บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 555 มหาหายนะ
ตอนที่ 555: มหาหายนะ
ตอนที่ 555: มหาหายนะ
เมื่อเสียงนั้นกังวานสู่โสต ค่ายกลก็หยุดลงอย่างเงียบ ๆ
เหมยเหยียนไป๋และพวกต่างก็โล่งใจ ทว่าสีหน้าของพวกเขากลับไม่น่าดูเท่าไรนัก
ครานี้พวกเขามาที่นี่เพื่อคว้าโอกาส ทว่าไม่คาดคิดว่านับแต่เหยียบย่างสู่หุบเขา พวกเขาจะตกสู่กับดักครั้งแล้วครั้งเล่า
กระทั่งเหมยเหยียนไป๋ผู้เจนจัดในยันต์กลไกยังถูกตบหน้าซ้ำ ๆ
ถึงจุดนี้ ไม่เพียงไพ่ตายมากมายจะถูกขโมยไป คนทั้งหมดยังถูกขังอยู่ในค่ายกล ได้แต่ตกสู่สถานการณ์สิ้นหวังและไม่อาจหลบหนีได้เลย!
การโจมตีหนักหนาเพียงนี้จะทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นได้เช่นไร?
ซ้ำร้าย ยามนี้พวกเขาก็ยังอยู่ในสถานการณ์บีบคั้น!
“ซูอี้ เจ้าในยามนี้เป็นบุคคลลือนามแห่งโลกา เหตุใดจึงยังซุกซ่อน กล้าเล่นเพียงลูกไม้อย่างลับ ๆ เช่นนี้อีก?”
เหมยเหยียนไป๋ตะโกน “ออกมาหากเจ้ายังมีความกล้า!”
“ข้าอยู่ที่นี่เสมอ แค่ว่าเจ้าน่ะไร้ตา มองไม่เห็นข้าเท่านั้น”
ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ร่างของซูอี้ปรากฏขึ้นในคลองจักษุทุกคู่ราวกับปรากฏจากอากาศธาตุ
หนึ่งมือไพล่หลัง อีกหนึ่งเล่นกับแพรทองในมือ เขากล่าวกับเฟิงจื่อตูด้วยรอยยิ้ม
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยเหลือ ส่งเหยื่อมาติดกับถึงที่ เพื่อเป็นการขอบคุณ ข้าไม่ต้องการสมบัติบนตัวเจ้า”
ทันทีที่สิ้นคำ เหมยเหยียนไป๋และพวกต่างนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดือดดาลและหันไปมองเฟิงจื่อตูด้วยสีหน้าแววตาเปี่ยมความเคลือบแคลงและโทสะเป็นคราแรก
เฟิงจื่อตูเปลี่ยนสีหน้าเฉียบพลัน ลอบตะโกนในใจว่าท่าไม่ดีแล้ว รีบกล่าวอย่างเฉียบขาด “ซูอี้ อย่าได้สาดเลือดสู่ผู้อื่นเพื่อใส่ความเช่นนี้!”
เขาหันไปมองเหมยเหยียนไป๋และพวก กล่าวว่า “ทุกคน ยามที่มาถึง ข้าก็ได้เอ่ยคำเตือนไปแล้ว ว่าที่แห่งนี้ถูกซูอี้ยึดครองไว้ ทว่าพวกเจ้าคิดว่าจะสามารถชิงสมบัตินี้ได้ด้วยไพ่ตายก้นหีบ จึงติดตามข้าด้วยตนเอง”
เหมยเหยียนไป๋และพวกต่างดูไม่แน่ใจนัก
เฟิงจื่อตูเคยกล่าวเตือนไว้เช่นนี้จริง ๆ
ทว่าพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าไพ่ตายของพวกตนจะไม่อาจต่อกรซูอี้ได้?
“พี่เหมย เจ้าเคยภาคภูมิใจในด้านยันต์กลไก และชี้นำข้ามาสู่หุบเขาเพื่อทลายค่ายกล ยามนี้เมื่อเราถูกคุมขัง จะโทษข้าเฟิงจื่อตูได้เช่นไร?”
