บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 55 ผู้คนประหลาดใจ ยกเว้นข้า
ตอนที่ 55 ผู้คนประหลาดใจ ยกเว้นข้า
“แย่แล้ว!”
โม่เทียนหลิงเกิดหวาดกลัว เขารับรู้ได้ถึงภัยอันรุนแรงที่ปรากฏตรงหน้า เป็นความรู้สึกอันสิ้นหวังประหนึ่งจมน้ำ
ตัวเขาผู้สังหารชีวิตมากมายในสมรภูมินองเลือดหลายต่อหลายปี ผ่านทั้งการบ่มเพาะอันเหี้ยมโหด
มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้ตระหนักถึงความหวาดกลัวต่อความตายที่รุกคืบ!
ชั่วขณะนี้ จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาเลือนหาย ความคิดกลับกลายเป็นว่างเปล่า
ต่อสู้?
ขัดขืน?
ดิ้นรน?
ความคิดเหล่านี้ราวแตกออกเป็นเสี่ยง จนห้วงความคิดว่างเปล่า
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนนอกเวทีประลอง พวกเขาได้เห็นภาพฉากอันน่าทึ่ง
โม่เทียนหลิงราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง ยืนนิ่งงันไม่ไหวติง
แต่ในขณะที่ฝ่ามือของซูอี้ค่อย ๆ ประทับลง จู่ ๆ ซูอี้ก็เบนฝ่ามือของตนเองเปลี่ยนเป้าไปอีกที่ด้านข้างเวทีประลองเหนือแม่น้ำแทน
บรึ้ม!!
อากาศบริเวณเหนือแม่น้ำต้าฉาง ณ จุดที่ซูอี้เบนฝ่ามือไป จู่ ๆ ก็ระเบิดอย่างรุนแรง คลื่นเสียงเลือนลั่นดังประหนึ่งฟ้าคำราม
แม้แต่เวทีประลองซึ่งทำจากเหล็กอันเลิศล้ำยังถึงกับสะเทือนเลือนลั่นจากคลื่นระเบิด กระแสลมพัดผ่านเกิดเสียงหวีดร้อง เส้นผมยาวของโม่เทียนหลิงปลิวไสว เสื้อผ้าพัดกระพืออย่างรุนแรง
“นี่มันเคล็ดวิชาอะไรกัน?”
ทั่วทั้งบริเวณเวทีประลองนิ่งเงียบ ผู้ยิ่งใหญ่หลากหลายจากทั้งเมืองกว่างหลิงและเมืองลั่วอวิ๋นต่างอ้าปากค้าง
แม้หมัดอัสนีอสูรร่ำไห้ของโม่เทียนหลิงจะรุนแรงน่าตื่นตะลึง แต่เมื่อเทียบกับเคล็ดวิชาที่ซูอี้สำแดงออกมา มันช่างต่างกันราวกับสวรรค์และหุบเหว!
แม้กระบวนท่าจะไม่ได้ดูหวือหวา แต่อำนาจของมันก็มากพอที่จะทำอาคารถล่มทลาย ท้องฟ้าอาจถึงขั้นร่วงหล่นสู่ผืนดิน
“นี่มันอะไรกัน…”
มือขาวราวหยกแก้วของหนานอิ่งกำแขนเสื้อไว้แน่น เส้นเลือดที่หลังมือโปนปูดปรากฏเด่นชัด
นางจับจ้องยังบุรุษบนเวทีประลองผู้สวมชุดคลุมสีขาวประหนึ่งก้อนหยกขาว งดงามราวทวยเทพ ใจนางขณะนี้พลิกผันแปรเปลี่ยน เกิดเป็นความเจ็บแค้นอันยากบรรยาย
…จนตัวนางแทบสูญเสียการควบคุม
ชั่วเวลานี้ ไม่ว่าผู้ใดล้วนได้ตระหนักทราบ ซูอี้ไม่เพียงแต่ฟื้นคืนการบ่มเพาะ แต่ยังบรรลุจนแข็งแกร่งกว่าเดิม ถึงขนาดกำราบเอาชนะโม่เทียนหลิงได้!
เรื่องราวแท้จริงที่ได้เห็น มันชวนสะพรึงเกินผู้ใดจะนึกฝัน
“เหตุใดไม่จัดการข้าให้สิ้นเรื่องราว?”
