บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 549 บงกชเพลิงของสองเทพผู้ขับไล่โรคภัย
ตอนที่ 549: บงกชเพลิงของสองเทพผู้ขับไล่โรคภัย
ตอนที่ 549: บงกชเพลิงของสองเทพผู้ขับไล่โรคภัย
ภายใต้ท้องฟ้าอันไกลโพ้น เมฆมงคลเกาะเป็นกลุ่มก้อน ม่านหมอกล่องลอย
เทือกเขาเป็นลูกคลื่นดุจมังกร ทอดยาวไปท่ามกลางฟ้าดิน ไม่มีที่สิ้นสุด
หากมองด้วยสายตาของเหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ คงมองไม่ออกว่าสถานที่แห่งนั้นมีสิ่งใดพิเศษ
แต่ซูอี้กลับทราบได้ทันที ว่ามันมีสมบัติล้ำค่าอยู่ในภูเขากลุ่มนั้น!
“ไป ไปตรงนั้นกัน!”
พูดจบ ซูอี้ก็เป็นฝ่ายพุ่งออกไปก่อนใคร
เส้นทางบนทิวเขาราวกับมังกรและงูที่คดเคี้ยวไปมา ยอดเขากระจัดกระจายสลับฟันปลา ท้องฟ้ากว้างครอบคลุมทั่วทุกทิศ กล่าวได้ว่าที่แห่งนี้คือ ‘ถ้ำสมบัติมหาวิถี’ ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์โดยแท้!
บริเวณตรงกลางที่ถูกล้อมรอบด้วยภูเขา เป็นสถานที่ที่ปราณวิญญาณหนาแน่นที่สุด และยังเป็นสถานที่ตั้งของถ้ำสมบัติมหาวิถีด้วย
เช่นเดียวกับสถานที่แห่งนี้ เมื่อวันเวลาผ่านไปภายใต้การสะสมของปราณวิญญาณ ย่อมต้องให้กำเนิดวัตถุวิญญาณชนิดพิเศษออกมา
ไม่ว่าจะเป็นแร่ชีพจรวิญญาณคุณภาพสูง โอสถล้ำค่ามหาวิถี หรือบางทีอาจเป็นสมบัติล้ำค่าอื่น ๆ อีกก็ได้!
และแม้จะมีถ้ำสมบัติมหาวิถีอยู่ในเก้ามหาแดนดิน ทว่าก็พบเห็นได้น้อยมาก ดังนั้นมันจึงมีค่าพอที่จะทำให้สำนักกลุ่มเต๋าขั้วอำนาจต่าง ๆ รวมตัวกันออกมาแย่งชิง!
ซูอี้ไม่คาดคิดเลยว่าในสถานที่อันลึกลับไร้คนรู้จักแห่งนี้จะมีเช่นกัน!
“ถ้าสถานที่เร้นลับแห่งนี้เคยเป็นดินแดนของหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุจริง ๆ เช่นนั้นมันก็ไม่น่าแปลกใจเลย…”
ซูอี้กล่าวเงียบ ๆ
ตราบใดที่เป็นสถานที่ซึ่งกองกำลังระดับจักรพรรดิยึดครองเอาไว้ จะต้องเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นนำของโลกหล้าแน่ ทั้งทัศนียภาพที่งดงาม ทั้งชีพจรวิญญาณที่เกี่ยวโยง และยังรุ่งเรืองเฟื่องฟูด้วย
เพราะสิ่งนี้จึงทำให้กลุ่มเต๋าระดับจักรพรรดิมั่งคั่ง และอยู่ยงคงกระพัน
ด้วยหากเป็นสถานที่ธรรมดาย่อมไม่สามารถรองรับความต้องการของผู้คนในขอบเขตจักรพรรดิได้ และเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะกลายเป็นสถานที่ซึ่งกลุ่มเต๋าขุมกำลังระดับจักรพรรดิจะหยั่งราก!