เฟิงจื่อตูกล่าวอย่างเย็นชา “ยิ่งกว่านั้น หากข้ารู้ว่าค่ายกลชุดที่ซูอี้วางไว้จะร้ายกาจเพียงนี้ ไฉนเลยข้าจึงลงมือร่วมกับพวกเจ้า?”
เหมยเหยียนไป๋ไร้วาจา
“พี่เฟิง เจ้าไม่ได้ร่วมมือกับซูอี้ลวงพวกเรามาซุ่มโจมตีจริง ๆ หรือ?”
เฉียนอวิ๋นขมวดคิ้ว
มุมปากของเฟิงจื่อตูกระตุก เผยสีหน้าขมขื่นออกมาเล็กน้อย พลางพูดว่า “ข้าตกสู่สถานการณ์เยี่ยงนี้ จะยังหลอกลวงได้เช่นไรอีก?”
“ข้าไม่กลัวจะบอกพวกเจ้าว่าบงกชเพลิงของสองเทพผู้ขับไล่โรคภัยในสระบัวนี้ ข้าพบมันเป็นผู้แรก ทว่าโอสถล้ำค่ามหาวิถีนี้ยังไม่เติบโตเต็มที่ ข้าจึงวางกับดักไว้รอบ ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดมาฉวยโอกาส ทว่าใครเล่าจะคิด…”
ว่าถึงตรงนี้ เฟิงจื่อตูและพวกต่างมีสีหน้าซับซ้อน เขากล่าวเสียงต่ำ “ซูอี้ทำลายกับดักทั้งหมดที่ข้าทั้งไว้อย่างสบาย ๆ กระทั่งสหายทั้งสอง ตงกัวอวิ๋นและหร่านฉงยังถูกฆ่าโดยซูอี้!”
เหมยเหยียนไป๋และพรรคพวกต่างตกใจระคนประหลาดใจ ตงกัวอวิ๋นและหร่านฉงตายไปแล้วหรือ?!
“เจ้าว่า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ข้าจะร่วมมือกับซูอี้ได้เช่นไร?”
เฟิงจื่อตูกัดฟัน ดูทั้งโศกเศร้าและเดือดดาล
สีหน้าของทุกผู้มืดหม่นลงอีกครา
ซูอี้กล่าวอย่างไม่แยแส “ในการต่อสู้ชิงโอกาส ไร้สิ่งใดถูกผิด สิ่งสำคัญคือต้องเห็นความสำเร็จหรือล้มเหลวเสียก่อนตัดสินใจ ยามนี้ได้เวลาพวกเจ้าตัดสินใจแล้ว”
เหมยเหยียนไป๋และคณะต่างรู้สึกอึดอัดใจ
พวกเขาย่อมเข้าใจสิ่งที่ซูอี้ต้องการสื่อ หากไม่ทำตามสิ่งที่เขาว่า ใช้สมบัติบนร่างแลกหนทางมีชีวิต… ก็ตาย!
“ข้าจะส่งสมบัติให้ ทว่าเจ้า… จะปล่อยเราไปจริง ๆ หรือ?”
โต้วโค่วกล่าวเป็นคนแรก
“แน่นอน”
ซูอี้กล่าว “สำหรับข้า พวกเจ้าจะเป็นจะตาย สำคัญน้อยกว่าสมบัติบนตัวพวกเจ้านัก”
ทุกคนโดยรอบ “…”
แม้ว่าคำพูดของเขาจะกระด้างไปหน่อย ทว่าเหมยเหยียนไป๋และคณะต่างโล่งใจเล็กน้อย
สมบัตินั้นสำคัญกว่าสำหรับซูอี้
ทว่าสำหรับพวกเขา การมีชีวิตรอดสำคัญกว่า!
“ได้ ข้าให้เจ้า!”
