บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 546 ล้างแค้น
ตอนที่ 546: ล้างแค้น
ตอนที่ 546: ล้างแค้น
หวนเฉ่าโหยวสังเกตเห็นสายตาที่แปลกประหลาดของผู้คนที่อยู่โดยรอบเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เขายังมีท่าทีที่สงบลงไปแล้ว เจตนาฆ่าฟันที่รุนแรงและความเกลียดชังในใจของเขาถูกระงับไว้อย่างมิดชิด
จากนั้นเขาก็ยืดตัวตรงมองไปที่ซูอี้ และพูดด้วยรอยยิ้ม “ซูอี้ เจ้าพอใจแล้วหรือยัง?”
เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา ทุกคนกลับรู้สึกหนาวเหน็บในหัวใจ
ซูอี้ก้าวเข้ามาประชิด เอื้อมมือออกไปช่วยหวนเฉ่าโหยวปัดฝุ่นบนไหล่และเสื้อผ้าของอีกฝ่าย ปากกล่าวว่า “ไม่คิดเลยว่าวันนี้เจ้าจะยังกล้ามา ข้านึกว่าเจ้ายังคงขวัญเสียจนไม่กล้าปรากฏกาย ข้ารู้สึกดีใจอย่างแท้จริงที่เห็นเจ้าวันนี้”
ซูอี้ยิ้ม “ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดีเมื่อเราพบกันในเกาะเซียนพระสุเมรุ”
หวนเฉ่าโหยวหรี่ตาและพูดว่า “แล้วข้าจะตั้งตารอ”
สีหน้าของซูอี้เปลี่ยนเป็นจริงจัง “อย่ากังวล ข้าไม่เคยทำให้ผู้ใดผิดหวัง”
เมื่อมองดูทั้งสองพูดคุยกัน คนอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบอดไม่ได้ที่จะแอบตื่นตระหนก
ใครไม่ทราบบ้างว่าคำพูดของทั้งสองนั้นแฝงไปด้วยความนัยแห่งเจตนาฆ่าอันรุนแรง?
“หวนเฉ่าโหยว ศัตรูที่เจ้าเกลียดที่สุดอยู่ตรงหน้าแล้ว เหตุใดเจ้าถึงไม่ชักดาบฆ่าฟันดั่งเช่นที่เคยทำมาตลอดเมื่อในอดีต?”
ทันใดนั้นเสียงพูดเยาะเย้ยดังขึ้นจากระยะไกล
เสียงนั้นยังคงก้องกังวาน และชายหนุ่มผมยาวยุ่งสวมชุดคลุมสีดำสะพายกล่องดาบค่อย ๆ เดินเข้ามา
ผิวของเขาสีดั่งทองสัมฤทธิ์ คิ้วของเขาบางทว่ากว้าง ดวงตาของเขาสุกสว่างราวกับดวงดาว รูปร่างของเขาเพรียวและสัดส่วนกำลังดี สีหน้านั้นหยิ่งผยองและมีกลิ่นอายที่ดุร้าย
“เยี่ยนจิงอวิ๋น! เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่?” บางคนอุทานร้องอย่างประหลาดใจ
เยี่ยนจิงอวิ๋น!
เมื่อได้ยินชื่อนี้ แม้แต่สีหน้าของบรรดาผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณก็ยังแปรเปลี่ยนไป
ในหมู่ของพวกเขาไม่มีใครไม่รู้จักเยี่ยนจิงอวิ๋นผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม ‘ดาบคลั่ง’ และเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงส่งอันดับต้น ๆ ของโลกอีกทั้งยังมีภูมิหลังที่น่าเกรงขาม
ในแง่ของภูมิหลังชาติกำเนิด เขาไม่ได้ด้อยไปกว่าหวนเฉ่าโหยวเลยแม้แต่น้อย!