ไม่นานเหล่านักเดินทางก็มาถึงภูเขา
“บอกได้เลยว่าปราณวิญญาณที่นี่แข็งแกร่งยิ่งนัก!” เก๋อเฉียนแสดงความประหลาดใจออกมา
ทันทีที่มาถึงก็สังเกตได้ว่าปราณวิญญาณในภูเขาหนาแน่นมาก แทรกซึมอยู่ในทุกอณู และมากเสียจนเกิดความขุ่นมัวลอยละล่องไปทั่ว
“หากฝึกฝนที่นี่ เจ้าจะไม่ต้องกังวลว่าผลการฝึกของเจ้าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่อาจบรรลุได้…”
ได้ยินเสียงหัวใจเต้นเบา ๆ
เมื่อเทียบกับสถานที่แห่งนี้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนจุดสูงสุดของวังเทพสวรรค์เมฆาด้อยกว่ามาก
“ไม่แปลกใจที่ภูมิหลังและการฝึกฝนของตัวตนร้ายกาจจากยุคโบราณจะทรงพลังมาก พวกเขาได้รับการฝึกฝนในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยปราณวิญญาณตั้งแต่ยังเยาว์วัย หากไม่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น เช่นนี้แล้วก็ย่อมแสดงว่าคนผู้นั้นใช้ไม่ได้!”
เยว่ซือฉานถอนหายใจ
เมื่อเทียบกับสถานที่แห่งนี้ ปราณวิญญาณบนมหาทวีปคังชิงน้อยมากและขาดแคลนจนน่าโมโห
“การฝึกฝนมหาวิถีไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน หากเจ้าต้องการบรรลุความสำเร็จในมหาวิถี เงื่อนไขสี่ประการที่ต้องปฏิบัติตามอย่าง ‘ความมั่งคั่ง’ ‘สหาย’ ‘กฎ’ และ ‘ดินแดน’ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้อย่างแน่นอน”
ซูอี้พูดเสียงเรียบ “แต่ถ้าเจ้าต้องการเข้าสู่เส้นทางแห่งมหาวิถี การฝึกสภาพจิตใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากใจยึดมั่นในเต๋าเจ้าจะไม่หลงกลกับรูปลักษณ์ภายนอก หากสภาวะอารมณ์ไม่เพียงพอ เจ้าจะหลงทางอยู่ในมหาวิถีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
เหวินซินจ้าว เยว่ซือฉาน และเก๋อเฉียนต่างตกใจ ก่อนจะครุ่นคิด
หลังจากนั้นไม่นาน
พวกเขาก็ได้เดินทางมาถึงส่วนกลางของภูเขาแล้ว
นี่คือหุบเขาที่มียอดเขาสูงรอบด้าน สูงตระหง่านท่ามกลางหมู่เมฆราวกับมีกำแพงล้อมรอบหุบเขา
ทะเลเมฆาบนท้องฟ้ากำลังล่องลอย ลำแสงที่ส่องลงมานับพันมาถูกปราณวิญญาณแปรเปลี่ยนราวภาพฝัน
ลวดลายแบบนี้คือ ‘ท้องฟ้ากว้างครอบคลุมทั่วทุกทิศ’ ซึ่งเป็นดั่งตัวชี้บอกตำแหน่งถ้ำสมบัติมหาวิถีของธรรมชาตินั่นเอง!
หุบเขานี้มีระยะทางมากกว่าสิบลี้ มีเนินเขาเตี้ย ป่าทึบที่กระจัดกระจายอยู่ข้างใน และยังมีแม่น้ำไหลผ่านราวกับงูที่คดเคี้ยว
หมอกปราณวิญญาณจาง ๆ ในอากาศทำให้โดยรอบขมุกขมัวราวมีผ้าแพรโปร่งคลุมอยู่ ทำให้ทัศนียภาพภายในหุบเขาเพิ่มสีสันความลึกลับ
ตรงกลางหุบเขามีทะเลสาบเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
ทะเลสาบแห่งนี้น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก
น้ำในทะเลสาบมีแผ่นน้ำแข็งสีฟ้าปิดเอาไว้ แผ่ความหนาวเย็นออกมาจนหนาวเหน็บ พื้นดินรอบด้านถูกน้ำแข็งเกาะหนาเป็นชั้น ๆ และไม่มีหญ้าขึ้น
ตรงกลางทะเลสาบมีดอกบัวกำลังลุกเป็นไฟดอกหนึ่ง
ก้านของมันเหมือนหยกเลือดใสบริสุทธิ์ พร้อมด้วยใบบัวสามใบคอยปกป้องรูปลักษณ์เอาไว้ ซึ่งใบบัวแต่ละใบก็มีสีแดงสดราวกับไฟ และเปล่งแสงสีแดงเพลิงออกมา
เหนือก้านและใบบัวเหล่านั้นขึ้นไปอีก มีดอกบัวดอกหนึ่งดำราวกับหมึก ดอกหนึ่งขาวประดุจหยก หนึ่งดำหนึ่งขาว เหมือนใสและขุ่น หยางและหยิน ก่อรูปร่างเป็นจังหวะเทวะแห่งมหาวิถีขั้นสมบูรณ์ชนิดหนึ่ง
เมื่อมองจากที่ไกล ๆ จะเห็นว่าดอกบัวดอกนี้อาบแสงปราณวิญญาณอันงดงาม ใบบัวสีแดงและตัวดอกสีดำขาวได้ขับกันให้มีสีสันงดงาม
“นี่คือ?”
