บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 553 ไยจึงหัวเราะ
ตอนที่ 553: ไยจึงหัวเราะ
ตอนที่ 553: ไยจึงหัวเราะ
ไม่นานนัก เหมยเหยียนไป๋และพวกก็มายังหุบเขา
“ทุกคนอยู่ที่นี่นะ”
เหมยเหยียนไป๋หยุดลงห่างจากสระบัวร้อยฉื่อ
เขาหยิบยันต์กลไกสำริดหกเหลี่ยมซึ่งอัดแน่นด้วยอักขระออกมาจากแขนเสื้อชิ้นหนึ่ง ใจกลางยันต์สำริดสลักรูปคางคก
เหมยเหยียนไป๋กดปลายนิ้วลงที่หัวคางคก
ฉัวะ!
ทันใดนั้นคางคกก็อ้าปากออก มันพ่นแสงสีครามที่เจิดจ้าส่งแสงจรัสชวนแสบตาออกมา
ฉากตรงหน้าทุกคนเปลี่ยนไปกะทันหัน และพวกเขาก็พบว่าห่างออกไป สิบฉื่อได้บังเกิดม่านแสงจองจำขึ้นชั้นหนึ่ง ปกคลุมทั่วนภาและดวงตะวัน โอบล้อมสระบัวเอาไว้
อักขระบนม่านแสงค่ายกลพลิ้วไหวไหลริน สว่างไสวเจิดจ้า
“นี่มัน…”
ทุกผู้ต่างประหลาดใจ
พวกเขาเคยใช้จิตสัมผัสตรวจตราสถานที่แห่งนี้มาก่อน ทว่ากลับไม่พบเขตแดนซึ่งปกคลุมมันอยู่เลย
“ค่ายกลนี้มีอำนาจสี่แบบ ซ่อนลมหายใจ อำพราง สังหารและพันธนาการ มันถูกจัดเรียงโดยรากฐานค่ายกลหกสิบสี่แห่งทั่วพื้นที่ หากผู้ฝึกตนเช่นข้าฝ่าเข้าไปโดยไม่รู้ตัว เกรงว่าคงถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัว”
เหมยเหยียนไป๋กล่าวอย่างไหลลื่น “ซูอี้ผู้นี้พอมีทักษะการสร้างยันต์กลไกอยู่บ้าง สูงกว่าพวกที่อ้างตนว่าเป็นปรมาจารย์ค่ายกลในโลกนี้มากนัก”
เฉียนอวิ๋นอดอุทานไม่ได้ “พี่เหมยสมกับเป็นทายาทสายตรงผู้มากความสามารถด้านยันต์กลไกที่สุดแห่งตระกูลเหมย ทัศนวิสัยและความรู้ช่างน่าอัศจรรย์”
เนี่ยหลีชุดดำผู้มีผมสีขาวกล่าวด้วยบรรยากาศเย็นยะเยือก “พี่เหมย ค่ายกลนี้แข็งแกร่ง ในเมื่อมันผิดปกติ เช่นนั้นเจ้ามีวิธีทำลายค่ายกลนี้หรือไม่?”
เหมยเหยียนไป๋ยื่นมือออกไป ขยับนิ้วตามใจ พลางกล่าวช้า ๆ “การทำลายค่ายกลนี้ สำหรับข้านั้นง่ายดาย”
อารมณ์ของทุกคนดีขึ้น เฉียนอวิ๋นกล่าวว่า “พี่เหมย โปรดทำลายค่ายกลนี้!”
“ทุกคนรอสักครู่”
เหมยเหยียนไป๋ยิ้มน้อย ๆ พลางโบกแขนเสื้อ
พรึ่บ! พรึ่บ!
สายรุ้งทิพย์สิบสองสายกวาดผ่านอากาศ เปลี่ยนเป็นค้อนด้ามทองขนาดเล็ก รัศมีแสงทอประกาย “นี่คือค้อนทลายพันธนาการ ตระกูลเหมยของข้าสร้างมันขึ้นด้วยเคล็ดวิชาลับเฉพาะ ดูเหมือนมันจะสามารถทำลายค่ายกลตรงหน้าข้าได้ แค่การเคาะครั้งเดียวเท่านั้น”
เหมยเหยียนไป๋กล่าวจบ เขาก็เหวี่ยงค้อน “เฮอะ!”
