหลังจากนี้ไป เจ้าต้องฝึกฝนวิถีเต๋าใหม่อีกครั้ง เจ้ายินดีหรือไม่”
การฝึกฝนวิถีเต๋าใหม่ในครรภ์มาร ได้ผลคล้ายกับการเกิดใหม่เพื่อฝึกฝน
ความแตกต่างมากที่สุดคือ สิ่งมีชีวิตในครรภ์มารมิได้เกิดใหม่แต่อย่างใด
เสวียนหนิงเอ่ยด้วยท่าทางหนักแน่น “ครานั้น ท่านอาจารย์เป็นใหญ่ในปฐพีเก้ามหาดินแดนแล้ว แต่เพื่อแสวงหาวิถีเต๋าที่สูงส่งขึ้น ยังไม่ลังเลที่จะเกิดใหม่เพื่อฝึกฝนอีกครั้ง แม้ว่าความห้าวหาญของศิษย์นั้นเทียบไม่ได้กับท่านอาจารย์ แต่ศิษย์ยินดีปฏิบัติตามรอยเท้าของท่านอาจารย์ ฝีกฝนวิถีเต๋าร่วมกับท่านอาจารย์ใหม่อีกครั้ง!”
เขารู้ดีว่าการฝึกฝนวิถีเต๋าใหม่อีกครั้งหมายความว่าอย่างไร
นั่นคือการละทิ้งความรุ่งโรจน์และพลังในอดีต กลับสู่จุดเริ่มต้นแห่งวิถีเต๋า ความสูงลิ่วของราคาที่ต้องแลก หาใช่สิ่งที่ขอบเขตจักรพรรดิรับได้ทุกคน
“ตกลง เมื่อเรากลับจากเกาะเซียนพระสุเมรุแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าย่างก้าวนี้ออกไปเอง!”
ซูอี้พยักหน้า
หลายร้อยปีมานี้ ร่างเต๋าและพลังของเสวียนหนิงแทบถูกทำลายเพราะการตามหาตัวเอง มีหรือที่ซูอี้จะไม่ซาบซึ้ง?
เขาย่อมต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อช่วยเสวียนหนิงก้าวสู่เส้นทางมหาวิถีที่ไปได้ไกลกว่าเดิม!
ซูอี้เก็บหีบสัมฤทธิ์ที่ปิดผนึกครรภ์มาร ก่อนจะชี้ไปที่เก๋อเฉียนซึ่งยังไม่ฟื้นจากการสลบไสล “เรื่องที่เกี่ยวกับข้า อย่าได้บอกเขา”
เสวียนหนิงเอ่ยอย่างลังเล “ท่านอาจารย์ ก่อนหน้านี้ศิษย์ได้ตัดสินใจให้เก๋อเฉียนมาพบท่าน และเขาได้เกิดข้อสงสัยเรื่องระหว่างคัมภีร์เต่าหางมังกรดำที่แท้จริงกับท่านในใจแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ท่านว่าศิษย์ควรอธิบายให้เขาฟังอย่างไรดี”
ซูอี้เอ่ยอย่างนึกขัน “เต่าน้อย เจ้าเองก็เป็นตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ เรื่องเล็กแค่นี้ต้องถามข้าด้วยหรือ?”
เสวียนหนิงเอ่ยอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว “ไม่รู้เพราะเหตุใด หากศิษย์อยู่ข้างกายท่านอาจารย์ ก็จะไร้ซึ่งความคิดความอ่านของตัวเอง คิดเพียงต้องปฏิบัติตามคำสั่งของท่านอาจารย์”
ฟังจบ รอยยิ้มบนใบหน้าซูอี้หายไป เขาดูเคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิม “จนบัดนี้เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ว่าเหตุใดในอดีตข้าถึงจัดแจงให้เจ้าไปฝึกฝนข้างกายหลวงจีนเยี่ยนซิน ณ แดนบูรพาน้อย
เสวียนหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง “ศิษย์พอเดาออกได้บ้าง ท่านอาจารย์ต้องการให้ศิษย์เอาอย่างหลวงจีนเยี่ยนซิน ในเส้นทางแสวงหามหาวิถีนี้ พร้อมฟาดฟันทุกผู้ที่ขวางหน้า ทลายพันธนาการทั้งกายและใจ ตัดความยำเกรงในใจที่มีต่อท่านอาจารย์”
สีหน้าซูอี้ดีขึ้นไม่น้อย “ถูกต้อง ในบรรดาลูกศิษย์ทั้งเก้าคนของข้า มีเพียงเจ้าที่มักยำเกรงคอยระวังตัวเมื่ออยู่ข้างกายข้า มองข้าดั่งเทพเทวา สิ่งนี้เปรียบเสมือนพันธนาการในใจ หากไม่ทลาย วิถีเต๋าในภายภาคหน้าย่อมถูกเงาของข้าปกคลุม ยากจะก้าวเดิน”
เว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวต่อ “บัดนี้ ในเมื่อเจ้าตัดสินใจฝึกฝนวิถีเต๋าเสียใหม่ แน่นอนว่าต้องทลายพันธนาการนี้! มิฉะนั้น จะต่างอะไรจากการก้าวเดินบนเส้นทางเก่ากัน?”
เสวียนหนิงใจสะท้าน หลากหลายอารมณ์วูบไหวอยู่บนใบหน้า