เหวินซินจ้าว เยว่ซือฉาน และเก๋อเฉียนประหลาดใจ
แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักดอกบัวชนิดนี้ เพียงแต่บรรยากาศที่ไม่ธรรมดาทำให้พวกเขารู้ว่านี่จะต้องเป็นโอสถล้ำค่าที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้แน่นอน!
“บงกชเพลิงของสองเทพผู้ขับไล่โรคภัย หนึ่งพันปีผลิบาน หนึ่งพันปีออกผล เรียกได้ว่าเป็นโอสถล้ำค่ามหาวิถี ตามธรรมชาติแล้วจะเลี้ยงด้วยพลังมหาวิถีสามชนิดอย่าง ไฟ หยิน และหยาง ในหมู่โอสถล้ำค่ามหาวิถี เรียกได้ว่าล้ำค่านัก”
ซูอี้พูดอย่างสบาย ๆ “หากปรุงลำต้น เจ้าจะเข้าใจจังหวะวิถีแห่งไฟ หากปรุงตัวดอก เจ้าจะเข้าใจจังหวะวิถีแห่งหยิน และจังหวะวิถีแห่งหยางตามลำดับ”
“โดยทั่วไปแล้ว โอสถล้ำค่ามหาวิถีเช่นนี้มักจะถูกกลุ่มเต๋าชั้นนำเหล่านั้นมอบให้ศิษย์สายตรงของสำนัก”
“เช่นนั้นแล้ว ก็สามารถเข้าใจและควบคุมพลังของจังหวะวิถีได้อย่างง่ายดาย คุณค่าของมันไม่อาจเทียบได้กับโอสถวิญญาณทั่วไป”
โอสถล้ำค่ามหาวิถี เรียกได้ว่าเป็นโอสถวิญญาณที่มีพลังจังหวะเทวะแห่งมหาวิถี หายากยิ่ง
หากอยู่ในเก้ามหาแดนดิน โดยทั่วไปแล้วจะมีเพียงกลุ่มเต๋าขั้วอำนาจระดับจักรพรรดิในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุดครอบครองได้เท่านั้น จึงจะสามารถหล่อเลี้ยงโอสถล้ำค่ามหาวิถีเช่นนี้ได้
โอสถล้ำค่ามหาวิถี!
เหวินซินจ้าว และคนอื่น ๆ ตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้
ยิ่งได้ยินคำพูดของซูอี้ ก็ยิ่งทำให้พวกเขาตระหนักได้มากขึ้นว่าบงกชเพลิงของสองเทพผู้ขับไล่โรคภัยที่อยู่เบื้องหน้า แทบเรียกได้ว่าเป็นโชคลาภที่หาได้ยากยิ่ง!
