บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 551 จะนับว่าเป็นแผนก็ย่อมได้
ตอนที่ 551: จะนับว่าเป็นแผนก็ย่อมได้
ตอนที่ 551: จะนับว่าเป็นแผนก็ย่อมได้
สีหน้าของเฟิงจื่อตูถมึงทึงไม่น่าดู
สหายสองคนถูกฆ่า กระทั่งโอกาสยังถูกซูอี้ฉวยไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หัวใจของเขาหลั่งเลือด
ครู่ต่อมา เขาก็สูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะกล่าวคำต่อคำ “ซูอี้ เราจะได้เห็นดีกัน!”
กล่าวจบ เขาก็หันหลังเดินจากไป
เงาร่างวูบไหวมลายหาย
ซูอี้ไม่ได้ไล่ตาม
เฟิงจื่อตูสำเร็จวิถีแห่งเงาลม ฝึกฝนวิชาตัวเบาล้ำเลิศ หากต้องการฆ่าอีกฝ่ายจริง ๆ จะยากสำเร็จในช่วงกาลสั้น ๆ
ทว่าซูอี้ไม่ต้องการเปลืองกำลังไปกับตัวตนผู้ไม่สำคัญ
ที่สำคัญกว่านั้น สำหรับซูอี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องร้ายหากปล่อยให้เฟิงจื่อตูจากไป และบางที ปลาน้อยใหญ่บางตัวอาจถูกล่อมาติดแห…
“ศิษย์พี่ซู สองท่านนี้คือตงกัวอวิ๋นและหร่านฉง พวกเขาต่างก็เป็นผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณ ในชุมนุมมวลพฤกษานี้ ตงกัวอวิ๋นเป็นอันดับสิบสาม และหร่านฉงอยู่ในอันดับสิบเก้า”
เหวินซินจ้าวกล่าวฉับไว “โดยเฉพาะตงกัวอวิ๋นผู้นี้ แม้ว่าความแข็งแกร่งจะไม่ได้เลิศล้ำเหนือทุกผู้ แต่กล่าวได้ว่าเขามีภูมิหลังยิ่งใหญ่ บรรพชนของเขาเป็นตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิแห่งตระกูลตงกัวโบราณ”
ยามนั้นเอง ซูอี้จึงรู้ว่าชายชุดดำผู้นี้มีนามว่าตงกัวอวิ๋น
และชายผู้สิ้นใจใต้น้ำแข็งมีชื่อว่าหร่านฉง
“ข้าเองก็เคยได้ยินกิตติศัพท์เกี่ยวกับตงกัวอวิ๋นผู้นี้มาบ้าง กล่าวกันว่าเขามีญาติผู้พี่อันร้ายกาจผู้หนึ่งชื่อตงกัวเฟิง เข้าสู่วิถีวิญญาณเมื่อสามหมื่นปีก่อน และมีภูมิหลังน่าสะพรึงกลัวยิ่ง”
เขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “แม้ว่าตงหัวเฟิงจะไม่ได้ตื่นจากภวังค์เงียบงัน แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าขอเพียงบุคคลเช่นนี้เกิดมา ชีวิตก็ถูกลิขิตให้โลดแล่นเหนือมวลชน”
เมื่อกล่าวไป เขาก็ขมวดคิ้วพูดต่อ “สิ่งที่เป็นปัญหามากกว่าก็คือเฟิงจื่อตูผู้นั้นหนีไปแล้ว ซึ่งหมายความว่าความตายของตงกัวอวิ๋นและหร่านฉงจะถูกเปิดเผย! หลังจากเกาะเซียนพระสุเมรุ ขอเพียงตระกูลตงกัวทราบข่าว พวกเขาจะไม่เลิกราแน่…”
เมื่อเก๋อเฉียนพูดถึงตรงนี้ เขาพลันเงียบเสียง