โต้วโค่วเป็นผู้แรกที่ตกลง
นางยกมือขึ้น ถอดแหวนที่นิ้วออก จากนั้นจึงวางมันลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา
“ปิ่นผม เข็มขัด กำไลเท้า ทับทรวง กระดุมข้อมือ”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย
ร่างของโต้วโค่วชะงักค้าง สีหน้าเปลี่ยนอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หยิบสมบัติทั้งหมดเหล่านี้มาวางบนพื้นทีละชิ้น
“พอแล้วหรือไม่?”
โต้วโค่วกล่าว ยากจะซ่อนสีหน้าโกรธขึ้งและเศร้าหมอง
“ยังไม่พอ”
ซูอี้ส่ายหน้า “ในห้วงความนึกคิดของเจ้ายังมีสมบัติชิ้นอื่น แม้ข้าจะไม่เห็นว่าคือสิ่งใด แต่ข้าสัมผัสการคงอยู่ของมันได้”
โต้วโค่ว “…”
คนอื่นนอกเหนือจากนางลอบตกตะลึงลืมหายใจ
เจ้ารับรู้ถึงสมบัติที่อยู่ในห้วงความนึกคิดได้ด้วยหรือ?
ซูอี้ ชายผู้นี้ทำได้เช่นไร?
จากนั้น หว่างคิ้วของโต้วโค่วก็สาดแสง ลูกปัดหยกม่วงเม็ดหนึ่งปรากฏขึ้น
นางกระซิบ “นี่คืออาวุธลับจิตวิญญาณที่ตระกูลข้าหล่อหลอมเพื่อข้าโดยเฉพาะ มันหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของเลือดและจิตวิญญาณของข้าไปนานแล้ว ต่อให้ยกมันให้สหายเต๋าก็ไร้ค่า หากเป็นไปได้ ขอสหายเต๋ารามือจากมันเถิด”
ซูอี้มองลูกปัดหยกม่วง จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหันมองโต้วโค่วอีกครั้งด้วยแววตาแปลกพิลึกเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้ากำเนิดมา…”
ม่านตางดงามของโต้วโค่วหดตัวกะทันหัน นางรีบขัดจังหวะ “ข้าหวังว่าสหายเต๋าซูจะไม่พูดถึงเรื่องนี้!”
ยามนี้ สตรีแสนงามผู้เปี่ยมเสน่ห์กำลังกระวนกระวายอย่างผิดธรรมดา
ซูอี้ยิ้มและกล่าวว่า “นำสมบัตินี้กลับไปเถิด”
โต้วโค่วโล่งใจ นางเก็บลูกปัดหยกม่วงทันที กล่าวอย่างรู้สึกขอบคุณ “ขอบคุณสหายเต๋า”
พูดถึงความลับบางอย่างของโต้วโค่ว?
ทว่าทั้งซูอี้และโต้วโค่วต่างไม่พูดถึงมันอีกต่อไป
“ขึ้นกับเจ้าจะตัดสินใจ”
ซูอี้มองเหมยเหยียนไป๋และคณะ
เหมยเหยียนไป๋เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงทอดถอนใจ “ความสำเร็จด้านยันต์กลไกของสหายเต๋าซูเหนือล้ำเกินเอื้อมข้านัก ข้ายอมรับข้อเสนอ”
เสียงของเขาเต็มไปด้วยความจนใจและผิดหวัง
กล่าวจบ เขาก็นำสมบัติของเขาออกมา
เมื่อมีโต้วโค่วเป็นตัวอย่าง เขาจึงไม่กล้าปิดบัง นำสมบัติออกมาครบทุกชิ้น
ถัดมา เฉียนอวิ๋นและเนี่ยหลีก็ส่งสมบัติของพวกเขาให้เช่นกัน
สีหน้าของเฉียนอวิ๋นทะมึนตึงมาก เพราะเขาในครานี้พกไม้ตายมาด้วยมากมาย สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ล้ำค่า และตระกูลก็แค่ให้เขายืมใช้ ไม่ใช่ของเขา
ยามนี้ เมื่อทั้งหมดถูกซูอี้ชิงไป เขาก็ทำนายได้ว่ายามกลับสู่ตระกูล เขาคงถูกเหล่าผู้เฒ่าเดือดดาลเหล่านั้นลงโทษอย่างป่าเถื่อนเป็นแน่…
เนี่ยหลีรู้สึกเบาใจขึ้นมาก
ซูอี้ไม่ได้ทำให้เขาอับอาย ขอเพียงอีกฝ่ายจากไปพร้อมกระบี่เปรมโลหิตทมิฬ จิตดั้งเดิมของบรรพชนในขอบเขตสยายวิญญาณซึ่งซ่อนอยู่ในสมบัติชิ้นนี้ก็จะรอดจากสายตาของซูอี้…
ส่วนเฟิงจื่อตู แม้ว่าซูอี้จะรับปากไม่รับสมบัติของเขาแล้ว ทว่าเมื่อเห็นภาพนี้ หัวใจของเขาก็ยิ่งไร้หนทางและหนักอึ้งขึ้นทุกขณะ
เพราะเขาตระหนักแล้วว่าตนมีความหวังล้างแค้นให้ตงกัวอวิ๋นและหร่านฉงริบหรี่เหลือเกิน รวมถึงการพยายามรักษาหน้าที่เสียไปด้วย ที่ดูแล้วคงยากยิ่งกว่าการปีนป่ายสวรรค์!