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เวิงจิ่วได้บอกกับเขาแล้วว่าคราวนี้มีคนอีกสามคนที่ไปยังเกาะเซียนพระสุเมรุซึ่งอยู่นอกเหนือจากเขาและผู้เข้าร่วมสามสิบอันดับแรกของงานชุมนุมมวลพฤกษา
สามคนเหล่านั้นคือ โม่ซิงเจ๋อผู้ร้ายกาจยุคโบราณจากโถงวิญญาณหยินทมิฬ ผู้บ่มเพาะผี
จิงหลิงเจินผู้ร้ายกาจยุคโบราณจากสำนักผลาญตะวัน หนึ่งในสามสำนักผู้ฝึกปีศาจที่ทรงอิทธิพลที่สุด
และสุดท้าย เยี่ยนจิงอวิ๋นผู้ร้ายกาจยุคโบราณของสำนักวิถีสุญญะ
ทั้งสามคนนี้มีประวัติอันน่าเกรงขามมากมาย
ตามคำกล่าวของเวิงจิ่ว ภูมิหลังและพรสวรรค์ของสามคนนี้ไม่ด้อยไปกว่าหวนเฉ่าโหยว เฉิงผู และฉือเจี่ยนซู่ หรือบางทีอาจจะเลิศล้ำกว่าด้วยซ้ำ
สาเหตุที่พวกเขาไม่เข้าร่วมงานชุมนุมมวลพฤกษาก็เพราะว่าระดับการบ่มเพาะของทั้งสามคนใกล้จะทะลวงขอบเขตแล้ว ดังนั้นเพื่อที่จะเข้าสู่เกาะเซียนพระสุเมรุ พวกเขาจึงจำเป็นมุ่งสมาธิไปที่การสะกดข่มระดับการบ่มเพาะของตนเอง
ไม่เช่นนั้นหากพลาดพลั้งทะลวงระดับไปสู่ขั้นวิถีวิญญาณ พวกเขาจะไม่สามารถเข้าสู่เกาะเซียนพระสุเมรุได้ในทันที
“กล่องดาบนั้นใช้ได้”
เมื่อสังเกตเห็นกล่องดาบที่เยี่ยนจิงอวิ๋นสะพายอยู่ที่แผ่นหลัง นัยน์ตาของซูอี้ก็ปรากฏความสนใจ
เขาสัมผัสได้ว่าที่มาของกล่องดาบนี้ไม่ธรรมดา
“เหตุใดข้าจึงจะมาไม่ได้”
เยี่ยนจิงอวิ๋นยิ้มเล็กน้อยเมื่อรู้ตัวว่ากลายเป็นจุดสนใจของทุกคน จากนั้นเขากล่าวขึ้นอีกครั้งระหว่างมองหวนเฉ่าโหยว “เหตุใดเจ้าถึงไม่ตอบข้า? หรือเป็นไปได้หรือไม่ว่าซูอี้กระชากเอากระดูกสันหลังของเจ้าออกหมดแล้วจนเจ้าไม่อาจยืนตัวตรงได้อีกต่อไปเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา?”
คิ้วของหวนเฉ่าโหยวขมวดแน่นและพูดอย่างเย็นชา “เยี่ยนจิงอวิ๋น! เจ้ามาที่นี่เพื่อเยาะเย้ยข้าหรืออย่างไร!?”
“ไม่แน่นอน” เยี่ยนจิงอวิ๋นส่ายหัวและยิ้ม “ข้าหาได้ว่างขนาดนั้น”
“เยี่ยนจิงอวิ๋น ไม่ใช่ว่าเจ้าทะลวงเข้าสู่วิถีวิญญาณแล้วไม่ใช่หรือ?”
ไม่ไกลนัก ฉือเจี่ยนซู่เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าสับสน
“มันเป็นแค่ข่าวลือหาใช่ความจริงไม่”
เยี่ยนจิงอวิ๋นตอบกลับและยักไหล่อย่างระอาใจ “แต่แน่นอน ถ้าข้าไม่ล่วงรู้ว่าการเข้าเกาะเซียนพระสุเมรุจำเป็นต้องมีระดับการฝึกฝนต่ำกว่าขั้นวิถีวิญญาณ หลายปีที่ผ่านมานี้ข้าคงทะลวงระดับไปแล้วเช่นกัน”
ผู้คนต่างรู้สึกปั่นป่วนทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้ กลับกลายเป็นว่าเยี่ยนจิงอวิ๋นและผู้ร้ายกาจยุคโบราณระดับสูงคนอื่น ๆ ได้สะกดข่มระดับการฝึกฝนของพวกเขามาหลายปีแล้ว!
