บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 552 สอนจระเข้ว่ายน้ำ
ตอนที่ 552: สอนจระเข้ว่ายน้ำ
ตอนที่ 552: สอนจระเข้ว่ายน้ำ
“สามวันจากนี้ เราจะฝึกตนกันที่นี่”
ซูอี้กล่าวในถ้ำที่เพิ่งสร้างขึ้น จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิฝึกฝน
ถ้ำแห่งนี้อยู่ลึกเข้าไปในขุนเขา ไกลจากสระบัวสามพันฉื่อ
รอบถ้ำ ซูอี้ตั้งค่ายกลจองจำสองชั้น
ชั้นแรกคือ ‘ค่ายกลสุญญะกลืนตะวัน’ ไว้ลบลมหายใจ
อีกชั้นคือ ‘ค่ายกลเล็กผสานธาตุ’ เพื่อรวบรวมปราณวิญญาณ
พวกมันต่างก็เป็นค่ายกลซึ่งบรรจุพลังพันธนาการอันแยบยลลึกลับ ชั้นแรกนั้นสามารถพอจะเลี่ยงการตรวจจับจิตของมหาปราชญ์สวรรค์ได้
ส่วนค่ายกลหลังสามารถดูดซับปราณวิญญาณทั่วสิบทิศแห่งโลกา เพื่อที่ศัตรูจะไม่ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังวิญญาณทั่วฟ้าดินจากการฝึกฝน
ไม่นาน ซูอี้ก็วางกับดักในบริเวณใกล้เคียงสระบัวเสร็จ
โชคดีที่ยามนี้ เขาไม่ขาดทรัพยากรวิญญาณใด ๆ ดังนั้นการสร้างและวางค่ายกลจึงไม่ได้ขัดสน
เหวินซินจ้าว เยว่ซือฉานและเก๋อเฉียนเห็นดังนี้ก็เริ่มทำสมาธิ
กาลเวลาเคลื่อนคล้อย
ด้วยการใช้วิถีหายใจจากเคล็ดวิชาแสวงไร้ลักษณ์ข้ามปัจเจก ปราณวิญญาณอันอุดมแน่นหนาก็ทะลักไหลสู่ร่างของซูอี้ราวคลื่นโหม
ร่างของเขาราวกับสุญญะไร้ขอบเขต กระแสคลื่นพลังวิญญาณบริสุทธิ์แน่นหนาหลั่งไหลเข้าไปอย่างสม่ำเสมอ เข้าถึงเส้นเลือด แขนขา กระดูกและอวัยวะต่าง ๆ จากแรงฉุดของพลังปราณ ก่อนจะหลั่งไหลเข้าสู่ถ้ำเปิดทวารภายในกาย
ถ้ำเปิดทวารนี้ราวเป็นพื้นที่ลับตำหนักเซียน โดยมีเมล็ดพันธุ์เต๋าซึ่งมีลักษณ์เหมือนดาบเก้าคุมขังลอยอยู่กึ่งกลาง
เสียงแห่งเต๋ากังวานในถ้ำเปิดทวาร เป็นจังหวะพลังอัศจรรย์ บางคราเหมือนเสียงดาบประสาน ก้องกังวานตื่นเต้น บางหนก็เหมือนเสียงวายุโชยพิรุณพรำ เสียงแห่งห้วงนภา และบางคราก็ลั่นก้องราวอสนีบาตสะท้านแดนดิน…
ท้ายที่สุด ร่างขัดสมาธิของซูอี้ก็อาบใต้ชั้นแสงแห่งวิถี
ราวต้องแสงอรุณจากฟ้า ดูแล้วงดงามศักดิ์สิทธิ์
ควรกล่าวว่าเกาะเซียนพระสุเมรุนี้เป็นสถานที่ฝึกฝนอันหายากยิ่งและเปี่ยมล้นด้วยปราณวิญญาณแน่นหนายิ่ง
ยามฝึกตน จิตจะสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดินได้โดยง่าย ด้วยวิธีนี้ การประจักษ์แจ้งสอดคล้องระหว่างวิถีมนุษย์และสวรรค์จึงทำได้โดยอัศจรรย์
นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถสำเร็จได้เพียงแค่การกลืนโอสถมากมาย
ฝึกฝนแสวงวิถี ‘ฝึกฝน’ คือวิธีการ และ ‘แสวงวิถี’ คือเป้าหมายสูงสุด
เมื่อปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินเหือดแห้งระแหง ผู้ฝึกตนอาจใช้โอสถวิญญาณเข้าช่วยฝึกฝน ทว่ายากจะ ‘แสวงวิถี’ จากมัน
นี่ยังเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดผู้ฝึกตนมากมายในมหาทวีปคังชิงจึงไม่มีภูมิหลังและการฝึกฝนอันสูงส่งนัก
ในทางกลับกัน เมื่อปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินอัดจนหนาแน่น และผู้ฝึกตนใช้มันฝึกฝน กายและใจย่อมสอดคล้องกลมเกลียวกับฟ้าดิน สัมผัสร่องรอยปราณทั่วหล้าและสวรรค์ได้ จึงง่ายกว่าที่จะสำเร็จการ ‘แสวงวิถี’ และก้าวหน้าในวิถีของตนได้รวดเร็วกว่า
แน่นอนว่ามีโอสถล้ำค่าบางอย่างที่บรรจุปราณแห่งวิถีเอาไว้ ซึ่งพวกมันทำให้ผู้ฝึกตนสามารถ ‘แสวงวิถี’ สำเร็จได้โดยง่าย
น่าเสียดายที่ในมหาทวีปคังชิง โอสถล้ำค่ามหาวิถีเหล่านี้แทบหาไม่ได้เลย
จากเรื่องนี้จึงทราบได้ว่าโลกเร้นลับเยี่ยงเกาะเซียนพระสุเมรุดึงดูดใจสำหรับผู้ฝึกตนมากเพียงไร
อย่าว่าถึงโอกาสหรือโชคลาภอื่น ๆ เลย เพียงฝึกตนให้วิถีกระจ่างที่นี่ก็เพียงพอให้รับประโยชน์ได้ไม่รู้จบแล้ว
สำหรับซูอี้ นี่ก็เป็นโอกาสสำหรับฝึกฝนอันหาได้ยาก
ในมหาทวีปคังชิงยามอดีต แม้ว่าเขาจะมีเคล็ดวิชาอัศจรรย์มากมาย เขาก็ยังคงต้องทุกข์ทนกับความยากเย็นคล้ายรู้วิธีหุงข้าวทว่าไร้ข้าว
ทว่ายามนี้ ทุกสิ่งต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
เขาไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรืออยากทะลวงคอขวดให้ไวที่สุด
กลับกัน การฝึกฝนที่นี่ทำให้วัตถุประสงค์การ ‘แสวงวิถี’ ง่ายขึ้น ดังนั้นวิถีเต๋าของตนจึงถูกขัดเกลากลั่นบริสุทธิ์ได้อย่างลึกล้ำกว่า!
ยกตัวอย่าง การทำความเข้าใจความหมายอันลึกล้ำแห่งมหาวิถี ลับคมร่างกาย จิตใจและวิญญาณ ทั้งหมดนี้สามารถบรรลุผลสองเท่าได้ด้วยความพยายามครึ่งเท่า
ในระหว่างฝึกฝน เหวินซินจ้าว เยว่ซือฉาน และเก๋อเฉียนก็สังเกตเห็นผลประโยชน์การฝึกตนที่นี่เช่นกัน พวกเขาทั้งหมดจึงตั้งใจทำวิถีให้กระจ่างแจ้ง
หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ซูอี้ตื่นจากภวังค์
ขอบเขตเปิดทวารถึงขั้นสมบูรณ์!