จากนั้น ภายใต้สายตาตกตะลึงทุกคู่ ค้อนทองทั้งสิบสองถูกจัดเรียงเป็นค่ายทุบลงจากเบื้องบน และค่ายกลซึ่งปกคลุมทั่วน่านฟ้าก็ถูกทุบแหลกในคราเดียว
“สุดยอด!” เหล่าผู้ชมต่างชื่นชมเสียงดัง
เหมยเหยียนไป๋อดหัวเราะอย่างภาคภูมิไม่ได้
เขายังไม่ได้ทำให้ทุกคนตะลึงในวิถีแห่งยันต์กลไกอย่างเต็มที่เลย!
“เมื่อค่ายกลนี้แตกสลาย ซูอี้จะใช้สิ่งใดมาลอบโจมตีข้ากัน?”
เฉียนอวิ๋นกล่าวยิ้ม ๆ
“หากซูอี้ลงมือ ไยเล่าจึงต้องพึ่งพาค่ายกลเช่นนี้?”
เฟิงจื่อตูพึมพำกับตนเอง
เขาไม่ได้บอกพวกเหมยเหยียนไป๋ ว่าผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณอันลือนามเช่นตงกัวอวิ๋นและหร่านฉงผู้ล่วงลับ เมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้ยังไม่ต่างกับมดถูกขยี้
อันที่จริง เหตุผลที่เขาเลือกร่วมมือกับเหมยเหยียนไป๋และคณะในครานี้ก็เป็นเพราะไพ่ตายที่คนกลุ่มนี้ถือครอง
“การเคลื่อนไหวของค่ายกลนี้ย่อมต้องทำให้ซูอี้ไหวตัวและแสดงร่องรอยทันที ทว่าไฉนจึงยังไม่โผล่มา?”
โต้วโค่วงุนงงเล็กน้อย “เขาไม่กังวลหรือว่าเราจะนำบงกชเพลิงของสองเทพผู้ขับไล่โรคภัยไปก่อน?”
ทันทีที่สิ้นคำ ผู้อื่นรอบข้างต่างตกใจเช่นกัน
“ง่ายมาก ค่ายกลของซูอี้ที่ตั้งไว้ไม่ได้มีเพียงค่ายนี้อย่างไรเล่า”
ดวงตาของเหมยเหยียนไป๋ทอประกายสีทองจาง ๆ ขณะพูดอย่างผู้เชี่ยวชาญ “กล่าวโดยรวม การตั้งค่ายกลเพื่อสังหารศัตรู หากไม่ใช่ค่ายกลสังหารไร้ใดเปรียบ ผู้ใช้ค่ายกลทั่วไปจะตั้งค่ายกลมากกว่าหนึ่งชั้นเพื่อสร้างห่วงโซ่ค่ายกลล้อมสังหาร ซึ่งจะทำให้ศัตรูไม่อาจต้านทานหรือหนีได้”
“ดูเถิดทุกคน”
เขายกมือขึ้นวางลงบนหัวคางคก ณ กลางยันต์กลไก
ฟู่!
คางคกอ้าปากออกพ่นสายรุ้งทิพย์สีครามออกมาอีกครั้ง พวยพุ่งลงสู่พื้นห่างออกไปสิบจั้ง
พื้นปฐพีสั่นไหวโยกคลอน และท่ามกลางฝุ่นทรายคลุ้งกระจาย อักขระสีเงินตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนฟ้า เปลี่ยนเป็นคลื่นจองจำทะยานสูง ทำให้สถานการณ์ผันแปรไป
รังสีฆ่าฟันที่พุ่งเข้าใส่หน้าทำให้ม่านตาของทุกคนหดตัว ร่างชะงักกับที่
เป็นจิตสังหารที่แข็งแกร่งนัก!
“ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลสังหารที่บริสุทธิ์ยิ่ง ต้องเป็นแผนที่แท้จริงของซูอี้เป็นแน่ หากเราคิดว่าเราทำลายค่ายกลได้และทำตัวเลินเล่อ ผลที่ตามมาคงร้ายแรง”
เหมยเหยียนไป๋กล่าวเบา ๆ
สายตาของทุกผู้ที่มองเหมยเหยียนไป๋เปลี่ยนแปร แฝงไปด้วยความชื่นชม
“หากครั้งนี้ไม่ได้พี่เหมย แล้วข้าอยากจะชิงสมบัตินี้ เกรงว่าข้าคงตกหลุมพรางของซูอี้เป็นแน่แท้”
เฉียนอวิ๋นทอดถอนใจ
เฟิงจื่อตูอดเหลือบมองเหมยเหยียนไป๋ไม่ได้ ชายผู้นี้ไม่ธรรมดา
“พี่เฉียนอวิ๋นผิดแล้ว ตระกูลเหมยของข้าก่อร่างสร้างตัวจากยันต์กลไก หากมองกระทั่งค่ายกลนี้ไม่ออก คงเป็นเรื่องน่าขันเกินไป”
เหมยเหยียนไป๋กล่าวอย่างถ่อมตัว ทว่าสีหน้าของเขาเปี่ยมความมั่นใจ
“พี่เหมย โปรดทำลายค่ายกลนี้เถิด”
เนี่ยหลีกล่าวอย่างเปี่ยมเจตนาสังหาร “ไม่ว่าซูอี้จะกล้าโผล่มาหรือไม่ก็ไร้ความหมาย ขอเพียงค่ายกลนี้พังลง บงกชเพลิงของสองเทพผู้ขับไล่โรคภัยจะเป็นของเรา”
เหมยเหยียนไป๋พยักหน้า “นั่นคือสิ่งที่ข้าจะสื่ออย่างไรเล่า”
เฟิงจื่อตูเห็นดังนี้ หัวใจของเขาก็บีบแน่น กล่าวย้ำเตือนว่า “ทุกท่าน โปรดระวังและหลบเลี่ยงไม่ให้ซูอี้ปรากฏตัวออกมาลอบฆ่าพวกเราโดยไม่ตั้งตัวด้วย”
ทุกผู้พยักหน้า กระตุ้นปราณในกายของตนอย่างเงียบ ๆ รอคอยการปรากฏตัว
พวกเขาไม่กล้าประมาทบุคคลโหดเหี้ยมเยี่ยงซูอี้
“เฮอะ!”
เหมยเหยียนไป๋ระเบิดเสียงกัมปนาท และค้อนทลายพันธนาการทั้งสิบสองก็เหินขึ้นฟ้าเหวี่ยงลงมาอีกครั้ง
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ค่ายกลตรงหน้าบิดมวนกระเพื่อมไหวรุนแรง ในเวลาชั่วไม่กี่อึดใจ มันก็ถูกทุบจนพังทลาย สายฝนละอองแสงโปรยปรายเช่นละอองน้ำ
ผู้คนต่างตะลึงงันอีกครา
หากเป็นพวกเขาคิดทำลายค่ายกลนี้ เกรงว่าคงต้องงัดไม้ตายก้นหีบออกมาใช้บ้าง
“ทุกท่าน ทุกอย่างเรียบร้อย บงกชเพลิงของสองเทพผู้ขับไล่โรคภัยนี้อยู่ในมือของเราแล้ว!”
เหมยเหยียนไป๋กล่าวยิ้ม ๆ
เขาใช้เคล็ดวิชาลับตรวจตราพื้นที่ และพบว่าไร้ค่ายกลใด ๆ เหลืออยู่
“ค่ายกลถูกทำลาย ทว่าซูอี้ก็ยังไม่ปรากฏ หรือเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่าวิถีตนไม่ดีพอ จึงไม่กล้าปรากฏตัว?”
เฉียนอวิ๋นหัวเราะอย่างเหน็บแนม
เฟิงจื่อตูดูเคลือบแคลงใจเล็กน้อย เขารู้สึกเสมอว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง คนเช่นซูอี้น่ะหรือจะกลัวการต่อสู้แค่เพราะค่ายกลถูกทำลาย?
“หือ? เกิดอันใดขึ้น?”