เพราะเขาพบว่าซูอี้ได้พลิ้วกายหายไปยืนอยู่หน้าสระบัวแล้ว
เห็นได้ชัดว่าวาจาของเขาถูกละเลย…
สิ่งนี้ทำให้เก๋อเฉียนยิ้มอย่างขมขื่น
“สหายเต๋าเก๋อ เจ้าจะมัวครุ่นคิดไปไยว่าภายหน้าจะดีหรือร้าย เจ้าน่าจะรู้ว่ายามแสวงโอกาสในเกาะเซียนพระสุเมรุแห่งนี้ การต่อสู้และความขัดแย้งต้องเกิดเป็นธรรมดา”
เหวินซินจ้าวอดพูดไม่ได้ว่า “ยิ่งกว่านั้น หวนเฉ่าโหยวและโม่ซิงเจ๋อต่างก็เกลียดศิษย์พี่ซูนัก หากเขาพบสองผู้นี้ สองฝ่ายย่อมโรมรันไม่เลิกรา หากเป็นเช่นนี้ มัวคิดถึงปัญหาในอนาคตไป มันก็จะปรากฏ…”
เยว่ซือฉานกล่าวว่า “ข้ามีพลังไม่เพียงพอ”
เหวินซินจ้าวพยักหน้า
เก๋อเฉียนนิ่งอึ้งกับที่
“โทษเขาที่พูดเช่นนี้ก็ผิดนะ”
ยามนี้ ซูอี้ผู้อยู่ข้างสระบัวห่างออกไปกล่าวขึ้น “เก๋อเฉียนเป็นคนรอบคอบระวังตน เส้นทางมหาวิถีของเขาแตกต่างจากผู้อื่น เขาคิดละเอียดอ่อนเช่นนี้ก็นับเป็นวิธีปลอดภัยที่สุด และยังเหมาะสมกับเขาที่สุด”
“สำหรับเขา เขาควรระวังตนไว้ก่อนและเตรียมการอย่างเหมาะสม เมื่อเกิดหายนะขึ้น เขาจึงจะพร้อมรับมือเต็มกำลัง”
“บุคคลและมหาวิถีเช่นนี้ไม่ได้แย่”
คำกล่าวเหล่านี้กระทบโสตเก๋อเฉียน ทำให้หัวใจของเขาสั่นคลอน ตื้นตันเกินบรรยาย สีหน้าเหม่อค้าง
เขาไม่เคยคิดเลยว่าบุคคลผู้รู้และเข้าใจเขามากที่สุดในโลกจะเป็นซูอี้!
อาจารย์ของเขาเก๋อฉางหลิงมักเกลียดที่เหล็กไม่ยอมเป็นเหล็กกล้าเสียที คิดว่าเขาขี้ระแวงและขลาดกลัวเกินไป
กระทั่งชายชราผู้อาศัยในร่างของเขายังพูดบ่อยครั้งว่าเขาเป็นเจ้าเด็กเหลือขอผู้หวงชีวิตเกินกว่าจะเสี่ยงกล้าท้าตาย มีเพียงซูอี้ที่ดูจะไม่คิดว่าการระวังตนไว้ก่อนจะแย่นัก!
“แปลกแท้ ชายผู้นี้แข็งแกร่งกล้าหาญมากอย่างเห็นได้ชัด ไม่เห็นโลกในสายตา เป็นบุคลิกที่ห่างกับข้าลิบลับ ทว่าเขากลับดูจะเข้าใจข้าดียิ่ง…”
อารมณ์ของเก๋อเฉียนปั่นป่วน เปี่ยมด้วยความรู้สึก
ยามถูกเข้าใจหัวอกและได้รับการยอมรับ ทำให้เขากระทั่งอยากจะถือซูอี้เป็นคนสนิท
ทว่าประโยคถัดไปของซูอี้กวาดความรู้สึกในใจเก๋อเฉียนไปสิ้น
“แน่นอนว่าตัวตนและมหาวิถีเช่นนี้ก็ไม่ได้ดี พวกเจ้าทั้งสองไม่ควรทำตาม หาไม่ หัวใจแห่งดาบจะฝุ่นเกาะได้”
เหวินซินจ้าวอดยิ้มไม่ได้
เยว่ซือฉานพยักหน้าอย่างจริงจัง
มุมปากเก๋อเฉียนกระตุก ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“อย่ามัวอึ้งสิ ไปเก็บของที่ริบได้เร็ว”
ซูอี้หันไปมองเก๋อเฉียน
“เอ่อ… ได้!”
