บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 558 ภูเขาพระสุเมรุ
ตอนที่ 558: ภูเขาพระสุเมรุ
ตอนที่ 558: ภูเขาพระสุเมรุ
“ทำตามแต่ใจต้องการ?”
หลี่หานเติงสูดหายใจลึก สะกดกลั้นจิตสังหารในใจพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะตั้งตารอว่ายามเมื่อตัวตนจากยุคโบราณอย่างหวนเฉ่าโหยวกับโม่ซิงเจ๋อมาพบเจ้า เจ้าจะทำตามแต่ใจต้องการได้หรือไม่!”
ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ “หากข้าเป็นเจ้า หลังจากย่างเท้าสู่วิถีวิญญาณก็คงกล้าสังหารอริอย่างเด็ดขาด ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะยังอยากยืมมีดผู้อื่นมาจัดการกับข้า ช่างน่าผิดหวังนัก”
“เจ้า…”
สีหน้าของหลี่หานเติงพลันย่ำแย่
ซูอี้มองสบตากับอีกฝ่าย พลางกล่าวว่า “เจ้ากล้าหรือไม่?”
บรรยากาศตึงเครียดทันที
สีหน้าของหลี่หานเติงโลเล
เนิ่นนาน จากนั้นเขาก็ยิ้มเยาะ “แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงคิดยั่วยุข้า แต่บนเกาะเซียนพระสุเมรุนี้ ในเมื่อหวนเฉ่าโหยว โม่ซิงเจ๋อและคนอื่น ๆ ต่างเล็งหมายหัวเจ้า ไฉนข้าต้องลงมือด้วย?”
“ไปกันเถิด!”
กล่าวจบ หลี่หานเติงก็เดินจากไป
อู๋ซุ่นและกู่หานชิวเห็นได้ชัดว่ายังไม่พอใจ ชัดเจนเสียจนพวกเขาทำได้เพียงอดทน ก่อนหันหลังเดินจาก
“หลี่หานเติงผู้นี้ไม่กล้าทำอันใดแต่ต้นจนจบ เห็นได้ชัดว่าเขายังคงกลัวศิษย์พี่ซูอยู่มาก”
เหวินซินจ้าวครุ่นคิดขณะมองพวกหลี่หานเติงหายลับไป
“เรื่องปกติ ในอดีตเมื่อเขายังอยู่ในขอบเขตเปิดทวาร ศิษย์พี่ซูก็สามารถสังหารฮั่วเทียนตูและบุคคลระดับสูงในช่วงกลางของวิถีวิญญาณได้ ยามนี้ศิษย์พี่ซูเลื่อนสู่ขอบเขตรวบรวมดารา จึงนับว่าสมเหตุสมผลหากหลี่หานเติงจะเป็นกังวล”
“ทว่าข้าไม่คาดว่าผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันเช่นเขาจะขี้ระแวงเพียงนี้แม้จะก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแล้ว”
“ความระมัดระวังช่วยชีวิตคนได้นะ”
เก๋อเฉียนกล่าว “เมื่อครู่หากเขาไม่ระวังตนและเลือกโจมตี ผลลัพธ์อาจต้องเสียชีวิตก็ได้”
แล้วทุกคนก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
ซูอี้กล่าว “ความระมัดระวังไม่ใช่สิ่งแย่ อย่าพูดถึงการยืมมีดฆ่าคนเลย ด้วยนิสัยของหลี่หานเติง เขาย่อมไม่อยากรับความเสี่ยงอยู่แล้ว”
“ศิษย์พี่ซู เหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่จัดการเขาเสีย?”
เหวินซินจ้าวถามอย่างฉงน
“ข้าไม่ใช่ฆาตกร ดังนั้นจึงไม่ควรสนใจคนเช่นเขามากนัก”
ซูอี้กล่าวอย่างเรื่อยเปื่อย “ยิ่งกว่านั้น เจ้าคิดหรือว่าหากข้าสังหารหวนเฉ่าโหยวและโม่ซิงเจ๋อลง คนอย่างหลี่หานเติงจะยังกล้าเป็นศัตรูกับข้าอีก?”
ทุกคนต่างส่ายหน้า
หากหวนเฉ่าโหยวและโม่ซิงเจ๋อผู้เหยียบย่างสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณยังไม่ใช่คู่ต่อกรของซูอี้ แล้วหลี่หานเติงจะกล้าเป็นศัตรูซูอี้ได้เช่นไร?
“ไปกันเถิด”
ซูอี้ไม่เสียเวลา แล้วจึงหันหลังจากไป
…
กลางดึก
“ศิษย์พี่หลี่ เหตุใดก่อนหน้านี้ท่านจึงไม่ฆ่าซูอี้เสีย?”