จู่ ๆ เนี่ยหลีก็โพล่งถามอย่างงุนงงเมื่อเห็นชั้นน้ำแข็งหนาใกล้สระบัวละลายลงอย่างกะทันหัน จากนั้นคลื่นอากาศร้อนระอุก็เริ่มแผ่ออกมาสู่โดยรอบ!
“ดูสิ”
โต้วโค่วแหงนมองฟ้า ใบหน้างดงามของนางปรากฏความแปลกใจ
สายตาทุกคู่มองตาม และเห็นว่า ณ ใต้นภา เมฆาขาวแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเจิดจรัสราวถูกแผดเผาอย่างตระการตา
นี่มัน…
ต่างคนต่างสังหรณ์ร้ายในใจ
“บางอย่างผิดแปลก ขุนเขาที่รายล้อมเหมือนเคลื่อนไหวได้”
เปลือกตาของเฟิงจื่อตูกระตุกรุนแรง
เมื่อทุกผู้มองตาม ก็พบว่ายอดขุนเขาตระหง่านรอบหุบนี้ดูราวมีชีวิต เคลื่อนไหวบนผืนปฐพีอย่างเงียบงัน
ยามนี้ ทุกผู้ต่างรู้สึกเหมือนโลกหมุนคว้าง
“แย่แล้ว! พวกเราถูกหลอก ไปกันเถิด!”
เหมยเหยียนไป๋เปลี่ยนสีหน้ากะทันหัน สีหน้ามั่นใจของเขาถูกแทนที่ด้วยความมืดมน
ทันทีที่สิ้นเสียง เขาก็หันหลังจากไป
ไม่มีผู้ใดกล้าลังเล พวกเขาต่างไล่ตาม
ตู้ม!
รอยร้าวนับไม่ถ้วนแยกผืนปฐพีออกเป็นเสี่ยง เพลิงสีม่วงพวยพุ่งเปลี่ยนเป็นทะเลเพลิงม่วงอันแผดเผารุนแรง ไล้เลียเข้าหาเหมยเหยียนไป๋และคณะจากทั่วทุกสารทิศ
ในขณะเดียวกัน หมู่เมฆาสีชาดซึ่งแผดเผาราวเปลวเพลิงพลันกระหน่ำฝนเพลิงลงมาราวเขื่อนแตก!
เปลวเพลิงทำลายล้างทำให้ทุกคนต่างเปลี่ยนสีหน้า
“อย่าตระหนกไป ทุกท่าน มันก็แค่ค่ายกล!”
เหมยเหยียนไป๋กล่าวเสียงเคร่งขรึม
กล่าวพลาง เขาก็หยิบธงเล็กสีเหลืองออกมาโบกเบา ๆ
ตู้ม!
ลำแสงสีน้ำตาลอมเหลืองสาดส่อง ทะลวงผ่านทะเลเพลิงม่วงที่ไล่ลามมาหา
เหมยเหยียนไป๋และคณะพุ่งตรงไปเบื้องหน้าทันที
ทว่าแม้ทำเยี่ยงนั้น คลื่นเพลิงอันต่อเนื่องก็ยังคงสร้างความทุลักทุเลหนักหน่วงแก่คณะของเหมยเหยียนไป๋ บีบบังคับให้พวกเขาต้องดิ้นรนสุดชีวิต
ครู่ถัดมา
ภายใต้การนำของเหมยเหยียนไป๋ ในที่สุดพวกเขาก็รอดจากค่ายกลเปลวเพลิงอันน่าหวาดหวั่นนี้ และเข้าไปในหุบเขาซึ่งอยู่ใกล้ ๆ
ทว่าพวกเขาต่างมีสภาพเละเทะมาก เส้นผมกระเซอะกระเซิง อารมณ์รุ่งริ่ง บรรยากาศไหม้เกรียม ใบหน้าดำทะมึน
“เวรเอ๊ย!!”
“เรื่องนี้เกิดขึ้นได้เช่นไร?”