เก๋อเฉียนรีบรับคำ
จนกระทั่งเมื่อยามเขาง่วนกับงาน จึงตระหนักได้ว่าซูอี้ก็แค่ใช้เขาเป็นตัวละครประกอบ…
“ข้าถือเขาเป็นคนสนิท ทว่าเขาถือข้าเป็นแรงงาน!”
เก๋อเฉียนเศร้าใจ
เมื่อเก๋อเฉียนเก็บสิ่งของต่าง ๆ เสร็จ อารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนเป็นยินดี
เขาไม่เคยคิดฝันว่าตงกัวอวิ๋นและหร่านฉง ผู้ร้ายกาจยุคโบราณทั้งสองจะถือสมบัติหายากไว้กับตัว!
สิ่งล้ำค่าที่สุดในหมู่พวกมันคือสมบัติจิตวิญญาณสามชิ้น
หนึ่งคือคันฉ่องทิพย์เมืองฮุ่นหยวน
สมบัติจิตวิญญาณเชิงป้องกัน หลอมขึ้นโดยมหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตวงล้อวิญญาณ เป็นสมบัติชั้นยอดซึ่งสามารถรับการโจมตีสุดกำลังจากมหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตวงล้อวิญญาณได้
ก่อนหน้านี้ สมบัติชิ้นนี้ถูกตงกัวอวิ๋นซุกซ่อนเอาไว้ ทว่าก่อนจะทันได้ใช้มัน ซูอี้ก็คว้าคอของเขาชิงมันมา…
หากอีกฝ่ายเคลื่อนย้ายมันทันกาล คงเป็นไปไม่ได้หากจะแพ้รวดเร็วเช่นนี้
ชิ้นที่สองคือยันต์ลับทรงกระสวย นามว่า ‘ยันต์ศึกทลายมายา’
ยันต์นี้บรรจุพลังแห่งมิติอันน่าสะพรึงกลัวไว้ ตราบใดที่ใช้ยันต์นี้ แม้จะถูกกักอยู่ในค่ายกลจองจำ ผู้ใช้จะสามารถทะยานหนีสู่ฟ้าและมีชีวิตรอดท่ามกลางสถานการณ์คับขัน!
สมบัติชิ้นนี้ก็มาจากตงกัวอวิ๋นเช่นกัน
โชคร้ายที่ก่อนซูอี้จะจับเขาได้ เขาก็ยังไม่มีเวลาได้ใช้มัน…
ชิ้นที่สามเป็นเกราะอ่อนคู่หนึ่ง นามว่า ‘เกราะวิญญาณเมฆาหลิงเซียว’
มันถูกสร้างขึ้นจากไหมวิญญาณเมฆาอันหายากยิ่ง ลงค่ายกลแนวป้องกันลับหกสิบสี่ชั้นโดยมหาปราชญ์สวรรค์ มูลค่ามหาศาลของมันเกินกว่าจะประเมินเป็นหินวิญญาณได้
สมบัติชิ้นนี้ เดิมทีหร่านฉงสวมไว้กับตน เป็นไพ่ตายช่วยชีวิตของเขา
โชคร้ายที่ซูอี้ใช้หอกเสียบทะลุคอของเขา แทนที่จะเป็นเกราะอ่อนที่เขาสวม…
นอกจากสมบัติล้ำค่าทั้งสาม ยังมีโอสถเยียวยาอื่น ๆ และหินวิญญาณที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการฝึกตน ทั้งหมดทั้งมวลต่างเป็นสิ่งของชั้นเลิศซึ่งไม่มีทางได้เห็นในโลกทั่วไป