ในเรื่องนี้ ซูอี้ไม่อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นความสำเร็จมากมายเพียงไร ด้วยมันเป็นของตายแน่นอน
“ด้วยวิถีเต๋าในยามนี้ การก้าวไปสู่ขอบเขตรวบรวมดาราก็ไม่นับเป็นเรื่องยากอันใด ทว่าก่อนหน้านั้น ข้าต้องควบคุมจังหวะวิถีแห่งหยางให้ได้ก่อน ข้าจึงจะสามารถหล่อหลอมจังหวะวิถีหยินหยางได้ และเมื่อเข้าสู่ขอบเขตรวบรวมดารา ก็จะควบแน่นดาราปฐมญาณได้สองชนิด คือหยินและหยาง”
“ยามนั้น ดาราปฐมญาณจะสัมผัสกลมเกลียวกับจังหวะวิถีเบญจธาตุ ครึ่งหยินครึ่งหยาง ซึ่งสามารถตีความลับการหมุนแห่งจักรวาล สร้างเป็นรากฐานที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งขอบเขตรวบรวมดารา!”
ซูอี้ลอบกล่าวว่า “ส่วนจังหวะวิถีแห่งสายฟ้า คงไม่สายไปหากจะทำความเข้าใจมันหลังเข้าสู่ขอบเขตรวบรวมดาราแล้ว”
เนิ่นนานก่อนหน้านี้ เขาได้วางแผนมานานพอแล้ว
กล่าวง่าย ๆ ก็คือเขาจะต้องฝึกฝนเบญจธาตุ หล่อหลอมหยินและหยาง แปรสภาพวายุและอสนีบาต!
มหาวิถีทั้งเก้านี้ หากมองแยกกันจะไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นจังหวะวิถีพิเศษ ทว่าเมื่อพวกมันอยู่ร่วมกัน พวกมันจะสามารถหลอมรวมเป็นจังหวะวิถีได้สามแบบ
รากฐานแห่งเบญจธาตุคือหยินและหยางซึ่งก่อกำเนิดเป็นฟ้าดิน สายลมสายฟ้าขยับไหว และสรรพสิ่งบังเกิด
ในลักษณะนี้ เมื่อเขาเหยียบย่างสู่วิถีวิญญาณ จังหวะวิถีทั้งสามจึงสามารถขัดเกลาและหลอมรวมเป็นหนึ่งแก่นแท้แห่งวิถีวิญญาณอันลึกล้ำ นาม ‘ต้นกำเนิดดั้งเดิม’!
ต้นกำเนิดแห่งความหมายแรกเริ่ม
เมื่อมีต้นกำเนิด ทุกสิ่งก็บังเกิด!
สำหรับซูอี้ในยามนี้ เขาบรรลุจังหวะวิถีเบญจธาตุ จังหวะวิถีแห่งหยิน และจังหวะวิถีแห่งลม ทั้งหมดอยู่ในระดับสมบูรณ์แบบแล้ว
และขอเพียงบงกชเพลิงของสองเทพผู้ขับไล่โรคภัยเบ่งบาน เขาก็จะสามารถทำความเข้าใจจังหวะวิถีแห่งหยางได้!
ส่วนจังหวะวิถีแห่งสายฟ้า การทำความเข้าใจมันไม่ยาก ขอเพียงรอให้เกิดโอกาสก็เท่านั้น!