อู๋ซุ่นอดถามไม่ได้
กู่หานชิวเองก็มองหลี่หานเติง
“อย่าได้นำตนเองไปอยู่ในอันตราย เมื่อยามซูอี้อยู่ในขอบเขตเปิดทวาร เขาก็สังหารผู้อาวุโสในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้แล้ว”
หลี่หานเติงกล่าวอย่างใจเย็น “และคืนนี้ เขาก้าวสู่ขั้นรวบรวมดารา เขาต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนแน่นอน …ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การนำตนไปเสี่ยงไม่ฉลาดเลยสักนิด”
อู๋ซุ่นไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด เขากล่าวว่า “แต่เรามีไพ่ตายลับเป็นของขวัญจากอาจารย์ และด้วยผลการฝึกฝนปัจจุบันของท่าน เราก็น่าจะฆ่าซูอี้ได้แล้วแท้ ๆ”
หลี่หานเติงถามกลับ “หากซูอี้เป็นเหมือนกันเล่า? ผู้ท้าทายอำนาจสวรรค์เช่นนั้นจะไร้ไพ่ตายหรือไร?”
อู๋ซุ่นและกู่หานชิวเงียบไปครู่หนึ่ง
“รอก่อน หวนเฉ่าโหยวกับโม่ซิงเจ๋อไม่มีทางปล่อยซูอี้ไปแน่!”
แววตาของหลี่หานเติงวูบไหว
เขาไม่กลัวหากจะไปต่อสู้กับซูอี้
ทว่าในสถานการณ์ยามนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลย
“ศิษย์พี่หลี่ เราจะทำเช่นไรต่อ?”
กู่หานชิวถาม
“ไปภูเขาพระสุเมรุ สถานที่ตั้งประตูของหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุ ที่นั่นต้องมีโอกาสและทรัพย์สมบัติมากมายจากหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุอยู่แน่”
หลี่หานเติงกล่าว “หากข้าคาดไม่ผิด น่าจะมีผู้ก้าวสู่วิถีวิญญาณหลายต่อหลายคนไปยังที่นั่นแล้ว”
…
วันที่สิบเดือนสิบ
ยามเช้าตรู่
“นี่หรือคือภูเขาพระสุเมรุ?”
กู่ชางหนิงมองไปไกลด้วยสีหน้าประหลาดใจ
สุดสายตาคือที่ราบกว้างใหญ่ มีขุนเขาสีทองสูงชันตั้งตระหง่านจากพื้น อาบไล้ด้วยแสงพิสดารสีดำและเงามืด
และเหนือยอดเขา มีหมอกสีโลหิตปกคลุมน่านฟ้าและดวงตะวัน มีซากดวงดารามากมายลอยห้อยอยู่ในหมอกสีเลือดอย่างเงียบงัน
มองจากไกล ๆ ภาพนี้ทำให้หัวใจของผู้มองเต้นกระตุก
ภาพนี้พิลึกเกินไป
ภูเขาทองลูกหนึ่งถูกปกคลุมด้วยแสงเงาดำขมุกขมัว หมอกโลหิตแผ่ปกคลุมใต้นภา เต็มไปด้วยซากศพดวงดารา สร้างเป็นบรรยากาศมืดหม่นชวนระทึกใจ
“ลือกันว่าเกาะเซียนพระสุเมรุนี้บรรจุความลับเกี่ยวข้องกับการจองจำแห่งยุคมืดไว้ หรือความลับที่ว่าจะอยู่ในภูเขาพระสุเมรุนี้?”
กู่ชางหนิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพลิ้วกายจากไป
ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่สูงส่งของภูเขาพระสุเมรุซึ่งตรงราวกับเป็นเสาค้ำนภาได้ เมื่อมาอยู่ต่อหน้า ผู้คนช่างเล็กจ้อยดั่งมด
เมื่อสามหมื่นปีก่อน หอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุเคยเป็นหนึ่งในสามสำนักผู้ฝึกปีศาจแห่งโลกหล้า เคียงข้างหอเซียนดาบและสำนักผลาญตะวัน
หากกล่าวถึงภูมิหลังและความแข็งแกร่ง หอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุสามารถครองตำแหน่งสำนักผู้ฝึกปีศาจอันดับหนึ่งได้อย่างมั่นคง
ผู้ก่อตั้งของมัน ‘ราชันย์ปีศาจพระสุเมรุ’ คือหนึ่งใน ‘เก้าราชันย์แห่งคังชิง’ เมื่อนานมาแล้ว
ในฐานะประตูแห่งหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุ ภูเขาพระสุเมรุย่อมเป็นหุบเขาลือนามชั้นหนึ่งอันเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งโลกา มันคือดินแดนบริสุทธิ์ไร้มลทินในใจของเหล่าผู้ฝึกตนบนโลกนี้
ทว่ายามนี้ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์นี้กลับแปลกประหลาดและมืดครึ้มยิ่งนัก
“หือ?”