“สิ่งเดียวที่ยังไม่พอคือ ดอกบัวดอกนี้ยังร้อนไม่พอ และดอกยังไม่บาน ทั้งยังไม่ออกผล เมล็ดบัวในดอก ทุก ๆ เมล็ดจะมีจังหวะวิถีรวมอยู่ด้วย คุณค่าที่แท้จริงของมันเหนือล้ำนัก ไม่อาจเทียบกับตอนนี้ได้เลย”
ซูอี้รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง
ในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้ เขาเคยสร้างสระบัวแห่งหนึ่งภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง และปลูกดอกบัวล้ำค่าที่ไม่มีใครเทียบได้ทุกชนิดในโลก
ยามที่ดอกของมันบาน กลิ่นหอมจะอบอวลไปทั่วสารทิศ เบ่งบานอย่างงดงาม มันสวยงามมากจริง ๆ
ในหมู่พวกมันก็มีบงกชเพลิงของสองเทพผู้ขับไล่โรคภัยด้วย
ทว่าในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้ ด้วยวิถีเต๋าและเขตแดนของซูอี้ ที่เขาเปิดสระบัวเช่นนี้ขึ้นได้ก็เพื่อชื่นชมมันเท่านั้น บางครั้งก็จะเก็บเมล็ดบัวส่วนหนึ่งและกลีบดอกมาต้มชาหมักสุรา
“อย่างไรก็ตาม นี่นับได้ว่าเป็นโชคดีประการหนึ่ง เพราะข้าต้องการเพียงเข้าใจจังหวะวิถีแห่งหยาง ด้วยโอสถล้ำค่าชนิดนี้ มันย่อมช่วยทำให้ข้าประหยัดเวลาได้มาก”
ว่าจบ ซูอี้ก็พุ่งไปทางทะเลสาบ
ยามที่พวกเขาเข้าใกล้ อากาศเย็นเยียบเข้ากระดูกก็ปะทะใบหน้า และในขณะเดียวกันก็มีกลิ่นดอกไม้จาง ๆ ลอยมา ทำให้รู้สึกสบายใจเมื่อได้กลิ่นด้วย
“หืม?”
ในไม่ช้าซูอี้ก็พบกับบางอย่างเข้า นิ้วเท้าออกแรงเล็กน้อย
แกร็ก!
น้ำแข็งชั้นหนาบนพื้นแตกออก เผยให้เห็นแผ่นศิลาสีดำที่ทิ้งไว้บนพื้น
ซูอี้ยืดแขนออกมา ก่อนที่แผ่นศิลาสีดำพร้อมกับดินจะลอยขึ้นมาในอากาศ เขาเห็นบนแผ่นศิลาสลักตัวอักษรปีศาจโบราณไว้ประโยคหนึ่งว่า
เชิญรับชมสระบัว!
การค้นพบนี้ทำให้ซูอี้อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงออกมา “แน่นอนว่า เกาะเซียนพระสุเมรุแห่งนี้ย่อมต้องเป็นพื้นที่ของหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุ ซึ่งเมื่อสามหมื่นปีที่แล้วสระบัวแห่งนี้ถูกดูแลโดยหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุ แต่ผลของการจองจำแห่งยุคมืดได้ทำให้สระบัวกลายสถานที่ที่ไร้เจ้าของ”
หอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุเป็นหนึ่งในสามกลุ่มสำนักผู้ฝึกปีศาจเมื่อสามหมื่นปีที่แล้ว
ลายมือบนศิลาแผ่นนี้คืออักษรปีศาจโบราณที่สลักไว้ ไม่ต้องใช้ความคิดก็รู้ได้สระบัวนี้เดิมทีเป็นพื้นที่ล้ำค่าของหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุ
“ศิษย์พี่ซู ท่านรู้เยอะจัง…”
เหวินซินจ้าวอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
เยว่ซือฉานและเก๋อเฉียนเองก็ด้วย
พูดอย่างจริงจัง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ออกมาสำรวจโลกเร้นลับด้วยกันกับซูอี้ ทว่าความรู้และความสามารถที่อีกฝ่ายแสดงให้เห็นตลอดทางทำให้พวกเขาประหลาดใจอยู่หลายครั้ง
จนกระทั่งตอนนี้ แม้กระทั่งอักษรปีศาจโบราณซูอี้ก็จำได้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าในโลกใบนี้… มีอะไรที่ซูอี้ยังไม่รู้อีก?
สิ่งที่เรียกว่าเข้าใจทั้งอดีตและปัจจุบันอย่างแจ่มแจ้ง จดจำได้ร้อยพันเรื่อง คือดั่งที่พวกเขากำลังพบเห็นในขณะนี้นี่เอง!!