นี่เป็นเรื่องที่น่าตะลึงใจอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงถึงว่าเกาะเซียนพระสุเมรุที่เป็นหนึ่งในสามสถานที่ต้องห้ามแห่งต้าเซี่ยนั้นมีข่าวลือว่าภายในนั้นมีมวลพลังจากยุคบรรพกาลตั้งแต่กำเนิดโลกยังคงอยู่ เหตุผลเดียวนี้มันก็เพียงพอแล้วที่จะดึงดูดเหล่าผู้บ่มเพาะวิถีต้นกำเนิดให้เข้าไปแสวงหาพลังนี้ เนื่องจากหากผู้ใดดูดซับมัน คนผู้นั้นจะทะลวงไปยังขั้นวิถีวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ตำหนิต่างจากการทะลวงระดับแบบทั่วไป
“ท่านผู้นี้คือซูอี้ใช่หรือไม่?”
ในเวลานี้ เยี่ยนจิงอวิ๋นมองไปที่ซูอี้ก่อนจะก้มศีรษะทักทายและพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีนามว่าเยี่ยนจิงอวิ๋น เป็นผู้ฝึกปรือวิถีดาบ”
จากนั้นเขาก็หยุดไปชั่วคราวและเอ่ยต่อ “ข้าได้ยินมาว่าในงานชุมนุมมวลพฤกษา สหายเต๋าใช้เพียงอำนาจแห่งปราณดาบอย่างเดียวก็สามารถสยบหวนเฉ่าโหยวได้อย่าง่ายดาย เรื่องนี้ทำให้ข้าสนใจยิ่งนัก”
ประโยคนี้ไม่ต่างอะไรจากการดูถูกหวนเฉ่าโหยวไปด้วย แน่นอนมันทำให้หวนเฉ่าโหยวมีสีหน้ามืดหม่นยิ่งกว่าเดิม
แต่ท้ายที่สุดหวนเฉ่าโหยวเลือกที่จะไม่พูดอะไร
ทว่าซูอี้กลับตอบกลับอย่างเฉยเมย “ข้าไม่สนใจจะเสวนากับผู้ที่ข้าไม่รู้จัก”
ทุกคน “…”
เยี่ยนจิงอวิ๋นตะลึงค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นหัวเราะและไม่พูดอะไรต่อ
ไม่นานหลังจากนั้นจิงหลิงเจินและโม่ซิงเจ๋อก็ปรากฏตัวตามมา
จิงหลิงเจินสูงและผอมแห้งสวมชุดคลุมยาวหรูหรา ผมยาวหนาของเขาเป็นกระเซิงเหมือนพุ่มหญ้า ทว่าใบหน้าของเขาดูซีดเซียวราวกับไร้เลือดหล่อเลี้ยงให้ความรู้สึกราวกับคนขี้โรค
การแสดงออกของเขาเย็นชาและห่างเหิน หลังจากมาถึงเขาทำเพียงหลับตารอคอยอย่างนิ่งสงบ
ทว่าไม่มีใครกล้าละเลยการดำรงอยู่ของเขา
ในปัจจุบันนี้ เหล่าผู้คนของต้าเซี่ยแทบจะไม่รู้จักผู้ร้ายกาจยุคโบราณของสำนักผลาญตะวันผู้นี้ แต่ทว่าบรรดาตัวตนยุคโบราณคนอื่น ๆ ต่างทราบดีว่าเขาเป็นคนที่โหดเหี้ยมมาก!
วันนี้โม่ซิงเจ๋อแต่งกายด้วยชุดคลุมสีเขียว มีบุคลิกสง่างามและมีพัดขนนกสีขาวราวหิมะอยู่ในมือ
กลิ่นอายของเขาดูคล้ายกับสตรีโดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่เปล่งประกายด้วยแสงสีเงินจาง ๆ มันดึงดูดสายตาของผู้คนได้อย่างมากมาย
ผู้ร้ายกาจยุคโบราณบางคนเริ่มที่จะก้าวออกมาทักทายด้วยท่าทางอันเป็นมิตร
สามหมื่นปีที่แล้วโถงวิญญาณหยินทมิฬคือสำนักผู้บ่มเพาะผีอันดับหนึ่งของโลก
โม่ซิงเจ๋อคือผู้ร้ายกาจยุคโบราณที่มาจากโถงวิญญาณหยินทมิฬ
มีข่าวลือว่าเขาสืบทอดมรดกของ ‘จักรพรรดิผีหมิงหลัว’ ประมุขคนแรกของโถงวิญญาณหยินทมิฬ!
