บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 547 ถ้ำอุกกาบาต
ตอนที่ 547: ถ้ำอุกกาบาต
ตอนที่ 547: ถ้ำอุกกาบาต
วันนี้จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยสวมชุดสีทองเรียบง่ายโดยเอามือไพล่หลังระหว่างเดิน
เมื่อเขามาถึง บรรยากาศโดยรอบกลายเป็นเงียบสงัดและจริงจัง
เหล่าผู้ร้ายกาจยุคโบราณ เช่น หวนเฉ่าโหยว เยี่ยนจิงอวิ๋น และโม่ซิงเจ๋อต่างสงวนท่าทีลงอย่างมาก
ในใจกลางของศาลาขนาดใหญ่นี้มีแท่นยกสูงจากพื้นราวหนึ่งฉื่อสีดำทรงกลมซึ่งขนาดความกว้างของมันกินพื้นที่ถึงสิบฉื่อ
รอบแท่นยกสูงสีดำนี้มีเสาหินเก้าต้นตั้งตระหง่านล้อมรอบอยู่ในรูปแบบเก้าทิศตามหลักของฮวงจุ้ย
เสาหินแต่ละต้นสูงเก้าฉื่อและพื้นผิวปกคลุมไปด้วยอักขระมากมาย
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้คือค่ายกลประตูเคลื่อนย้าย
หลังจากจักรพรรดิต้าเซี่ยมาถึงสถานที่ เขาได้ออกคำสั่งให้เปิดใช้งานประตูเคลื่อนย้ายทันที
เวิงจิ่วก้าวมาข้างหน้าหลังจากได้ยินคำสั่ง จากนั้นเขาก็หยิบแผ่นคำสั่งค่ายกลขึ้นมาถือไว้ในมือและเริ่มเปิดการใช้งานมัน
ครืน!
หลังจากเสียงคำรามก้องของมวลพลังที่หนาแน่นซึ่งถูกปลดปล่อยออกมา เสาหินทั้งเก้าดูคล้ายตื่นจากการหลับใหลและอักขระทั้งหลายที่ปกคลุมอยู่บนพื้นผิวก็เริ่มสาดแสงส่องไปที่แท่นยกสูงสีดำตรงกลาง
หลังจากนั้น แท่นยกสูงทรงกลมที่อยู่กึ่งกลางศาลาก็สว่างขึ้นอย่างฉับพลัน และที่เหนือแท่นยกสูงเริ่มมีมวลพลังลึกลับค่อย ๆ ก่อรูปจนเป็นลักษณะวงแหวนขนาดใหญ่ และที่ตรงกึ่งกลางวงแหวนนั้นพร่ามัวไปด้วยแสงระยิบระยับคล้ายกับหมู่ดาวเล็ก ๆ นับล้านทว่ามันโปรยปรายลงราวกับละอองฝน
นี่เป็นครั้งแรกที่บางคนเพิ่งเคยเห็นประตูเคลื่อนย้ายทางไกลเช่นนี้ พวกเขาบางคนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
ทว่าเหล่าผู้ร้ายกาจยุคโบราณนั้นค่อนข้างสงบ
ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลเช่นนี้มีอยู่ไม่น้อยในทวีปคังชิงเมื่อสามหมื่นปีที่แล้ว ดังนั้นตัวตนเช่นพวกเขาที่เคยเห็นมันมาก่อน เมื่อเห็นมันอีกครั้งจึงไม่ได้ตื่นเต้นอะไร
“ทุกท่าน เชิญ!”
เวิงจิ่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
จากนั้นทุกคนที่จะไปยังเกาะเซียนพระสุเมรุก้าวขึ้นไปยังแท่นศิลาสีดำทีละคน และหยุดยืนอยู่ด้านหน้าวงแหวนประตูเคลื่อนย้าย
“ฝ่าบาท กระหม่อมขออนุญาตเป็นผู้นำคณะ”
เวิงจิ่วเดินขึ้นไปหน้าประตูเคลื่อนย้ายก่อนจะคำนับจักรพรรดิต้าเซี่ยซึ่งอยู่ด้านล่างไม่ไกล
“ไปเถิด”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยพยักหน้า
ตูม!