ที่บนเวทีประลองขณะนี้ โม่เทียนหลิงรู้สึกตัว ใบหน้าขาวซีด ร่องรอยสั่นกลัวปรากฏชัดที่หว่างคิ้ว ทั้งยังรู้สึกโกรธเกรี้ยว หมองหม่น และไม่ยินดี
“ข้ากล่าวไปแล้ว ให้เจ้าใช้หนึ่งดาบโจมตีข้าได้ก่อน และตั้งแต่ต้นจนบัดนี้เจ้ายังไม่ได้ใช้ดาบโจมตีข้าแม้เพียงครั้ง หากขืนข้าลงมือ ข้าจะไม่กลายเป็นตัวตนไร้ความน่าเชื่อถืองั้นหรือ?” ซูอี้กล่าวด้วยท่าทีสงบ
โม่เทียนหลิงตกตะลึง ให้โอกาสตัวเขาได้ใช้หนึ่งดาบโจมตีงั้นหรือ?
คำพูดอันดูเมตตานี้ กลับทำลายความภาคภูมิในตัวเขา สีหน้าแสดงอาการอัปลักษณ์เด่นชัด ดวงตาเผยซึ่งความดุร้าย และโกรธเกรี้ยวประหนึ่งไฟที่ลุกไหม้
“ตัวข้ารับความพ่ายแพ้ได้ แต่ไม่ใช่กับการถูกเหยียดหยาม!”
สิ้นคำกล่าวอันเย็นเยือก โม่เทียนหลิงชักดาบเผยออก
ชิ้ง!
ตัวดาบสีม่วงเข้มเป็นประหนึ่งแสงเหนือที่งดงาม ภายใต้แสงไฟยามค่ำคืน มันทอประกายแสงสีโลหิตอย่างชวนสะพรึง
ดาบโลหิตม่วง!
อาวุธร้ายที่จวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงมอบให้ โดยหวังให้โม่เทียนหลิงใช้ดาบนี้สังหารศัตรูในสมรภูมิสู้รบ สร้างความดีความชอบที่ผู้อื่นยากทัดเทียม
ก่อนหน้านี้ แม้เผชิญหน้ากับเหวินเจวี๋ยหยวน เขาหาได้ใช้ดาบเล่มนี้ไม่
ดาบปรากฏในมือ พลังปราณของโม่เทียนหลิงแปรเปลี่ยน มันเกรี้ยวกราดประหนึ่งไฟเผา เฉียบคมประดุจน้ำแข็ง
ภาพฉากที่เห็น ดึงดูดทุกความสนใจจากทั่วบริเวณ ผู้คนต่างประหลาดใจ
“แท้จริงแล้ว ความสามารถเขาอยู่ที่การใช้ดาบ…”
เหวินเจวี๋ยหยวนเบิกตากว้าง ใบหน้าซีดเผือด
ตึก! ตึก! ตึก!
ที่บนเวทีประลอง โม่เทียนหลิงก้าวเท้า ทุกย่างก้าวดังประหนึ่งเสียงกลองลั่น
ในมืออีกฝ่าย ดาบโลหิตม่วงยกขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะฟาดร่วงหล่นพร้อมประกายแสง
หนึ่งดาบดื่มโลหิต!
ครั้งจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงอยู่ในสนามรบ ดาบเล่มนี้เป็นผลให้ตัวเขาอยู่ยงคงกระพัน กระทั่งศัตรูทั้งหลายต่างหากันหลบลี้หนีหายด้วยความหวาดกลัว
และยามดาบเล่มนี้ถูกใช้งานโดยโม่เทียนหลิง แม้จะไม่ได้น่าเกรงขามทัดเทียมเจ้าของที่แท้จริง ทว่าก็มากพอที่จะแสดงอำนาจหนึ่งในสาม
วิ้งงง!!!
ตัวดาบเปรียบดังสายฟ้า พลังแผ่ออกชวนรับชม ยามฟาดฟัน ห้วงอากาศรอบด้านเกิดเป็นเสียงคำรามต่ำ
หนึ่งดาบฟาดฟัน ผู้คนต่างเกิดรู้สึกขนลุก
อย่างไรก็ตามซูอี้ที่พบเห็นภาพนี้กลับขมวดคิ้วไปเล็กน้อย ความผิดหวังปรากฏจากส่วนลึกในดวงตา
เขาถอนหายใจเบา ก่อนจะเหยียดมือข้างขวาเข้ารับกับคมดาบอันเย็นเยียบ จากนั้นดีดนิ้วชี้เบา ๆ เข้าใส่ดาบของโม่เทียนหลิง
สิ่งที่ซูอี้ทำประหนึ่งเป็นเรื่องง่ายดาย
แต๊ง!!!