เมื่อนับสมบัติเสร็จ เก๋อเฉียนก็อดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ ผู้ร้ายกาจแห่งยุคโบราณเหล่านี้ร่ำรวยนัก! อยากปล้นเพิ่มอีกสักสองสามคน…
และยามที่เก๋อเฉียนมอบสมบัติทั้งหมดให้ชายหนุ่ม ซูอี้ก็อดแสดงท่าทีแปลกใจออกมาไม่ได้ ในมหาทวีปคังชิงทุกวันนี้ แกะอ้วนเยี่ยงนี้หาได้ยากยิ่ง
ท้ายที่สุด ซูอี้ก็มอบคันฉ่องทิพย์เมืองฮุ่นหยวนแก่เหวินซินจ้าว เกราะวิญญาณเมฆาหลิงเซียวแก่เยว่ซือฉาน และยันต์ศึกทลายมายาแก่เก๋อเฉียน
ส่วนสมบัติที่เกี่ยวกับการฝึกตนอื่น ๆ เขาก็เก็บเอาไว้เองทั้งหมด
ยามแรก เหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ ต่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย คิดว่าพวกตนไม่คู่ควรจะได้รับส่วนแบ่งสินสงครามโดยไม่มีผลงาน
ทว่าไยซูอี้ต้องสนใจสมบัติเหล่านี้ด้วย?
เขาเป็นเช่นนี้เสมอ ขอเพียงแค่ลงมือกับผู้อื่น สินสงครามจะถูกแบ่งเท่า ๆ กัน เขาเป็นเช่นนี้มาแต่อดีตชาติ และเป็นเช่นนี้ต่อไปในยามปัจจุบัน
“ศิษย์พี่ซู ขอบคุณมากนะ”
ตาคู่งามของเหวินซินจ้าวเปล่งประกายและชุ่มน้ำ รอยยิ้มหวาน และไม่ได้ซุกซ่อนความปรีดาในใจ
เยว่ซือฉานไม่ได้พูดมาก ทว่าดวงตากลับเย็นเยี่ยงน้ำแข็ง มีเพียงยามที่นางมองซูอี้เท่านั้นที่แววตาคู่นั้นอ่อนโยนลง
เก๋อเฉียนตื้นตันจนน้ำตาไหล ทว่าเขาไม่ได้คาดว่าปฏิบัติการนี้ ไม่เพียงจะได้รับการปกป้องจากซูอี้ เขายังได้ส่วนแบ่งสินสงครามด้วย
การปฏิบัติด้วยเช่นนี้เหนือจินตนาการของเขาไปมาก
‘มิน่าเล่า ชายชราผู้นั้นจึงยืนกรานให้ข้าร่วมมือกับคุณชายซู เขาคงคาดไว้แล้วว่าข้าจะไม่ได้เพียงปลอดภัย ทว่ายังได้แบ่งผลประโยชน์ร่วมกับคุณชายซูด้วย…’
เก๋อเฉียนพึมพำในใจ
เขาไม่รู้เลยว่าในสายตาซูอี้ ตัวเขานั้นเหมือน ‘ศิษย์หลาน’ ซึ่งถัดลงไปอีกสองรุ่น แล้วจะให้ชายหนุ่มปฏิบัติต่อศิษย์หลานอย่างเลวร้ายได้เช่นไร?
หลังจากแบ่งสินสงคราม ซูอี้ก็ไม่รีรอ เริ่มง่วนกับภารกิจของเขา
เขาสุ่มหยิบม้วนหยกโบราณว่างเปล่าออกมาชุดหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มใช้งานอุปกรณ์ค่ายกล
“คุณชายซู ท่านทำอันใดอยู่หรือ?”