ทว่าสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็คือโม่ซิงเจ๋อเดินตรงไปหาซูอี้ทันทีที่มาถึงและเอ่ยถาม “บุตรสวรรค์เนี่ยเฟิงแห่งโถงวิญญาณหยินทมิฬของข้าถูกเจ้าสังหารใช่หรือไม่?”
คำถามของการทวงแค้น!
“ไม่ผิด”
ซูอี้พยักหน้า
ดวงตาของโม่ซิงเจ๋อเป็นประกายสีเงินเข้ม หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวว่า “จงคืนครรภ์อสูรบริสุทธิ์ของเรามาแล้วข้าจะปล่อยเรื่องนี้ไป”
ครรภ์อสูรบริสุทธิ์!
ดวงตาของทุกคนขณะนี้เบิกกว้าง ใครไม่รู้บ้างว่ามูลค่าของครรภ์อสูรบริสุทธิ์มันมากมายเพียงใด? มันคือสมบัติที่หายากอย่างแท้จริง!
นอกเหนือจากเหวินซินจ้าว เยว่ซือฉาน และคนอื่น ๆ อีกสองสามคน มีคนน้อยมากที่รู้ว่าซูอี้ได้เอาครรภ์อสูรบริสุทธิ์ที่เป็นของโถงวิญญาณหยินทมิฬมาครอบครองไว้!
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า “ครรภ์อสูรบริสุทธิ์นั้นเป็นสมบัติที่ข้าแย่งชิงมาอย่างตรงไปตรงมา เหตุใดข้าต้องคืนมันให้เจ้าด้วย?”
ทุกคน “…”
คำตอบนี้ชอบธรรมและแน่นอนไม่มีใครสามารถหักล้างมันได้
โม่ซิงเจ๋อขมวดคิ้วและพูดว่า “เจ้าสร้างความไม่พอใจต่อหวนเฉ่าโหยว รวมไปถึงโจมตีตระกูลหวนเผ่ามารอย่างรุนแรงไปแล้ว ขณะนี้เพื่อครรภ์อสูรบริสุทธิ์ เจ้าคิดจะกลายเป็นศัตรูกับโถงวิญญาณหยินทมิฬของข้าอีกอย่างนั้นหรือ?”
คำพูดนี้คือคำขู่โดยไม่มีปิดบัง
หวนเฉ่าโหยวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขมขื่นอยู่ในใจ
เขารู้อยู่แต่แรกแล้วว่าการที่เขาพ่ายแพ้ให้แก่ซูอี้อย่างยับเยินแบบนั้น มันย่อมมีผลที่ตามมาซึ่งก็คือการถูกล้อเลียนและดูถูกสารพัด
เมื่อไรก็ตามที่มีใครสักคนข่มขู่ซูอี้ ชื่อของเขาย่อมถูกยกขึ้นมาด้วย แต่สำหรับเขามันไม่ต่างจากการถูกตบหน้าทางอ้อม
หากซูอี้ไม่ถูกกำจัดให้หายไป ฉากเช่นนี้จะเกิดขึ้นอีกซ้ำ ๆ ในอนาคตอย่างแน่นอน
ตราบใดที่มีการกล่าวถึงซูอี้ ชื่อของหวนเฉ่าโหยวจะกลายเป็นเหมือนตัวตลกที่ถูกพูดถึงและเปรียบเทียบ…
ทว่าซูอี้กลับส่ายหัวและถอนหายใจเบาก่อนจะกล่าวว่า “หากคำขู่มีประโยชน์นัก หวนเฉ่าโหยวคงไม่มีสภาพเช่นวันนี้ไม่ใช่หรือ?”
สีหน้าของทุกคนแปลกประหลาด
ใบหน้าของหวนเฉ่าโหยวมืดหม่นถึงที่สุด ในใจของเขาอยากจะกระโจนไปสู้ตายกับทุกคนที่เอ่ยชื่อเขาเสียให้สิ้นเรื่อง
เมื่อตอนเยี่ยนจิงอวิ๋นมาถึง เขาก็ถูกล้อเลียน
และยังไม่ทันที่อารมณ์ของเขาจะดีขึ้น โม่ซิงเจ๋อกลับยกตัวอย่างประสบการณ์อันเจ็บปวดของเขาขึ้นมาอีกหน ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการเอาเกลือมาถูแผลสดในหัวใจของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
มันเป็นการกลั่นแกล้งเกินไป!