เสียงสะเทือนแก้วหูดังก้อง ร่างของโม่เทียนหลิงที่แต่เดิมพุ่งทะยานเข้าหาซูอี้ แต่แล้วจู่ ๆ ราวกับถูกสายฟ้าผ่าเข้าใส่ ทั้งกายสั่นสะท้านรุนแรง ตัวคนกระเด็นกลับอย่างควบคุมไม่อยู่ ส่วนดาบโลหิตม่วงในมือขวานั้นสั่นไหวรุนแรง ก่อนจะกระเด็นหลุดลอย
หนึ่งดาบดื่มโลหิตคือเคล็ดวิชาไม้ตายก้นหีบของโม่เทียนหลิง แต่ขณะนี้มันกลับพินาศย่อยยับด้วยการที่ซูอี้ใช้เพียงหนึ่งนิ้วดีด!
เคร้ง เคร้ง เคร้ง!
ดาบโลหิตม่วงร่วงหล่นกับพื้นเวทีประลอง จิตวิญญาณที่หลุดลอยของผู้รับชมตื่นขึ้น สีหน้าพวกเขาล้วนแปรเปลี่ยน
แพ้ชนะตัดสินด้วยหนึ่งนิ้วดีด ชวนสะพรึงเกินไป!
“ดาบหลุดมือ ไร้ฝีมือเช่นนี้ เจ้าช่างน่าผิดหวังนัก” ซูอี้ส่ายศีรษะ
เดิมเขานึกคิด ว่าคนเช่นโม่เทียนหลิงสมควรประสบความสำเร็จในเคล็ดวิชาดาบ
ผู้ใดกันคาดคิด ว่าหนึ่งดาบที่เขาแสดงให้เห็น จะทั้งหลงทาง และไม่น่ารับชม
โม่เทียนหลิงตื่นตะลึง จิตวิญญาณเขาดับสิ้น ถ้อยคำกล่าวออกด้วยน้ำเสียงขื่นขม “เจ้าใช้เคล็ดวิชาอะไรกัน?”
ตัวเขาสับสนรุนแรง ทราบว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นประหนึ่งฝันร้าย ทั้งยังไม่อาจหยั่งทราบได้ว่าคู่ต่อสู้ตรงหน้ามีพลังลุ่มลึกถึงเพียงไหน
“ข้าใช้เพียงเคล็ดวิชาอันเล็กจ้อย ไม่คู่ควรให้สิ้นน้ำลายกล่าวออก” ซูอี้กล่าวอย่างไม่แยแส
ดีดนิ้วเมื่อครู่ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการลงมือที่แม่นยำ ที่พึ่งพาสายตา ความแข็งแกร่งทางกายและจิตใจ ซึ่งไม่ใช่เคล็ดวิชาลึกซึ้งใด ๆ ด้วยซ้ำ
“เคล็ดวิชาอันเล็กจ้อย…”
โม่เทียนหลิงพึมพำกับตนเอง ใจตื่นตะลึง ถ้อยคำกล่าว “ข้าแพ้แล้ว…”
แววตาของเขาว่างเปล่า ร่างกายห่อเหี่ยว และเดินโซเซออกจากเวทีประลองไป
ชั่วเวลานี้เอง ที่บุตรบุญธรรมแห่งจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงโม่เทียนหลิงพ่ายแพ้!
ที่บนเวทีประลอง ซูอี้ใช้สองมือไพล่หลัง กล่าวถ้อยคำอันเบาออก “มีผู้ใดคิดท้าประลองกับข้าหรือไม่?”
ทั่วทั้งสถานที่เงียบสงัด!
ไม่ว่าจากทั้งฝั่งเมืองกว่างหลิง หรือฝั่งเมืองลั่วอวิ๋น หาได้มีผู้ใดกล้าตอบคำ
นับตั้งแต่ซูอี้ขึ้นเวทีประลอง จนกระทั่งความพ่ายแพ้ของโม่เทียนหลิง ทั้งหมดคือเวลาเพียงครู่เดียว แต่กลับทำลายความตระหนักรู้ของผู้คนนับไม่ถ้วน!