ทันใดนั้นวงแหวนประตูเคลื่อนย้ายเปล่งแสงเจิดจ้า จากนั้นร่างทั้งหมดบนแท่นยกสูงก็หายวับไปอย่างน่าอัศจรรย์
วงแหวนประตูเคลื่อนย้ายค่อย ๆ เลือนหายไปและทุกอย่างกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
“ไม่รู้คราวนี้จะมีสักกี่คนที่รอดชีวิตจากเกาะเซียนพระสุเมรุ…”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยพึมพำเบา
“โอกาสกับอันตรายย่อมมาควบคู่กัน ยิ่งโอกาสนั้นสะเทือนฟ้าดินมากเพียงใด อันตรายที่พวกเขาต้องเผชิญย่อมน่ากลัวไม่แพ้กัน”
ด้านข้าง สุ่ยเทียนฉีหรือผู้อาวุโสสุ่ยยิ้มและเอ่ยว่า “ครั้งนี้ เหล่าคนหนุ่มสาวที่ไปยังเกาะเซียนพระสุเมรุล้วนพกพาไพ่ลับช่วยชีวิตไปด้วยมากมาย กระหม่อมคิดว่ามันน่าจะช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากอันตรายต่าง ๆ ได้เป็นส่วนใหญ่”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยพยักหน้า “ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือผู้ใดสามารถรอดกลับมาจากเกาะเซียนพระสุเมรุได้สำเร็จ พวกเขาเหล่านั้นย่อมสำเร็จเข้าสู่ขั้นวิถีวิญญาณอย่างแน่แท้ และด้วยการที่พวกเขาทะลวงระดับได้อย่างสมบูรณ์ ผู้บ่มเพาะขั้นวิถีวิญญาณรุ่นก่อนหน้าส่วนใหญ่คงไม่สามารถเทียบกับพวกเขาได้อีก…”
น้ำเสียงของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยอารมณ์
คลื่นลูกใหม่ย่อมกลืนกินคลื่นลูกเก่า!
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นหากเทียบกับปรากฏการณ์แสงสว่างแห่งโลกกว้างที่กำลังจะมาถึง ซึ่งนั่นคือการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงอย่างแท้จริง!
“ฝ่าบาท อันที่จริงยังมีเรื่องที่สนใจกว่าอีกเรื่องหนึ่ง”
สุ่ยเทียนฉีกระซิบ “ตามข้อมูลที่กระหม่อมได้รวบรวมมาจากกลุ่มกองกำลังที่กระจายอยู่ทั่วทวีปคังชิง เมื่อเร็ว ๆ นี้มีผู้แข็งแกร่งหน้าใหม่ซึ่งดูคล้ายมาจากยุคโบราณปรากฏตัวขึ้นทีละคน”
“ทว่าตัวตนที่ปรากฏขึ้นเหล่านี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในวัยหนุ่มสาว ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าพวกเขาคือผู้ร้ายกาจยุคโบราณ”
“แต่แตกต่างจากกลุ่มผู้ร้ายกาจยุคโบราณเช่นหวนเฉ่าโหยว ผู้ร้ายกาจยุคโบราณกลุ่มที่สองนี้ล้วนแล้วแต่มีระดับการฝึกฝนอยู่ในขั้นวิถีวิญญาณทั้งสิ้น”
“และความแข็งแกร่งของพวกเขาแต่ละคนนั้นเหนือล้ำกว่าผู้ฝึกตนของเราที่อยู่ขอบเขตเดียวกันกับพวกเขาอย่างไม่อาจเทียบกันได้ ยิ่งเมื่อรวมเรื่องที่ว่าพวกเขาต่างช่ำชองในเคล็ดวิชาลับจากยุคโบราณและมีสมบัติจากยุคโบราณเป็นส่วนเสริม มันจึงกลายเป็นว่าพวกเขายิ่งแข็งแกร่งเหนือล้ำอย่างที่เราน่ากังวลใจ”
เมื่อได้ยินทั้งหมดนี้จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยหรี่ตาและเอ่ยว่า “ตอนนี้ผู้ร้ายกาจยุคโบราณที่ปรากฏขึ้นกลุ่มที่สองมีกี่คน?”