หวนเฉ่าโหยวปะทุเจตนาสังหารออกมาอย่างรุนแรงและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชายิ่ง “โม่ซิงเจ๋อ! ถ้าเจ้ากล้าพาดพิงถึงข้าอีกรอบอย่าตำหนิที่ข้าหยาบคาย!”
โม่ซิงเจ๋อยิ้มและพูดว่า “พี่หวนอย่าเพิ่งบังเกิดโทสะเช่นนี้สิ ลืมไปแล้วหรือว่าตอนนี้เรามีศัตรูร่วมกันแล้ว ดังนั้นเราควรตกลงร่วมมือกันอย่างสันติจะดีกว่า”
หลังจากหยุดชั่วคราว เขาก็จ้องไปที่ซูอี้และพูดว่า “ผู้ที่รู้สถานการณ์และยอมโอนอ่อนเพื่อความอยู่รอดคือผู้ฉลาด แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่ใช่คนประเภทนั้น ซูอี้ในเมื่อเจ้าตัดสินใจเช่นนี้ ยามที่เราเจอกันอีกครั้งในเกาะเซียนพระสุเมรุ… เจ้าจะต้องเสียใจ!”
หลังจากนั้นเขาก็หันหลังและเดินจากไปยังบริเวณอื่นโดยไม่สนใจซูอี้อีกต่อไป
เมื่อเห็นเช่นนี้ทุกคนก็ตกใจ
ก่อนหน้านี้หวนเฉ่าโหยวมองซูอี้เป็นศัตรูคู่อาฆาต และตอนนี้โม่ซิงเจ๋อต้องการชำระแค้นกับซูอี้อีก เมื่อใดที่ทั้งหมดเข้าไปยังเกาะเซียนพระสุเมรุ พวกเขาจะต้องต่อสู้กันอย่างดุเดือดแน่นอน!
ทว่าซูอี้ไม่ได้สนใจคำขู่หรือการคุกคามเหล่านี้แม้แต่น้อยเพราะเขาตัดสินใจเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าการเข้าไปในเกาะเซียนพระสุเมรุครั้งนี้ เขาจะฆ่าหวนเฉ่าโหยวอย่างแน่นอน ส่วนโม่ซิงเจ๋อนั้น เนื่องจากอีกฝ่ายมีความประสงค์อยากจะแก้แค้น เขาเองก็ไม่รังเกียจที่จะส่งตัวน่ารำคาญหน้าใหม่ผู้นี้เข้าไปในประตูยมโลกเช่นกันพร้อม ๆ กับหวนเฉ่าโหยว
และแน่นอนว่าถ้ามีผู้ใดที่ท้าทายเพิ่ม เขาก็ไม่รังเกียจอีกครั้งที่จะส่งทุกคนไปยังยมโลกพร้อม ๆ กันทั้งหมด
เก๋อเฉียนที่ยืนอยู่ข้างหลังซูอี้ มุมริมฝีปากของเขากระตุกอยู่ตลอด
เทพเซียนรบรา ผู้ทนทุกข์ทรมานคือปุถุชน
เก๋อเฉียนคิดไม่ออกเลยว่าคราวนี้ที่เขาติดตามซูอี้เข้าไปในเกาะเซียนพระสุเมรุ เขาจะได้เจอกับฉากนองเลือดมากมายเพียงใด
นี่คือสิ่งที่เขาไม่เคยประสบมาก่อนเพราะเขามักจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์นองเลือดหรืออันตรายต่าง ๆ นานาอย่างระมัดระวังอยู่เสมอ
ในทางกลับกัน เยว่ซือฉานนั้นทั้งสงบและเยือกเย็น
จากนั้นเวลาผ่านไปไม่นานนัก
เวิงจิ่วและกลุ่มตัวตนยิ่งใหญ่ทั้งหลายพร้อมทั้งจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก็ได้เดินทางมาถึง