…
และในขณะเดียวกัน…
เงาร่างกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุไกลออกไปจากสระบัวหลายสิบลี้
“ทุกท่าน ข้าย้ำเตือนแล้วว่าสถานที่เกิดซึ่งมีโชคลาภได้ถูกซูอี้ยึดไว้ หากประสบอันตราย อย่าได้โทษข้าเฟิงจื่อตูว่าไม่เตือนเชียว”
เฟิงจื่อตูผู้สวมชุดหนังสัตว์ ถือคันธนูกระดูกสัตว์ร้ายขนาดยักษ์กล่าวอย่างเคร่งขรึม
ข้างกายเขามีบุรุษสามคนและหนึ่งสตรี
“พี่เฟิงระวังตนมากเกินไป ด้วยความแข็งแกร่งของคณะเรา เหตุใดจึงจะล้มซูอี้ไม่ได้?” ชายในอาภรณ์ทองผู้หนึ่งกล่าวอย่างสบายใจ
เหมยเหยียนไป๋
บุคคลชั้นหนึ่งในหมู่ผู้ร้ายกาจแห่งยุคโบราณ ผู้ติดอันดับเก้าในชุมนุมมวลพฤกษา
“นี่ไม่ใช่ชุมนุมมวลพฤกษาที่ตัดสินเพียงผลลัพธ์ ยามต่อสู้ถึงตาย ด้วยชั้นเชิงและความแข็งแกร่งของเรา เราไม่จำเป็นต้องกลัวซูอี้ผู้นั้นเลย”
ดวงตาของเฉียนอวิ๋นฉายแววเย็นชาแข็งกร้าว
ร่างของเขาสูงใหญ่แกร่งกล้า สวมอาภรณ์ม่วง เป็นชายทรงพลังยิ่งผู้อยู่ลำดับที่ยี่สิบในชุมนุมมวลพฤกษา
“หลังจากนี้เมื่อพบเขา เราจะใช้ไพ่ตายของเรากำจัดเขาเสีย”
วาจาของเนี่ยหลีรวบรัด เปี่ยมเจตนาฆ่าฟัน
เขามีใบหน้ายาวซูบ ชุดดำผมขาว สะพายดาบสีเลือดที่หลัง
อันดับที่สิบสี่แห่งชุมนุมมวลพฤกษา
“พี่เฟิง ด้วยวิธีการของเจ้า เจ้าไม่น่าจะต้องกลัวซูอี้ ทว่ายามนี้เหตุใดจึงระแวดระวังนักเล่า?”
โต้วโค่วงุนงงเล็กน้อย
นางคือสตรีผู้งดงามทรงเสน่ห์ เส้นไหมสีครามทิ้งตัวราวน้ำตก ผิวขาวยิ่งกว่าหิมะ สวมกระโปรงรัดเอวสีแดงทับทิมเจิดจ้า
นางอยู่ในอันดับที่สิบหกในชุมนุมมวลพฤกษา
ไม่ว่าจะเป็นเหมยเหยียนไป๋ เฉียนอวิ๋น เนี่ยหลี หรือโต้วโค่ว พวกเขาต่างเป็นตัวตนร้ายกาจในยุคโบราณระดับสูงสุด พื้นเพแต่ละผู้ต่างมีขุมอำนาจหนุนหลัง ดังนั้นหลังจากเข้าสู่เกาะเซียนพระสุเมรุได้ พวกเขาจึงเลือกร่วมมือกัน
เหตุการณ์เช่นนี้หาได้ง่ายมาก
เหมือนเช่นเฟิงจื่อตูซึ่งร่วมมือกับตงกัวอวิ๋นและหร่านฉงมาก่อน
“ข้าย่อมไม่กลัวซูอี้”
เฟิงจื่อตูกล่าวโดยไม่หันไปมอง “ทว่าข้าก็ไม่ประมาทเขาเช่นกัน ใครเล่าจะกล้าละเลยบุคคลผู้สามารถเอาชนะหวนเฉ่าโหยวอย่างง่ายดายได้?”
เขากล่าวอย่างเยือกเย็น
ทว่าเมื่อคิดถึงการต่อสู้กับซูอี้เมื่อวันวาน เขาก็อดรู้สึกเจ็บปวดในใจไม่ได้ เต็มไปด้วยความระทมและโทสะ!
“พี่เฟิงพูดถูก ซูอี้คือศัตรูใหญ่จริงแท้ ทุกคนควรระวังเขาไว้ในยามที่จะไปคว้าโอกาสโชคลาภครานี้” เหมยเหยียนไป๋ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มเอ่ยกระตุ้น
ขณะพูดคุย พวกเขาได้ทะยานสู่เหนือขุนเขา เห็นหุบผาและสระบัวที่กลางผาจากระยะไกล
“ทุกท่าน นั่นคือบงกชเพลิงของสองเทพผู้ขับไล่โรคภัย จากข้อตกลงของเรา หลังจากสังหารซูอี้ เราจะแบ่งปันโอกาสนี้กัน” เฟิงจื่อตูชี้ไปยังสระบัวพลางพูดเบา ๆ
เหมยเหยียนไป๋และผู้อื่นเพิ่งได้พบพานบงกชเพลิงของสองเทพผู้ขับไล่โรคภัยเป็นครั้งแรก
นี่คือโอกาสอันหาได้ยาก!