สุ่ยเทียนฉีรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว “จนถึงขณะนี้ได้รับการยืนยันแล้วว่ามีเจ็ดคน ทว่าจากการวิเคราะล่วงหน้า ในช่วงเวลาถัดไปจะต้องมีการปลุกผู้ร้ายกาจยุคโบราณชุดที่สองนี้ให้ตื่นเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน”
จักรพรรดิต้าเซี่ยเงียบไปครู่หนึ่งและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ฤดูใบไม้ร่วงนี้… ช่างวุ่นวายกว่าที่ผ่านมาเสียจริง”
ที่ผ่านมาในช่วงสิบปี กลุ่มผู้ร้ายกาจยุคโบราณกลุ่มแรกที่ตื่นขึ้นในทวีปคังชิงนั้นล้วนอยู่ในขั้นวิถีต้นกำเนิด ดังนั้นจึงดูไม่เป็นภัยคุกคามมากเท่าใด
แต่ทว่ากลุ่มผู้ร้ายกาจยุคโบราณที่ตื่นขึ้นกลุ่มที่สองนี้ล้วนอยู่ในขั้นวิถีวิญญาณทั้งนั้น อีกทั้งทุกคนต่างมีภูมิหลังและพรสวรรค์ที่เลิศล้ำ หากพวกเขาทั้งหมดร่วมมือกันมันจะไม่มีกองกำลังใดในทวีปคังชิงที่สามารถต่อกรกับพวกเขาได้เลย!
“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์แสงสว่างแห่งโลกกว้างที่กำลังใกล้เข้ามา”
นัยน์ตาของสุ่ยเทียนฉีนั้นสั่นไหว “เช่นเดียวกับบทกลอนที่เคยแพร่หลายไปทั่วโลกเมื่อหลายปีก่อน “อำนาจซึ่งถูกสะกดอยู่ใต้ผนึกย่อมหลุดออกมาสักวันหนึ่ง ทุกสิ่งที่เคยถูกจองจำจะไร้ซึ่งการควบคุม วาระอันยิ่งใหญ่และการนองเลือดเยี่ยงอดีตจะกลับมาอีกครั้ง…”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งเขาพูดต่ออย่างแผ่วเบา “ทุกสิ่งที่บังเกิดขึ้นขณะนี้แน่แท้ว่าคือลางบอกเหตุ…”
จักรพรรดิต้าเซี่ยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ความคืบหน้าการซ่อมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนเป็นอย่างไรบ้าง”
สุ่ยเทียนฉีตอบกลับ “ขณะนี้เราซ่อมแซมไปแล้วราวหนึ่งในสิบส่วนฝ่าบาท”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยขมวดคิ้วและพูดว่า “มันช้าเกินไป ต้องให้เร็วกว่านี้”
สุ่ยเทียนฉีกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “ทูลฝ่าบาท ด้วยวิธีการซ่อมที่สหายเต๋าซูมอบให้เรามา ต่อให้เราทุ่มกำลังคนของเราทั้งหมดก็คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีจึงจะสามารถซ่อมให้ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนกลับมามีอำนาจได้ราวครึ่งหนึ่งจากที่เคยมีมาเมื่อตอนอยู่ในสภาพสมบูรณ์สุด”
“ส่วนเรื่องการฟื้นอำนาจได้ดั่งเช่นเหมือนที่ค่ายกลเพิ่งสร้างใหม่ในยุคโบราณนั้น… ไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถทำได้เลย”