ทุกผู้ต่างดูมืดมน ตกใจและโกรธเคือง และอดมองไปทางเหมยเหยียนไป๋ไม่ได้
“ข้าประมาทไป ไม่คาดว่าซูอี้จะใช้หุบเขาเป็นค่ายกล ปรากฏว่าเราเข้าสู่กับดักของเขานับแต่ย่างเท้าสู่หุบเขานี้แล้ว”
สีหน้าของเหมยเหยียนไป๋ซีดขาว
เมื่อครู่นี้ เขายังคงเปี่ยมความมั่นใจและเจ้าแผนการอยู่
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นตบหน้าอย่างเจ็บแสบ ความรู้สึกอับอายอันไม่อาจบรรยายเกาะกุมเต็มหัวใจ
สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญที่สุดคือยันต์กลไก ทว่าสุดท้ายเขาเกือบตกสู่กับดักใหญ่หลวง ความอัปยศนี้ช่างยิ่งใหญ่…
“แต่อย่าห่วงไป ทุกท่าน เราหนีออกมาจากค่ายกลสังหารนั้นได้แล้ว”
เหมยเหยียนไป๋สูดหายใจลึก ๆ มองไปรอบ ๆ และจู่ ๆ ก็หัวเราะ
“เหตุใดพี่เหมยจึงหัวเราะ?”
เฉียนอวิ๋นขมวดคิ้ว
เหมยเหยียนไป๋คืนความมั่นใจ ชี้ไปทางหุบเขาพลางขำดังลั่น “ข้าหัวเราะให้แก่ความไม่รอบคอบของซูอี้ เป็นข้า ข้าคงสร้างค่ายกลใหญ่ขึ้นที่นี่ รอมันทำงาน แม้ข้าจะทำแค่รอ หากพวกเจ้ารอดจากค่ายกลเดิมมาได้ พวกเจ้าก็คงต้องตกสู่ค่ายกลสังหารอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ และความเป็นความตายจะเกินหยั่งคาด”
เพิ่งสิ้นเสียง…
ตู้ม!
สองข้างหุบเขาบังเกิดเสียงอสนีบาตคำรามลั่น และค่ายกลอันแข็งแกร่งก็กางออกเป็นคลื่นเข้าปกคลุมจนทั่ว!
เหมยเหยียนไป๋ตะลึงราวถูกทัณฑ์อสนีบาต เสียงหัวเราะของเขาหยุดกลางคัน ดวงตาเบิกกว้าง
ผู้คนโดยรอบ “…”
ภาพนี้จะแตกต่างอันใดกับการฉีกหน้าเหมยเหยียนไป๋?
“ไปกันเถิด!”
เหมยเหยียนไป๋ตะโกน ใช้ค่ายกลชักยันต์มหาสมบัติพาคนทุกผู้หนีอย่างสุดกำลัง
ครู่ถัดมา
เมื่อในที่สุดพวกเขาก็หนีออกมาจากค่ายกลที่หุบเขาได้ ทว่าทุกคนก็ต่างบาดเจ็บไม่มากก็น้อย
แม้ว่าอาการบาดเจ็บจะไม่สาหัส แต่ความรู้สึกของการหนีหัวซุกหัวซุนก็ทำให้พวกเขารู้สึกโกรธเคือง
ทว่ายามนี้ เหมยเหยียนไป๋กลับหัวเราะอีกครั้ง
“มาถึงขนาดนี้ ไยพี่เหมยจึงหัวเราะอีก?”
เฉียนอวิ๋นอดถามไม่ได้
เหมยเหยียนไป๋ดูจะพยายามรักษาหน้าที่ตนเสียไปอย่างสุดชีวิต เขาสูดหายใจลึก ๆ พลางกล่าวอย่างไหลลื่น “ข้าไม่ได้หัวเราะให้ผู้ใด เพียงให้ซูอี้ เพราะถึงอย่างไร เขาก็ไม่อาจถูกเรียกว่ายอดฝีมือยันต์กลไกได้ หากเป็นข้า ข้าจะตั้งค่ายกลสังหารที่นี่ด้วย เราจะประสบหายนะหนักหนาจนไม่อาจฟื้นตัวได้”
เพิ่งสิ้นเสียง…
ตู้ม!
ทันใดนั้น เสียงกัมปนาทจากค่ายกลก็ระเบิดสนั่นลั่นพิภพจบแดน
เหมยเหยียนไป๋ “…”
ทุกคนโดยรอบ “???”