ผู้ใดบ้างคาดคิด ศิษย์ซึ่งถูกขับไล่จากสำนักดาบชิงเหอ บุตรเขยตระกูลเหวินที่ผู้คนหยามเหยียด ขณะนี้กลับพิชิตงานประลองประตูมังกรได้ด้วยช่วงเวลาเพียงหนึ่งปีผ่านพ้นที่เขาสูญเสียการบ่มเพาะ
โดยเฉพาะความลึกลับที่ซูอี้เก็บงำ ที่กระทำได้แม้กระทั่งกำราบโม่เทียนหลิงด้วยปลายนิ้ว มันยิ่งทำให้ผู้คนทั้งหลายแตกตื่น
สีหน้าเหวินเจวี๋ยหยวนห่อเหี่ยว ประหนึ่งสูญสิ้นญาติมิตร
ตัวเขาคือผู้นำรุ่นเยาว์แห่งตระกูลเหวิน เป็นยอดฝีมือเยี่ยมยุทธ์แห่งเมืองกว่างหลิง ตัวเต็งอันดับหนึ่งงานประลองประตูมังกร
ก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยมองซูอี้ในสายตา กระทั่งเมินเฉยและดูแคลนด้วยซ้ำ
แต่แล้วตัวเขากลับถูกโม่เทียนหลิงจัดการพ่ายแพ้ด้วยหนึ่งหมัด!
การพ่ายแพ้ต่อโม่เทียนหลิง มันไม่ใช่เรื่องหนักหนา อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นถึงศิษย์ที่เคยสังกัดสำนักดาบชิงเหอ ทั้งในขณะนี้ ยังเป็นบุตรบุญธรรมของจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวง
การพ่ายแพ้ให้กับคู่ต่อสู้เช่นนี้ เหวินเจวี๋ยหยวนยังพอรับได้
แต่แล้วเมื่อเขาได้เห็นโม่เทียนหลิงพ่ายแพ้แก่ซูอี้อย่างง่ายดาย ความคิดของเหวินเจวี๋ยหยวนระเบิดแตกออก ตกอยู่ในห้วงความโกรธเกรี้ยวและสับสน ไร้สิ้นสุดและไม่อาจหาทางหลุดพ้นออกมา
เพียงชั่วเวลานี้ เขาไม่อาจหักใจยอมรับว่าคนที่ตนเองหยามเหยียดมาตลอด จะมีฝีมือเหนือไปกว่าตนเองได้!
เหวินเส้าเป่ยและผู้อื่นจากตระกูลเหวินต่างอับจนและนิ่งงันเช่นกัน
พวกเขาเพิ่งได้ตระหนักทราบ ตนเองต่อหน้าซูอี้เป็นตัวตลกเช่นไร ไม่ต่างอะไรกับตัวตลกที่ผู้คนหัวเราะ…
“ตัวบัดซบผู้นี้ มันถึงขั้นหลอกลวงต่อตระกูลเหวินของข้า!”
เหวินฉางชิงกัดฟันแน่น ราวกับได้เข้าใจก็ตอนนี้ สีหน้าทั้งหมองหม่นและหวาดเกรง
หลี่เทียนหานเกิดหนักใจ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามตนเอง ว่าหากโม่อวิ๋นบุตรชายเขาอยู่ที่นี่ จะมีทางเอาชนะซูอี้ได้หรือไม่
“อึก!”
โจวฮวายชิวทั้งตื่นเต้น และนึกเสียดาย ขณะนี้ในใจเกิดเป็นความซับซ้อนรุนแรง
การเผยพลังของซูอี้ ทำให้ตัวเขาประหลาดใจเกินบรรยาย แต่เมื่อนึกย้อนถึงสิ่งที่สำนักดาบชิงเหอเคยกระทำไว้ แถมตัวเขายังวางท่าทีห่างเหินยามทราบว่าอีกฝ่ายเป็นบุตรเขย เช่นนี้จะไม่ให้เขาเสียใจได้อย่างไร?
มุมปากเขาเผยเพียงรอยยิ้มเจื่อน
หูเฉวียนอ้าปากกว้างค้าง ราวยังไม่คิดเชื่อ!