ซูอี้แข็งแกร่งเกินไป!
ไม่เพียงอำนาจต่อสู้แข็งแกร่งท้าทายสวรรค์ แต่ยังมีพลังของค่ายกลซึ่งทำให้เหมยเหยียนไป๋ผู้เกิดในตระกูลเหมยยังจนปัญญา
ด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันของเขา คงโง่เต็มทีหากคิดเอาชนะซูอี้
“เจ้าไปได้แล้ว”
ซูอี้โบกแขนเสื้อ และถนนสายหนึ่งก็ปรากฏในค่ายกล นำทางไปไกลลิบ
เห็นเช่นนี้ ในที่สุดพวกเหมยเหยียนไป๋ก็รู้สึกโล่งใจ ไม่มีผู้ใดอยากอยู่ต่อ ต่างคนต่างหันหลังจากไปทันที เมื่อเขาออกจากค่ายกล เฟิงจื่อตูก็หยุดฝีเท้า หันมาถาม “ซูอี้ เจ้าไม่กลัวเรามาตามล้างแค้นเมื่อยามก้าวสู่วิถีวิญญาณหรือไร?”
พวกเหมยเหยียนไป๋ที่ยังจากไปได้ไม่ไกลตัวแข็งทื่อ ลอบก่นด่าเฟิงจื่อตูว่าโง่เง่าในใจ ข้าอุตส่าห์จะออกไปได้แล้วแท้ ๆ ยังจะมาถามคำถามโง่ ๆ เช่นนี้อยู่เพื่ออันใด?
หากซูอี้เกิดเปลี่ยนใคร ใครเล่าจะรอดชีวิต?
ทว่าซูอี้กลับยิ้มอย่างไม่เห็นด้วย เขากล่าวว่า “พูดตามตรง ข้าตั้งตารอให้พวกเจ้ากล้ากลับมาล้างแค้นเมื่อยามก้าวสู่วิถีวิญญาณอยู่นะ”
เปลือกตาของเฟิงจื่อตูกระดิก กล่าวถาม “นี่หมายความเช่นไร?”
ซูอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนตอบว่า “ข้าอยากได้คู่ต่อสู้ที่ทนสู้กับข้าได้”
ทุกคน “…”
ผู้ใดเล่าจะฟังไม่ออก ว่าในสายตาของซูอี้ คนเหล่านี้เป็นเพียงปลาซิวปลาสร้อยไม่ทนมือเท้า?
เฟิงจื่อตูสูดหายใจลึก ๆ พลางกล่าวคำออก “เช่นนั้นเราคงได้เห็นกันว่าเมื่อหวนเฉ่าโหยวและโม่ซิงเจ๋อเข้าสู่วิถีวิญญาณ เจ้าจะเป็นคู่ต่อสู้ให้พวกเขาได้หรือไม่?”