“ฝ่าบาทคงทราบดีอยู่แล้วว่าค่ายกลของเราเป็นค่ายกลระดับสังหารจักรพรรดิ ดังนั้นแล้วต่อให้สหายเต๋าซูจะมอบวิธีการซ่อมแซมแบบสมบูรณ์มาให้เราเพิ่มเติม เราเองก็คงไม่สามารถซ่อมแซมมันได้จนสมบูรณ์เว้นเสียแต่ว่าเราจะได้รับความช่วยเหลือจากตัวตนระดับจักรพรรดิหรือมหาปรมาจารย์ด้านอักขระผู้ซึ่งต้องมีระดับความเข้าใจในกฎแห่งฟ้าดินสูงเสียดฟ้า ไม่เช่นนั้นการซ่อมแซมค่ายกลให้สมบูรณ์นั้นคงเป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน”
สีหน้าของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยมืดหม่น
เขาเดาไว้นานแล้วว่ายิ่งเหล่าผู้ร้ายกาจยุคโบราณปรากฏออกมามากเท่าไร ราชวงศ์เซี่ยของเขาก็ยิ่งสูญเสียอำนาจมากเท่านั้น
นี่คือสิ่งที่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้
“ทำเท่าที่เจ้าทำได้ก็แล้วกัน”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยกล่าวเบา ๆ
สิ่งเดียวที่ราชวงศ์เซี่ยสามารถทำได้ในตอนนี้คือสะสมกำลังให้ได้มากที่สุดก่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกนี้จะมาถึง เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่เป็นเพียงเหมือนอาหารว่างให้กองกำลังอื่น ๆ เคี้ยวเล่นตามใจชอบ!
สุ่ยเทียนฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ฝ่าบาท ข้าผู้น้อยชรามีเรื่องหนึ่งอยากจะทูลแนะนำพระองค์ หลังจากที่สหายเต๋าซูกลับมาจากเกาะเซียนพระสุเมรุ บางทีฝ่าบาทอาจจะลองถามเขาอีกครั้งว่ามีวิธีลดเวลาซ่อมแซมค่ายกลหรือไม่ หรือจะดีที่สุดหากฝ่าบาทลองเอ่ยขอให้เขาช่วยเหลือเราในการลงมือซ่อมแซมค่ายกลอีกแรง”
จักรพรรดิต้าเซี่ยพยักหน้ารับ
…
หลังจากเคลื่อนย้ายมาถึง
บรรยากาศรอบด้านมีแต่ความอึดอัด หม่นหมองและน่าหดหู่ ผืนดินมีแต่ความแห้งแล้ง เสียงลมหวีดหวิวรุนแรง ท้องฟ้ามืดครึ้มราวกับกำลังจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ที่แห่งนี้เปรียบเสมือนดินแดนที่สวรรค์ทอดทิ้ง ไร้พืชพันธุ์ไร้ชีวิตชีวา
ทว่าตรงใจกลางของดินแดนที่แห้งแล้งนี้ มีถ้ำขนาดมหึมาซึ่งรูปลักษณ์ตรงปากถ้ำนั้นคล้ายกับสัตว์ร้ายจากบรรพกาลขนาดใหญ่กำลังอ้าปากออกอย่างเต็มที่เหนือพื้นผิวโลก และในส่วนร่างกายที่เหลือของมันยังคงจมอยู่ใต้ดิน ปากถ้ำนี้แม้จะใหญ่อย่างน่าอัศจรรย์ แต่เมื่อมองเข้าไปในถ้ำ มันกลับมืดมิดจนไม่เห็นเลยว่ามีเส้นทางภายในเป็นอย่างไรหรือมีสิ่งใดซ่อนอยู่ มีแต่ข่าวลือว่ากันว่าถ้ำนี้อาจเป็นเส้นทางที่สามารถเชื่อมไปสู่โลกใต้พิภพได้
จุดนี้ถูกเรียกว่า ‘ถ้ำอุกกาบาต’!