ไม่นานจากนั้น กู่ชางหนิงก็กระทืบเท้า
ณ ตีนเขาพระสุเมรุมีสนามประลองอันโอฬารอยู่แห่งหนึ่ง ที่สุดสนามประลองคือประตูภูเขา
เพียงแค่ว่าประตูภูเขานี้พังทลายลงไปนานแล้ว รูปสลักหินแตกกระจายและโขดหินระเกะระกะมากมาย ภายในประตูภูเขาคือเส้นทางบนเขาซึ่งปกคลุมด้วยแสงเงาขมุกขมัว
เส้นทางบนเขานี้แต่เดิมเคยเป็นบันไดหินวน ทว่ายามนี้กลับเสียหายหนักและเปื้อนคราบโลหิตจนน่าตกใจ
“นานมาแล้ว ที่นี่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดและน่าหวาดหวั่นเกิดขึ้นเป็นแน่!”
กู่ชางหนิงตะลึงอึ้ง
“มีผู้มาที่นี่อีกแล้ว”
“อืม ที่แท้ก็เป็นกู่ชางหนิง”
มีเสียงแว่วมาจากทางสนามประลอง
กู่ชางหนิงมองขึ้นไปโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
เขาเห็นร่างสิบกว่าร่างยืนอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ สนามประลองยักษ์
หวนเฉ่าโหยว โม่ซิงเจ๋อ หลวงจีนเฉินลวี่ และเหล่ายอดฝีมือต่างมารวมตัวกัน
ทว่า กู่ชางหนิงสังเกตเห็นบางอย่างผิดแปลก
ร่างสิบกว่าร่างนี้ดูจะแบ่งออกเป็นสองฝ่าย
ฝั่งหนึ่งมีผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณเจ็ดคน นำโดยหวนเฉ่าโหยวและโม่ซิงเจ๋อ
พวกเขายืนอยู่ในสนามประลอง
ในขณะที่อีกฝั่งคือเหล่าผู้เก่งกาจยุคปัจจุบันห้าคน นำโดยหลวงจีนเฉินลวี่ รวมถึงอวี่เหวินซู่ เจียงหลีและคนอื่น ๆ
พวกเขายืนอยู่นอกสนามประลอง
ความแตกต่างชัดเจน
สิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันก็คือ ไม่ว่าจะเป็นผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณหรือผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบัน พวกเขาทั้งหมดต่างก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเป็นที่เรียบร้อย!
กล่าวอีกอย่างคือ ผู้ยืนอยู่ในบริเวณนั้นในยามนี้ก็คือมหาปราชญ์สวรรค์สิบสองคนผู้มีความสามารถเหนือธรรมดาและพื้นหลังอันแข็งแกร่ง!
ทว่าไม่ว่าใครก็เห็นได้ว่ากลุ่มผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณนั้นได้เปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย
“พี่กู่ เจ้าเพิ่งมาถึง ยังไม่รู้สถานการณ์ที่หน้าภูเขาพระสุเมรุ มาสิ ให้ข้าแนะนำเจ้า!” ที่สนามประลอง ชายหนุ่มผมขาวในชุดคลุมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“โอ้ เช่นนั้นข้าก็ต้องขอขอบคุณพี่ฉีแล้ว”
กู่ชางหนิงรู้จักอีกฝ่าย นามเขาคือฉีเซียว ตัวตนชั้นหนึ่งในหมู่ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณ แม้จะไม่ร้ายกาจเช่นหวนเฉ่าโหยว โม่ซิงเจ๋อ และผู้อื่น แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็นับว่าเยี่ยมยอด
“ฮ่า ๆ ขอบคุณ”
ฉีเซียวยิ้มสว่างไสว จากนั้นเขาก็กล่าวแนะนำสถานการณ์
กู่ชางหนิงเข้าใจอย่างรวดเร็ว
เหตุที่ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณและผู้เก่งกาจยุคปัจจุบันเหล่านี้มารวมตัวกัน ก็เพราะรอโอกาสเพื่อเข้าสู่ภูเขาพระสุเมรุ!