“พี่เฟิงอย่ากังวลไป เจ้าก็รู้ว่าข้าคือผู้ใด ในเมื่อข้าเหมยเหยียนไป๋ตกลงร่วมมือ ข้าย่อมไม่ผิดคำพูด”
เหมยเหยียนไป๋กล่าวลอยชาย
“พี่เฟิง ดูเหมือนซูอี้จะไม่ได้อยู่ในละแวกนี้เลย”
เฉียนอวิ๋นขมวดคิ้ว
“ไม่ เขาอาจไม่ได้อยู่ใกล้สระบัว ทว่าเขาต้องหลบอยู่ท่ามกลางขุนเขาเหล่านี้แน่” ก่อนเฟิงจื่อตูจะทันได้เอ่ยวาจา เหมยเหยียนไป๋ก็กล่าวขึ้นก่อนอย่างมั่นใจ
สายตาของเขากวาดมองไปรอบ ๆ สระบัว แล้วก็อดกล่าวอย่างขำขันออกมาไม่ได้ “ซูอี้ผู้นี้ก็รอบคอบจัด เขาตั้งค่ายกลจองจำไว้ใกล้สระบัวล่วงหน้า เขาจะลอบโจมตีแน่นอน”
เฉียนอวิ๋น เนี่ยหลีและโต้วโค่วต่างประหลาดใจ พวกเขาไม่พบร่องรอยค่ายกลแต่อย่างใด
“ปรากฏว่าชายผู้นี้ช่างร้ายกาจ!”
เฉียนอวิ๋นขมวดคิ้ว
“โชคร้ายที่เขาพานพบพี่เหมย การซุ่มโจมตีเช่นนี้ช่างดูถูกกันโดยแท้”
เนี่ยหลียิ้มเยาะ
ตระกูลเหมยของเหมยเหยียนไป๋โด่งดังทั่วหล้าในวิถียันต์มานับสามหมื่นปี และมียอดฝีมือค่ายกลผู้โด่งดังถือกำเนิดในตระกูลนี้มากมาย!
ในฐานะทายาทสายตรงของตระกูลเหมย ความสำเร็จด้านค่ายกลและยันต์ของเหมยเหยียนไป๋จึงถึงจุดที่สามารถพัฒนาเส้นทางใหม่เฉพาะตนเองได้
ค่ายกลที่เขาสร้างสามารถจองจำและทำลายผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้โดยง่าย!
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญยันต์ เหมยเหยียนไป๋จึงไม่ขาดแคลนยันต์และมีหลากหลายแขนง
“เอามะพร้าวห้าวมาขายสวน…”
เฟิงจื่อตูพึมพำในใจ
เขาจำยามที่ตนซุ่มโจมตีอยู่กับตงกัวอวิ๋นและหร่านฉงก่อนหน้านี้ได้ ในยามนั้น เขาคิดว่าซูอี้และพวกเป็นเหยื่อหวาน ๆ ที่สามารถสังหารได้ง่าย
ทว่าเมื่อคิดถึงมันในยามนี้ เฟิงจื่อตูก็พลันเกิดความรู้สึกร้าวรานแทบหายใจไม่ออกขึ้นมา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในสายตาซูอี้ยามนั้น การซุ่มโจมตีของพวกเขาคงคล้ายกับการสอนจระเข้ว่ายน้ำ เอามะพร้าวห้าวมาขายสวน…
“ไปกันเถิด ไปดูกันว่าความสำเร็จในวิถีค่ายกลของซูอี้เป็นเช่นไร”
เหมยเหยียนไป๋ยิ้มอย่างมั่นใจและชิงลงมือ
มาอวดวิถีแห่งค่ายกลต่อหน้าเขาหรือ?
อืม…
งั้นก็ให้ซูอี้ได้รู้เถิดว่าการเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนเป็นเช่นไร!