ตามข่าวลือ เมื่อพลังต้องห้ามแห่งยุคมืดเมื่อสามหมื่นปีถูกปลดปล่อย หายนะดวงดาวนับไม่ถ้วนตกลงมาจากฟากฟ้าและชนเข้ากับพื้นโลก ซึ่งหนึ่งในดวงดาวเหล่านั้นพุ่งปะทะพื้นผิวโลกในแนวเฉียงจนเกิดเป็น ‘ถ้ำอุกกาบาต’ อันน่าตกตะลึงดั่งที่เห็น
ตั้งแต่สมัยโบราณ สถานที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในสามสถานที่ต้องห้ามแห่งต้าเซี่ย อันตรายที่ซุ่มซ่อนอยู่ในสถานที่แห่งนี้มีมากมายเหลือคณานับ
ที่ตรงกึ่งกลางของหน้าปากถ้ำอันมโหฬาร มีสิ่งก่อสร้างรูปทรงวงแหวนสีเทาขนาดใหญ่กว่าร่างมนุษย์ราวหนึ่งเท่าลอยค้างอยู่กลางอากาศอย่างนิ่งมั่น สิ่งก่อสร้างรูปวงแหวนนี้มองแล้วใครก็สามารถเดาได้ว่ามันคือประตูเคลื่อนย้ายอีกอันหนึ่ง
แน่นอนว่านี่คือทางเข้าเกาะเซียนพระสุเมรุ!
รอบบริเวณประตูเคลื่อนย้ายสีเทานี้มีเสียงหวีดหวิวจากลมกระโชกแรงที่บังเกิดจากสายลมอันแปรปรวนบริเวณปากถ้ำ สายลมแปรปรวนนี้ส่งเสียงอันน่าสะพรึงกลัวมันคำรามสนั่นไม่หยุดหย่อน และเมื่อรวมกับบรรยากาศที่มืดมนและน่าอึดอัดนี้ มันยิ่งทำให้หัวใจทุกคนระส่ำระสายเต้นไม่เป็นจังหวะเดิม
ครืน!
ทันใดนั้น มวลพลังอันโกลาหลจู่ ๆ ปะทุออกจากปากถ้ำอุกกาบาต!
มวลพลังนี้ส่งผลให้ประตูเคลื่อนย้ายซึ่งแต่เดิมปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาราวกับตื่นจากความเงียบงันส่องแสงเจิดจ้า
ฝุ่นที่ปกคลุมอยู่ปลิวออกไปเช่นกัน
ในไม่ช้า มวลพลังอันผันผวนที่ปากถ้ำสงบลง จากนั้นประตูเคลื่อนย้ายส่องแสงเจิดจ้าซึ่งเป็นสัญญาณว่าประตูนั้นพร้อมสำหรับการใช้งานแล้ว
ซูอี้และคนอื่น ๆ เริ่มบินไปยังประตูเคลื่อนย้ายทีละคน
“ที่นี่คือถ้ำอุกกาบาตสินะ?”
“ที่ลอยอยู่ตรงกลางปากถ้ำนั่นถือทางไปสู่เกาะเซียนพระสุเมรุไม่ผิดแน่”
“สถานที่แห่งนี้ไร้ซึ่งมวลพลังแห่งชีวิตมีแต่ความมืดมิดที่คงอยู่ ตามข่าวลือสถานที่แห่งนี้ถูกกัดเซาะโดยพลังต้องห้ามแห่งยุคมืดจนไม่มีผู้ใดสามารถอยู่อาศัยได้และถูกทิ้งร้างจนเป็นดั่งเช่นทุกวันนี้”
บทสนทนามากมายดังขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณหรือเหล่าอัจฉริยะแห่งทวีปคังชิงพวกเขาทั้งหมดต่างระมัดระวังและมองไปรอบ ๆ
“มวลพลังแห่งความวิบัติ…”
ซูอี้ครุ่นคิด
ตั้งแต่แรกที่มาถึงสถานที่นี้ เขาจับตาดูถ้ำอุกกาบาตขนาดใหญ่โดยตลอด เพราะเขาสัมผัสได้ถึงมวลพลังแห่งความวิบัติที่แปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัวกำลังพลุ่งพล่านอยู่ในส่วนลึกของถ้ำนี้
เวิงจิ่วโพล่งขึ้นมา “ห้ามล้วงล้ำเข้าไปในถ้ำอย่างเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นพวกท่านทั้งหมดจะถูกบดขยี้และกลืนกินโดยพลังต้องห้ามซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่ในส่วนลึกของถ้ำแห่งนี้!”