หลังจากนั้น เขาก็หันหลังจากไป
เหมยเหยียนไป๋และคณะจะกล้าหยุดเช่นไร พวกเขาต่างกุลีกุจอจากไป
ทว่าคำพูดของเฟิงจื่อตูย้ำเตือนพวกเขาว่าในเกาะเซียนพระสุเมรุนี้ สัตว์ประหลาดชั้นยอดเช่นหวนเฉ่าโหยวและโม่ซิงเจ๋อต่างถือซูอี้เป็นศัตรูคู่อาฆาตของพวกตน!
สามารถเห็นได้ล่วงหน้าว่า เมื่อยามที่หวนเฉ่าโหยว โม่ซิงเจ๋อและคนอื่น ๆ เหยียบย่างสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ด้วยความสามารถ ภูมิหลัง และไพ่ตายที่มี พวกเขาจะไม่มีวันปล่อยซูอี้ไว้!
ซูอี้มองเหล่าผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณเหล่านี้จนลับไป ก่อนจะเหลือบมองสินสงครามและลอบกล่าวกับตนว่า “น่าเสียดาย เมื่อดูผลงานของพวกเฟิงจื่อตูแล้ว เกรงว่าการล่อเหยื่อมาติดต่อกับคงเป็นไปไม่ได้…”
ต้องกล่าวว่าช่างน่าเสียดาย
ทว่า ซูอี้ก็พอใจแล้ว สำหรับเหยื่อที่มาติดกับ เขานับได้ว่าเก็บเกี่ยวมาได้มากโข
ยิ่งกว่านั้น การเปิดเกาะเซียนพระสุเมรุเพิ่งเริ่มต้น ยังมีโอกาสสัมพันธ์มากมายให้เก็บเกี่ยวต่อ รวมไปถึงเหยื่ออื่น ๆ ที่จะมาติดกับในภายหน้า…
วันที่สองเดือนสิบ
วันที่สองนับแต่ซูอี้เข้าสู่เกาะเซียนพระสุเมรุ
ข้างสระบัว เขาเอาชนะเหมยเหยียนไป๋และผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณคนอื่น ๆ เก็บเกี่ยวสินสงครามล้ำค่ามาได้ส่วนหนึ่ง
ณ วันเดียวกัน ซูอี้ก็ได้แบ่งสรรสมบัติให้เหวินซินจ้าว เยว่ซือฉาน และเก๋อเฉียน
แน่นอน เขาไม่ลืมจะเตรียมสมบัติบางชิ้นไว้สำหรับเหวินหลิงเสวี่ย และฉาจิ่น มอบเป็นของขวัญในภายหน้ายามกลับสู่ต้าโจวด้วย
วันที่สี่เดือนสิบ
บงกชเพลิงของสองเทพผู้ขับไล่โรคภัยเบ่งบานเต็มที่
ซูอี้เด็ดโอสถล้ำค่ามหาวิถีนี้ด้วยตนเอง จากนั้นก็เก็บบงกชดอกที่บรรจุจังหวะวิถีแห่งหยางไว้ใช้เอง
บงกชอีกดอกซึ่งบรรจุจังหวะวิถีแห่งหยินถูกส่งให้เยว่ซือฉาน
ก้านลำต้นซึ่งมีจังหวะวิถีแห่งไฟถูกมอบให้เหวินซินจ้าว
สำหรับเก๋อเฉียน เขาได้รับเพียงรากและใบนิดหน่อยเท่านั้น
ทว่าแค่นี้เขาก็พอใจแล้ว
การติดตามข้างกายซูอี้ ทำให้ตัวเขาได้สินทรัพย์มากมาย ดื่มด่ำผลประโยชน์ การอยู่รับทรัพย์เฉย ๆ เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกเกินจริงดั่งฝัน แล้วเขาจะไม่พอใจได้อย่างไร?
และในวันเดียวกัน
บนทุ่งน้ำแข็งอันปกคลุมด้วยหิมะในโลกเร้นลับเกาะเซียนพระสุเมรุ มหาหายนะในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณกำลังก่อรูปร่างขึ้นอย่างเงียบงัน