เก๋อเฉียนถามอย่างเคารพ
ความมั่งคั่งเปลี่ยนใจคน และสามารถซื้อหรือปลอบใจคนได้
แม้ว่าเก๋อเฉียนจะไม่ถูกสินบนซื้อ ทว่าหลังจากได้รับของกำนัลจากซูอี้ ทัศนคติของชายหนุ่มผู้รอบคอบก็เปลี่ยนไปมากอย่างเห็นได้ชัด
“อยู่ว่าง ๆ ก็แค่เดินตามวิธีของเฟิงจื่อตู ตั้งกับดักรอกระต่ายที่นี่ แล้วรอดูว่าในสามวันนี้จะดักเหยื่อได้มากเพียงไร”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมยพลางประกอบค่ายกล
เก๋อเฉียนอ้าปากค้างตกตะลึง เขาไม่คิดเลยว่าชายผู้ถือตนหยิ่งทะนงเช่นซูอี้จะทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ด้วย
“สุดยอด!”
ตาคู่งามของเหวินซินจ้าวทอประกาย “เฟิงจื่อตูเคยซุ่มโจมตีที่นี่มาก่อน ประการแรกคือเพื่อสังหารศัตรูผู้พยายามฉวยโอกาส ประการที่สองคือใช้โอกาสเก็บเกี่ยวสินสงคราม หากไม่ใช่ว่าครั้งนี้พบศิษย์พี่ซู แต่เป็นผู้อื่นล่ะก็ เกรงว่าพวกเขาคงบาดเจ็บล้มตายสิ้นแล้ว”
“และยามนี้ แม้เฟิงจื่อตูจะหนีหาย เขาย่อมไม่เต็มใจ จะต้องฉวยโอกาสลวงคนมาที่นี่เป็นแน่ เพื่อดึงดูดผู้แข็งแกร่งมาจัดการศิษย์พี่ซูให้มากขึ้น และตนจะได้นั่งบนภูดูเสือสู้กัน รับผลประโยชน์แต่เพียงผู้เดียว”
“ยามนี้ ศิษย์พี่ซูทำเช่นนี้ จะนับว่าเป็นแผนก็ย่อมได้!”
เสียงของหญิงสาวกังวานราวระฆังแก้ว เผยเค้าความคาดหวังและตื่นเต้น
เยว่ซือฉานพยักหน้า พลางกล่าวว่า “บงกชเพลิงของสองเทพผู้ขับไล่โรคภัยยังต้องใช้เวลาสามวันกว่าจะเบ่งบานเต็มที่ ในระหว่างสามวันนี้ หากเราปักหลักคุ้มกันที่นี่จากศัตรูภายนอก และต้องการปกป้องโอกาสไม่ให้ถูกฉกฉวย เราต้องเป็นฝ่ายรับเต็มตัว และวิธีที่ศิษย์พี่ซูใช้ในยามนี้ดีมากจริง ๆ”
เก๋อเฉียนมองเหวินซินจ้าวผู้งดงามสะกดใจตรงหน้า จากนั้นจึงมองเยว่ซือฉาน หญิงงามผู้เย็นชาราวหิมะอย่างตะลึงงันไปครู่หนึ่ง
สตรีทั้งสองผู้ดูราวนางฟ้าไร้มลทินในโลกหล้านี้ ไฉนจึงตื่นเต้นนักเมื่อกล่าวถึงเรื่องโหดเหี้ยมเช่นนี้…
สิ่งนี้ดูจะไม่สอดคล้องกับบุคลิกและภาพลักษณ์ของพวกนางเลย!
“สหายเต๋าเก๋อ ท่านคิดเช่นไร?”
เหวินซินจ้าวกล่าวเสียงใส
เก๋อเฉียนรีบแย้มยิ้มคะนึงคาด ก่อนจะกล่าวอย่างชื่นชมจริงใจ “การกระทำของคุณชายซูน่าอัศจรรย์จริงแท้ สุดยอดอย่างเกินบรรยาย!”
เมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกเขา มุมปากของซูอี้ก็อดกระตุกไม่ได้
เขาไม่ได้บอกเหวินซินจ้าว ว่าเหตุผลที่ให้เฟิงจื่อตูหนีไปก่อนหน้านี้เพื่อฉวยโอกาสสำรวจว่าในสามวันนี้ เคียวของเขาจะล้วงสิ่งใดมาเก็บเกี่ยวได้บ้าง…