เมื่อพูดจบเขาก็สาธิต โดยการย่อตัวลงไปขุดหินขนาดใหญ่กว่าร่างขึ้นมา ก่อนจะโยนมันเข้าไปยังปากถ้ำที่อยู่ไกลออกไป
ตูม!
ทันทีที่หินยักษ์พ้นปากถ้ำแค่เพียงชั่วพริบตา มันระเบิดออกทันที และเศษหินที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ บดสลายราวกับถูกบีบอัดโดยอำนาจที่ไม่อาจประเมินได้ก่อนจะหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่
เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง
ทันทีที่ก้อนหินแตก พวกเขาสัมผัสได้ว่าพลังประหลาดที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นเร็วราวกับสายฟ้ากลืนกินหินก้อนนั้นหายไปในทันที!
“เห็นกันแล้วใช่หรือไม่ นี่เป็นส่วนที่น่ากลัวที่สุดของถ้ำอุกกาบาต ในอดีตมีผู้บ่มเพาะขั้นวิถีวิญญาณทดลองล่วงล้ำเข้าไปในถ้ำ ซึ่งในทันทีที่เขาก้าวล้ำเข้าไปเพียงชั่วพริบตา ทั้งร่างกายและวิญญาณถูกกลืนกินหายไปในทันที ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีเวลาให้ตั้งตัวดิ้นรนหรือถอยหนี”
น้ำเสียงของเวิงจิ่วสั่นเครือเล็กน้อย…
อารมณ์ของทุกคนเริ่มตื่นตระหนก
“ในส่วนลึกของถ้ำแห่งนี้มีมวลพลังแห่งความวิบัติรวมตัวอยู่หนาแน่น เป็นเรื่องแน่นอนว่ามันย่อมมีบางสิ่งที่ผิดปกติซุ่มซ่อนอยู่”
ซูอี้กล่าวอย่างลับ ๆ
“ทุกคน นั่นคือทางเข้าของเกาะเซียนพระสุเมรุ พวกท่านสามารถเข้าไปได้โดยใช้ยันต์พระสุเมรุที่มีอยู่ในมือของพวกท่านเท่านั้น”
เวิงจิ่วกล่าว
จากนั้นเขามองไปที่ประตูเคลื่อนย้ายสีเทา “ตาเฒ่าผู้นี้จะรอที่นี่เป็นเวลาสามเดือน ทุกท่านโปรดกลับมาให้ตรงตามกำหนด ไม่เช่นนั้นพวกท่านอาจจะต้องออกจากพื้นที่ต้องห้ามนี้ด้วยตัวเองในภายหลัง”
ทันทีที่ประโยคนี้เอ่ยจบ ใครบางคนพุ่งทะยานผ่านเข้าไปยังประตูเคลื่อนย้ายอย่างฉับพลัน
ครืน!
ด้วยแสงวาบอย่างรวดเร็ว ชายคนนั้นหายตัวไปจากประตูเคลื่อนย้าย
เมื่อเห็นเช่นนี้ คนอื่น ๆ ก็เริ่มทำตามเช่นกัน
“คนแซ่ซูจงจำเอาไว้ เจ้ากับข้า เราจะได้เห็นดีกันแน่ที่เกาะเซียนพระสุเมรุ!”
โม่ซิงเจ๋อเหลือบมองที่ซูอี้ด้วยดวงตาที่เย็นชาสีเงิน จากนั้นเขาจึงบินไปยังประตูเคลื่อนย้าย