“ไม่แปลกใจที่เฒ่าชรานั่นอยากให้ข้าเดินทางมากับเขา แค่ความสามารถที่เขาแสดงให้เห็นตลอดทางก็มหัศจรรย์มากพอแล้ว แม้แต่ตัวตนจากยุคโบราณก็คงเทียบไม่ติด…”
เก๋อเฉียนพึมพำกับตัวเอง
และเพราะทราบว่าชายหนุ่มไม่ใช่ผู้สิงสถิต เช่นนั้นแล้วซูอี้ก็คงเป็นเทพเซียนลงมาโปรดเป็นแน่แท้!
“แค่เห็นมาเยอะเท่านั้น”
ซูอี้กล่าวพร้อมกับกวาดสายตามองไปยังบงกชเพลิงของสองเทพผู้ขับไล่โรคภัยที่อยู่ตรงกลางสระบัว ทันใดนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขา
“ดูเหมือนช่วงเวลาที่เรามาถึงจะไม่ได้แย่เสียเท่าไร ภายในสามวันนี้บัวตูมดอกนี้จะบานเต็มที่ เมื่อถึงเวลานั้นจังหวะวิถีทั้งสอง ‘หยินและหยาง’ ที่หล่อเลี้ยงอยู่ก็จะเรียกได้ว่าสมบูรณ์!”
สามวัน!
เปลือกตาของเก๋อเฉียนกระตุกอย่างรุนแรง เขาเอ่ยอย่างกังวล “คุณชายซู สามวันนานเกินไปแล้ว ในความคิดของผู้น้อย ไม่ว่ามันจะโตเต็มวัยหรือไม่ก็ตามเราเก็บมันมาใส่ย่ามไว้ก่อนเถิด จากนั้นก็รีบไปจากที่นี่ให้ไวจึงจะปลอดภัยที่สุด หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรขึ้นมา จะต้องเกิดการปะทะอย่างรุนแรงขึ้นที่นี่แน่…”
ยังเอ่ยไม่ทันจบ…
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะตะโกนออก “ปากเสีย!”
เสียงยังคงก้องกังวาน เขาพลันใช้นิ้วฟันออกไปเป็นดาบอย่างฉับพลัน มันพุ่งออกไปในแนวขอบฟ้า
ปราณดาบสีใสฟันออกมา
เคร้ง!!
อากาศเบื้องหน้าที่ห่างจากซูอี้ไปสามฉื่อ เกิดเสียงกระแทกฉับพลัน
ท่ามกลางแสงแดดสาดส่อง ลูกศรสีดำอันเล็ก ๆ ขนาดเจ็ดชุ่นก็ระเบิดออก เปลี่ยนหมอกสีเลือดที่กระจายไปทั่วให้กัดกินบรรยากาศอันน่าอัศจรรย์ใจรอบข้าง
เห็นได้ชัดว่าหมอกสีเลือดนี้มีพิษร้ายแรง มันมาพร้อมกับกลิ่นเลือดเหม็นหืนน่าสะอิดสะเอียน
แต่ก่อนที่หมอกสีเลือดจะกระจายออกไป ซูอี้ก็ใช้ฝ่ามือรวบมันไว้ในฉับพลัน
ตูม!
หมอกสีเลือดถูกจัดการและหดเล็กลง กลายเป็นกลุ่มแสงสีเลือดขนาดเท่ากำปั้นซึ่งถูกซูอี้จับไว้ในฝ่ามือ
“นี่คือ…”
สีหน้าของเหวินซินจ้าวและเยว่ซือฉานเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เก๋อเฉียนก็เบิกตากว้าง
พวกเขาไม่ทันสังเกตเห็นการลอบสังหารด้วยความเร็วเช่นนี้มาก่อนเลย และในตอนที่ตอบสนองต่อมันก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลูกธนูสีดำขนาดเจ็ดชุ่นนั้นผิดปกติและน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน ไร้สุ้มเสียง ไร้รูปร่าง และในจังหวะที่ไม่ทันคาดคิดมันก็มาถึงตรงหน้าพวกเขาแล้ว!
หากซูอี้ไม่สังเกตและเคลื่อนไหวก่อน พวกเขาก็ไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมาเลย
ใครกันที่แอบย่องเข้ามา!?
ฟึบ!
ในตอนนั้นเองที่ข้อมือของซูอี้สั่น ก่อนกลุ่มแสงสีเลือดจะหนีห่างออกไปราวกับลูกธนูพุ่งออกจากคันศร และมุ่งไปยังยอดเขาอันห่างไกล