หวงเฉียนจวิน รวมทั้งเนี่ยเถิงต่างเกิดหลากความรู้สึกในใจ ทั้งเคารพและประหลาดใจ
ท่าทีหนานอิ่งแปรเปลี่ยน ใจหนึ่งนึกเสียดาย อีกหนึ่งนั้นโกรธแค้น
ที่นางไม่ยินดี คือยามที่นางทราบว่าซูอี้สูญเสียการบ่มเพาะโดยสิ้นเชิง กลับด่วนตัดสินใจ นางควรจะหลงเหลือความสัมพันธ์เอาไว้บ้าง เพราะหากมีโอกาส บางทีมันจะสามารถฟื้นคืนเรื่องระหว่างนางและซูอี้ได้อีกครั้ง…
หนานอิ่งไม่ทันสังเกตถึงหนีเฮ่าที่ข้างกาย เขาเอาแต่จ้องมองนางเพราะเห็นนางเอาแต่จ้องซูอี้อย่างแข็งค้าง ใบหน้าหนีเฮ่าเริ่มเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง จนเกิดเป็นความโกรธขึ้นในใจอย่างสุดแสน
หวงอวิ๋นชงกับเนี่ยเป่ยหู่มองหน้ากัน และต่างเห็นแววความตกใจในดวงตาอีกฝ่าย
ทันใดนั้น ทั้งสองก็อดหัวเราะไม่ได้
เพราะพวกเขามีลางสังหรณ์อยู่แล้ว ว่าการออกโรงของซูอี้จะนำความยินดีมาเยือน
ที่ไม่คาดคิดคือ ซูอี้จะชนะอย่างงดงามเช่นนี้ กระทั่งทำพวกเขาผู้อยู่ขอบเขตรวบรวมลมปราณ ต่างนึกทึ่ง
ไม่ว่าด้วยอะไร พวกเขาทุกคนต่างมั่นใจ หลังจบงานประลองประตูมังกรในวันนี้ ชื่อเสียงของซูอี้จะกระฉ่อนไปทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำต้าฉาง!
ทางด้านฟู่ซาน ขณะนี้เลิกคิ้วพร้อมหัวเราะดังออก เป็นการทำลายความเงียบงันทั่วเวทีประลอง พร้อมกล่าวถ้อยคำ “ลี่เจี้ยนอวี่ หากไม่มีผู้ใดออกมาท้าต่อสู้แล้ว สิบปีนับจากนี้ เกาะไผ่วิญญาณจะตกเป็นของเมืองกว่างหลิง!”
เสียงดังก้องไปทั่วทั้งสถานที่
ทางฝั่งเมืองลั่วอวิ๋น ใบหน้าของลี่เจี้ยนอวี่บังเกิดแต่ความเศร้าหมอง และความกล้ำกลืนอย่างลึกซึ้งผุดขึ้นในใจ
เดิมทีโม่เทียนหลิงเป็นไพ่ตายที่เขาเตรียมเอาไว้
ผู้ใดกันคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะมีไพ่เด็ดเป็นบุตรเขยแห่งตระกูลเหวิน ที่ผู้คนทั้งเมืองกว่างหลิงต่างเหยียดหยาม!
ยามนี้ได้ยินเสียงหัวเราะของฟู่ซานดังปรากฏ ตัวเขาที่โกรธเคืองอยู่แล้วแทบกระอักเลือด
ยามมองไปยังผู้ยิ่งใหญ่ฝั่งเมืองลั่วอวิ๋นผู้อื่น แต่ละคนต่างเผยสีหน้าปั้นยาก
ทางด้านเวทีประลอง
สองมือซูอี้ไพล่หลังยืนนิ่งโดยลำพัง สีหน้าเรียบเฉย ไม่ทั้งยินดีหรือทุกข์
สำหรับผู้อื่น การเอาชนะโม่เทียนหลิงนับเป็นความสำเร็จอันควรค่า
แต่กับตัวเขา มันเป็นเพียงการจัดการบุรุษหนุ่มเลือดร้อนขอบเขตโคจรโลหิตผู้หนึ่ง เป็นเรื่องราวใดให้ควรต้องใส่ใจ?
หากไม่ใช่เพราะฟู่ซานเอ่ยปากร้องขอครั้งนี้ เขาก็คร้านเกินกว่าจะเข้าร่วมงานประลอง
‘หากหลิงเสวี่ยอยู่ที่นี่ด้วย ร่วมล่องเรือในลำน้ำครามใหญ่กับนางคงน่าสนใจยิ่งกว่า รับชมแสงไฟอันงดงามนับพันหมื่นสะท้อนบนผิวน้ำยามราตรี ไม่ใช่เข้าร่วมงานประลองเช่นนี้’
‘นางเวลานี้สมควรได้พบเหวินหลิงเจาผู้เป็นพี่แล้ว ไม่ทราบเลยว่าจะกลับมาเมื่อใด…’
ซูอี้มองไปยังแสงไฟงามงดบนผืนน้ำไกลห่าง ใจเกิดนึกถึงเหวินหลิงเสวี่ยผู้เป็นน้องภรรยาที่ผุดผ่อง ทรงเสน่ห์ และมีชีวิตชีวา
ชั่วเวลานี้ จิตใจเขาพลันปรากฏร่องรอยความผิดหวังขึ้น