จากคำกล่าวของฉีเซียว แสงเงาขมุกขมัวที่ปกคลุมภูเขาพระสุเมรุนั้นคือพลังที่เหลืออยู่ของ ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ ซึ่งยามนี้อ่อนแอลงมาก
จากการตีความของพวกเขา ในสามวัน อำนาจของการจองจำแห่งยุคมืดจะหายไปโดยสมบูรณ์
และยามนั้นคือช่วงที่ดีที่สุดในการเข้าสู่ภูเขาพระสุเมรุ
โดยสนามประลองที่พวกเขาอยู่ในยามนี้มีนามว่า ‘แท่นจุติเทียนเต๋า’ เป็นสถานที่ซึ่งอยู่ใกล้ประตูภูเขาพระสุเมรุที่สุด
“พี่กู่ ท่านก็เห็นว่ายามนี้ แท่นจุติเทียนเต๋าถูกเรา ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณครอบครอง”
ฉีเซียวกล่าว “ผู้ใดก็ตามที่เลือกอยู่ข้างเราจะได้รับโอกาสเข้าสำรวจภูเขาพระสุเมรุเป็นกลุ่มแรก”
“อีกประการ ยามค้นหาโอกาสโชคลาภ หากผู้ใดกล้าประชัน เขาคนนั้นจะเป็นศัตรูและคู่ต่อสู้ของเราทั้งผอง!”
กล่าวจบ เขาก็มองพวกหลวงจีนเฉินลวี่ซึ่งอยู่นอกสนามประลอง เห็นได้ชัดว่าแฝงความนัยบางอย่าง
“อย่างนี้เอง”
กู่ชางหนิงตระหนักเข้าใจ
หวนเฉ่าโหยว โม่ซิงเจ๋อ ฉีเซียว และผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณคนอื่น ๆ ร่วมพันธมิตรกันอย่างเห็นได้ชัด และยึดครองแท่นจุติเทียนเต๋าไว้ก่อนผู้ใด
ในลักษณะนี้ ยามเข้าสู่ภูเขาพระสุเมรุเพื่อสำรวจโอกาส พวกเขาจึงได้เปรียบที่สุด
ทว่าหากมองไปทางพวกหลวงจีนเฉินลวี่ ก็จะทราบได้ว่าแม้พวกเขาจะร่วมมือเป็นฝ่ายเดียว แต่พลังโดยรวมของพวกเขากลับด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“พี่กู่ มานี่เร็ว”
ฉีเซียวเอ่ยชวยยิ้ม ๆ “ไม่ว่าอย่างไร เราล้วนแต่เป็นผู้คนที่อยู่รอดมาแต่สมัยโบราณ เราคือคนประเภทเดียวกัน เราก็ควรไปมาด้วยกัน”
เขาตบหน้าผากตนเองและกล่าวราวเพิ่งนึกได้ “จะว่าไป หากเลือกร่วมมือกับเรา พี่กู่ต้องยอมรับเงื่อนไขสองข้อนะ”
“ข้อแรก หลังเป็นฝ่ายเดียวกัน เจ้าต้องเดินหน้าถอยหลังร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวกับเรา ทุกการกระทำในภูเขาพระสุเมรุต้องเชื่อฟังการจัดการของสหายเต๋าหวนและสหายเต๋าโม่”
กู่ชางหนิงขมวดคิ้วน้อย ๆ “แล้วเงื่อนไขข้อสองเล่า?”
ฉีเซียวกล่าวยิ้ม ๆ “มันง่ายมาก หลังร่วมพันธมิตร ศัตรูร่วมของเราจะเป็นซูอี้ หากเจ้าชั่วนี่โผล่มา เราต้องร่วมมือกับสหายเต๋าหวนและสหายเต๋าโม่จัดการเขาเสีย”
สังหารซูอี้?
ม่านตาของกู่ชางหนิงหดตัว
ยามนี้เอง เขาจึงพลันตระหนักว่าพันธมิตรของหวนเฉ่าโหยวมีเจตนาเช่นนี้
“พี่กู่คิดเช่นไร?”
ฉีเซียวถาม
กู่ชางหนิงเงียบไป
นี่ทำให้ฉีเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย และถามอย่างฉงน “กระไรหรือ ยังมีสิ่งใดที่ทำให้เจ้าลังเลจากเงื่อนไขเหล่านี้ด้วยหรือไร?”
ยามนี้ โม่ซิงเจ๋อซึ่งอยู่ใกล้เคียงพลันเปิดปากหยอกล้อ “สหายเต๋ากู่ เจ้าคงไม่คิดว่าเมื่อเราทั้งหมดร่วมมือกันจะยังไม่ใช่คู่มือซูอี้หรอกหรือไม่?”
ทันทีที่คำเหล่านี้ลั่นออกมา เหล่าผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณก็อดหัวเราะไม่ได้ บรรยากาศเต็มไปด้วยความขบขัน
ยามนี้พวกเขาทุกผู้ต่างอยู่ในวิถีวิญญาณ ทั้งยังร่วมมือกันจัดการซูอี้ซึ่งอยู่ในวิถีต้นกำเนิด และยังคิดทำเรื่องราวใหญ่โต!
ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ ไม่ว่าผู้ใดที่คิดว่าตนไม่ใช่คู่ต่อกรของซูอี้นั้นตาบอดโง่เง่าโดยแท้